ตอนที่ 117 ใครบ้างที่ไม่เคยเสแสร้ง / ตอนที่ 118 อ้อ ข้าพอรู้วิชาแพทย์นิดหน่อย
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 117 ใครบ้างที่ไม่เคยเสแสร้ง
คนโบราณนั้นเชื่อเรื่องโชคลางมาก ไม่เว้นแม้แต่คนที่อยู่ในห้องนี้ด้วย โดยเฉพาะเมื่อฉินหลิวซีที่ถือว่าโตมาในอารามเต๋าเอ่ยออกมาเช่นนี้แล้ว แม้ว่านางจะเรียนมาไม่ได้เต็มร้อย รู้มาเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังรู้มากกว่าพวกนางอยู่ดีมิใช่หรือ
สะใภ้เซี่ยนึกถึงความโชคร้ายของตนเองอีกครั้งก็รู้สึกนั่งไม่ติด
ฉินหมิงเย่ว์ที่ยืนอยู่ข้างๆ นางกวาดตามองกระโปรงของฉินหลิวซีก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อน “แต่พี่หญิงใหญ่ ท่านแม่ได้รับบาดเจ็บจากในเรือนของท่านนะเจ้าคะ”
ฉินหลิวซีหันไปมองช้าๆ เอามือแตะหัวใจด้วยสีหน้าเจ็บปวดใจ “น้องหญิงรองเอ่ยเช่นนี้ก็หมายความว่าดวงของข้าเข้ากันไม่ได้กับอาสะใภ้รองอย่างนั้นหรือ ช่างเถิด เช่นนั้นข้าไปก็ได้”
นางทำท่าจะไป
ฉินหมิงเย่ว์ถึงกับนิ่งงันไป ทั้งๆ ที่แต่เดิมนางไม่ได้มีท่าทางอย่างนี้นี่ ก่อนหน้านี้นางแข็งกร้าวยโสโอหังนัก เหตุใดพออยู่ต่อหน้าท่านย่า นางถึงได้ทำราวตนเองถูกกลั่นแกล้งรังแกน่าสงสารเยี่ยงนั้นได้
เสแสร้งแกล้งทำได้เก่งกว่าตนเสียอีก
ฉินหมิงเย่ว์หันไปมองฮูหยินผู้เฒ่าโดยสัญชาตญาณ แล้วก็ได้เห็นสีหน้าย่ำแย่อย่างที่คาดไว้ นางจึงรีบเอ่ยทันที “พี่หญิงใหญ่ ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เพียงแต่ท่านไม่อยู่บ้าน ก็เลยบอกท่านเรื่องนี้ ท่านอย่าได้ไม่พอใจไปเลย”
“ฉีหวงบอกข้าแล้ว ข้าจึงได้บอกว่าอาสะใภ้โชคร้ายอย่างไรเล่า ข้าไม่ได้เอ่ยโดยไม่มีเหตุผล หากไม่ได้เป็นเพราะโชคร้าย แล้วอยู่ดีๆ ทำไมถึงได้ล้มกระแทกพื้นได้เล่า อาสะใภ้รองก็ไม่ใช่เด็กน้อยเสียหน่อย หากไม่ใช่โชคร้าย ก็ต้องเป็นเพราะดวงของข้ากับอาสะใภ้ไม่ถูกกันแน่แล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยเหมือนไม่มีอะไร แต่ความจริงร้ายลึก “น้องหญิงอย่าได้ตำหนิตัวเองเลย ข้าไม่โทษเจ้าหรอก เป็นเพราะดวงของข้าไม่ดีเอง”
มาสิ ใครบ้างที่ไม่เคยเสแสร้ง
ฉินหมิงเย่ว์ “!”
ขมับของสะใภ้เซี่ยเต้นตุบขึ้นมาทันที
สะใภ้หวังหันไปมองฉินหลิวซี ระงับอาการอยากจะยิ้มนั้นไว้ “พอเถิด ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น มันจะน่ากลัวอย่างที่เจ้าเอ่ยได้อย่างไร ท่านแม่ ทุกคนหิวกันแล้ว เรากินข้าวกันเลยดีหรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า
หลังจากพวกนางกินข้าวร่วมกับฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว สะใภ้เซี่ยก็ไม่สามารถนั่งต่อไปได้ จึงพาฉินหมิงเย่ว์จากไปทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าให้ฉินหลิวซีอยู่ต่อ สะใภ้หวังเองก็นั่งลงด้วย แต่ละคนมีถ้วยชาอยู่ในมือของตน
“ที่เรียกเจ้ามาก็ไม่ได้มีเรื่องอันใดหรอก เมืองหลีเป็นบ้านเดิมของพวกเรา เมื่อก่อนตอนที่ตระกูลฉินยังไม่ได้ล้มลง ก็มักจะมีขุนนางพ่อค้าเศรษฐีต่างๆ ที่ไปมาหาสู่กันประจำ บัดนี้บ้านเราล้มลงแล้ว บางคนจึงหายหน้าไปไม่เห็นแม้แต่เงาอีก”
น้ำเสียงของฮูหยินฉินผู้เฒ่าเจือความผิดหวังและเย็นชาเล็กน้อย “ที่ท่านแม่ของเจ้าเอ่ยก็มีเหตุผล บ้านเราก็เพิ่งจะกลับมาที่เมืองหลีได้ไม่นาน ไปตามหาใครก็คงมีคนอยากช่วยแต่ไม่กล้า กลัวจะทำให้ผู้มีอำนาจบางคนขุ่นเคือง แต่อาจารย์ของเจ้าแตกต่างออกไป เขาเป็นคนสำนักเต๋า เมื่อก่อนก็มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลของเรา ไม่อย่างนั้นคงไม่รับเจ้าไป เราไม่มองหาเส้นสายตอนนี้ก็ได้ แต่ทางท่านปู่ท่านพ่อของเจ้าจะไม่เบิกทางเสียหน่อยก็คงไม่ได้”
นางเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็หอบหายใจเล็กน้อย จึงจิบชาแล้วค่อยๆ ปรับลมหายใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ “ตอนนี้เมืองหลีก็เริ่มหนาวแล้ว นับประสาอันใดกับพื้นที่ทางซีเป่ยที่หนาวเหน็บทุรกันดารเช่นนั้น พวกเราไม่มีญาติทางซีเป่ย พวกเขาอยู่ที่นั้นไร้ญาติขาดมิตร ทั้งไม่มีทรัพย์สินใด ข้ากลัวว่าพวกเขาจะทนความหนาวเหน็บและความลำบากไม่ได้ ย่าก็เลยอยากขอร้องให้เจ้าอาวาสชื่อหยวนส่งคนไปเบิกทางที่ซีเป่ยให้หน่อยได้หรือไม่ ด้วยสถานะของเขาคงไม่ดึงดูดความสนใจของใคร และไม่ถึงกับทำให้คนอื่นขุ่นเคืองได้ง่าย”
ฮูหยินฉินผู้เฒ่าเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็มีท่าทางอดสูเล็กน้อย
สะใภ้หวังเสริมขึ้นมาประโยคหนึ่ง “เรื่องทรัพย์สินเงินทองพวกเราจะออกเอง แค่ไหว้วานให้คนช่วยดูแลบ้างเท่านั้น”
คนที่ถูกเนรเทศอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ถ้าไม่มีใครดูแลเลยก็มีแต่จะแย่ลงเท่านั้น การหางานทำก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
ตระกูลฉินเป็นตระกูลบัณฑิต นอกจากบุตรชายคนรองที่พอจะต่อสู้เป็นบ้างเล็กน้อยแล้ว คนที่เหลือก็แบกหามทำงานหนักอะไรไม่ได้เลย หากต้องทำงานแบกหาม คนที่ยังแข็งแรงบึกบึนก็ไม่เป็นไรหรอก แต่นายท่านผู้เฒ่าและเด็กชายน่าจะทนไม่ไหว
ฉินหลิวซีเงียบไปครู่หนึ่ง “ก่อนออกเดินทางอาจารย์เคยบอกข้าว่า ได้ไหว้วานให้คนดูแลไว้แล้ว ท่านย่าและท่านแม่วางใจได้”
ตอนที่ 118 อ้อ ข้าพอรู้วิชาแพทย์นิดหน่อย
เจ้าอาวาสชื่อหยวนได้ไหว้วานคนให้ไปซีเป่ยช่วยเบิกทางให้พวกเขาแล้วหรือ
ฮูหยินฉินผู้เฒ่าและสะใภ้หวังต่างก็ประหลาดใจและดีใจ “จริงหรือ”
“มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด ไม่มีค่าให้เอ่ยถึง…” ฉินหลิวซีเอ่ยคำนั้นออกมา แล้วก็เห็นสายตาผิดปกติของทั้งสองคน จึงรีบเอ่ยทันที “ข้าหมายความว่า แม้ว่าอาจารย์จะถูกเรียกว่าเป็นพวกนักต้มตุ๋น แต่ก็ไม่ใช่คนพูดไปเรื่อย ต่อให้เขาไม่เห็นแก่พวกท่านก็ต้องเห็นแก่ที่ข้าแซ่ฉินมิใช่หรือ เรื่องเล็กน้อยๆ เพียงนี้เขาย่อมช่วยเหลืออยู่แล้ว”
มุมปากของฮูหยินผู้เฒ่ากระตุกเล็กน้อยด้วยความรู้สึกที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ นี่นางกำลังว่าใคร
สะใภ้หวังยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดปาก ศิษย์ที่เนรคุณเช่นนี้ เจ้าอาวาสชื่อหยวนทนได้อย่างไรกัน
นางกระแอมออกมาทีหนึ่ง “เจ้าอาวาสจิตใจดี คราวนี้ต้องใช้เงินไปเท่าใดเล่า เดี๋ยวข้าจะเอาเงินให้เจ้าไปคืนที่อารามดีหรือไม่”
“ถูกต้อง คนที่ต้องตามหาเป็นใคร ใช้เงินเบิกทางเท่าไร ต่อให้ตระกูลฉินจะยากจนแค่ไหน ก็ต้องหามาให้ได้” ฮูหยินผู้เฒ่าหยุดไปเล็กน้อย “สะใภ้หวัง อาหารการกินของข้าไม่ต้องทำให้แตกต่างกันหรอก ในครัวทำสิ่งใดมาก็เอามาให้ข้ากินอย่างนั้นแหละ ไม่ต้องทำเหมือนตอนที่อยู่ในเมืองหลวง”
คิ้วของฉินหลิวซีขยับเบาๆ
สะใภ้หวังนิ่วหน้า “ท่านแม่ จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเจ้าคะ ท่านอายุมากแล้ว จะต้องกินอาหารอ่อนเบาย่อยง่ายจึงจะดี”
“เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญหรอก อายุมากแล้วเดิมทีข้าก็ไม่ค่อยเจริญอาหารอยู่แล้ว กินแต่น้อยก็ดูแลร่างกายได้ดีกว่า” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ย “ตอนนี้ไม่ว่าสิ่งใดก็ต้องใช้เงิน คนแก่อย่างข้าก็ไม่ได้ออกไปไหน ไม่ต้องมาฟุ่มเฟือยไปกับข้าหรอก”
“ไม่ฟุ่มเฟือยเจ้าค่ะ แต่อาหารการกินของคนมีอายุอย่างท่านควรต้องพิถีพิถันหน่อยจะดีกว่า” ฉินหลิวซีเอ่ย “สุขภาพร่างกายของท่านไม่ดี หลังจากเดินทางกลับมาเมืองหลีท่านก็ล้มป่วย หากไม่บำรุงดูแลให้ดีอีก เกรงว่า…”
“แค่กๆ” สะใภ้หวังกระแอมออกมาทันที ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ อย่างไม่เป็นที่สังเกตให้ฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีเอ่ย “ก็แค่อาหารของท่านคนเดียว จะกินได้สักเท่าไรกัน ในครัวทำให้อย่างไร ท่านก็กินอย่างนั้นไปเถิด บ้านเราก็ไม่ได้ขาดแคลนอาหารเสียหน่อย”
ฟังดูสิ คำพูดของนางฟังดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร นางไม่รู้หรือว่าสถานการณ์ของตระกูลฉินยากลำบากแค่ไหน
ยังเด็กอยู่จริงๆ นั่นแหละ
นางฉินผู้เฒ่าเอ่ย “ไม่เถียงกันเรื่องนี้แล้ว รอให้ผ่านไปอีกสักสองสามวัน ข้าจะยอมหน้าด้านส่งจดหมายออกไปจำนวนหนึ่งเพื่อทวงน้ำใจจากบางคน ขอยืมเงินมาใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ก่อน หากพวกเขาตอบตกลง ภายภาคหน้าจะใช้คืนเป็นสิบเท่า”
สะใภ้หวังเองเอ่ย “ข้าเองก็ส่งจดหมายไปที่บ้านท่านพ่อท่านแม่ของข้าแล้ว เชื่อว่าอีกไม่กี่วันก็น่าจะได้ข่าว”
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกปลาบปลื้ม ตระกูลหวังเป็นตระกูลใหญ่มีชื่อเสียง อีกทั้งไม่กลัวตระกูลเหมิง
ฉินหลิวซีก้มหน้าก้มตาด้วยความเบื่อหน่าย
สะใภ้หวังเห็นท่าทางของนางแล้วจึงเอ่ย “ซีเอ๋อร์เพิ่งจะกลับจวน คงจะเหนื่อยล่ะสิท่า กลับไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่”
ฉินหลิวซีลุกขึ้นยืน “ข้าจะตรวจชีพจรให้ท่านย่าก่อนค่อยไป”
นางเดินเข้าไปทันทีโดยไม่รอให้นางฉินผู้เฒ่าตอบอะไรมา พลันวางนิ้วบนข้อมือ ก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆ “ท่านย่าเป็นกังวลมากเกินไป กลางคืนนอนไม่หลับ ธาตุไฟในตับเพิ่มสูง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะไม่เป็นผลดีต่ออายุขัยของท่าน ข้าจะเขียนใบสั่งยาสงบใจและบำรุงตับให้ ส่วนสมุนไพรต่างๆ ข้าจะให้ฉีหวงส่งมาให้ ติงหมัวหมัว ต้มยาให้ฮูหยินผู้เฒ่าดื่มวันละสองครั้ง”
“เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่” ติงหมัวหมัวย่อเข่าลงตอบรับด้วยท่าทางนบนอบ ในใจก็รู้สึกประหลาดใจนัก วิชาแพทย์ของคุณหนูใหญ่นี้ใช้ได้จริงๆ ไม่นานก็วินิจฉัยออกมาได้ทันที
ทุกวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เคยได้นอนเต็มอิ่มเลย ถ้าไม่นอนไม่หลับก็มีเรื่องในใจ เพิ่งจะหลับไปได้ไม่นานก็สะดุ้งตื่นตกใจเพราะความฝัน จากนั้นก็นอนไม่หลับแล้ว
นางเดินเข้าไปทันทีโดยไม่รอให้นางฉินผู้เฒ่าตอบอะไรมา พลันวางนิ้วบนข้อมือ ก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆ “ท่านย่าเป็นกังวลมากเกินไป กลางคืนนอนไม่หลับ ธาตุไฟในตับเพิ่มสูง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะไม่เป็นผลดีต่ออายุขัยของท่าน ข้าจะเขียนใบสั่งยาสงบใจและบำรุงตับให้ ส่วนสมุนไพรต่างๆ ข้าจะให้ฉีหวงส่งมาให้ ติงหมัวหมัว ต้มยาให้ฮูหยินผู้เฒ่าดื่มวันละสองครั้ง”
“เจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่” ติงหมัวหมัวย่อเข่าลงตอบรับด้วยท่าทางนบนอบ ในใจก็รู้สึกประหลาดใจนัก วิชาแพทย์ของคุณหนูใหญ่นี้ใช้ได้จริงๆ ไม่นานก็วินิจฉัยออกมาได้ทันที
ทุกวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เคยได้นอนเต็มอิ่มเลย ถ้าไม่นอนไม่หลับก็มีเรื่องในใจ เพิ่งจะหลับไปได้ไม่นานก็สะดุ้งตื่นตกใจเพราะความฝัน จากนั้นก็นอนไม่หลับแล้ว
นางรู้ดีว่านายหญิงของตนกลัดกลุ้มเรื่องคนในบ้านที่อยู่ระหว่างเนรเทศ
เมื่อเป็นเช่นนี้นานๆ เข้าพลังและสภาพจิตใจก็ไม่เต็มร้อย ยิ่งดูทรุดโทรมชราภาพลงทุกวัน
นางฉินผู้เฒ่าเองก็ประหลาดใจเช่นกัน นางเอียงหน้าไปมองฉินหลิวซีก่อนจะถามคำถามที่อยู่ในใจมานานแล้ว “เจ้าเรียนวิชาแพทย์พวกนี้มากี่ปีแล้ว แล้วไปเรียนมาจากใคร เรียนจบจากอาจารย์แล้วหรือไม่”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ย่อมต้องเรียนจากอาจารย์สิเจ้าคะ”
“เจ้าอาวาสชื่อหยวนรู้วิชาแพทย์ด้วยหรือ เขาเป็นแค่นักพรตมิใช่หรือ” เท่าที่นางฉินผู้เฒ่าจำได้ นักพรตผู้นั้นไม่รู้วิชาแพทย์นี่
ฉินหลิวซีเอ่ยโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน “ศาสตร์ของสำนักเต๋าทั้งห้า วิชาแพทย์เป็นหนึ่งในนั้น อย่างที่เรียกว่าสิบวิถีเก้าวิชาแพทย์ นักพรตส่วนมากพอจะมีความรู้ทางแพทย์อยู่บ้าง เพียงแต่ไม่ได้ศึกษาจริงจัง อาจารย์ของข้าก็เหมือนกัน ท่านแค่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันเป็นหลัก”
นางฉินผู้เฒ่าตระหนักได้ทันที เมื่อนึกถึงตอนที่ฉินหลิวซีช่วยสะใภ้กู้ในการคลอดนั้นก็ถามขึ้นอีก “เจ้าเรียนมากี่ปีแล้ว ข้าเห็นว่าตอนที่เจ้าช่วยอาสะใภ้สามของเจ้าคลอดลูก เจ้าทำได้ดีมาก”
นางรู้ดีว่าสถานการณ์ของสะใภ้กู้ตอนนั้นอันตรายแค่ไหน
แต่ตอนนี้สะใภ้กู้ดีขึ้นทุกวัน สีหน้าก็เริ่มจะมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้างแล้ว สภาพจิตใจก็ดีขึ้นกว่าตอนที่มาถึงเมืองหลี ส่วนเด็กทั้งสองก็ค่อยๆ โตขึ้นเหมือนเด็กอายุสองเดือนธรรมดาทั่วไป
ในใจนางรู้ดีว่าทั้งหมดเป็นเพราะความช่วยเหลือของฉินหลิวซี
ปุ่มที่ 4 ใน 4 ตอนถัดไป
ปุ่มที่ 3 ใน 4 ตอนก่อนหน้า
ปุ่มที่ 2 ใน 4 ความคิดเห็น
2
ในใจนางรู้ดีว่าทั้งหมดเป็นเพราะความช่วยเหลือของฉินหลิวซี
“ไม่ได้เรียนนานหรอกเจ้าค่ะ แค่มีความสนใจนิดหน่อย” ฉินหลิวซีถ่อมตน “ก็แค่พอเข้าใจบ้างเท่านั้น”
นางฉินผู้เฒ่าอยากจะเอ่ยว่าอาชีพหมอเป็นอาชีพที่ต่ำต้อย เทียบไม่ได้กับบัณฑิต ชาวนา ช่างฝีมือ และพ่อค้าที่เป็นวิชาชีพระดับบนในบรรดาชนชั้นทั้งเก้า แม้จะถือว่าเป็นชนชั้นอาชีพระดับกลาง แต่สถานะของหมอก็ไม่ได้สูงแต่อย่างใด นางเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ต่อไปจะต้องแต่งงานออกเรือนอีก ไม่แตะต้องสิ่งเหล่านี้จะดีกว่า
แต่เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลฉิน คำพูดนี้ของนางก็ยังฟังดูเย่อหยิ่งอวดดีเกินไป
“ต่อหน้าคนนอก เจ้าต้องระมัดระวังไว้บ้าง ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ต่อไปก็ต้องแต่งงาน ชื่อเสียงที่ดีจะนำประโยชน์และความสะดวกสบายมาให้เจ้า ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องทนทุกข์จากข้อจำกัดมากมาย” นางฉินผู้เฒ่าเอ่ย “เจ้าอยู่แต่ในอารามและในบ้าน ไม่เคยเห็นกฎเกณฑ์ที่แท้จริงของตระกูลใหญ่ก็เลยไม่รู้ ใต้ฟ้านี้กฎเกณฑ์สำหรับสตรีนั้นเข้มงวดเป็นพิเศษ การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงในสายตาของเจ้านี้ล้วนแต่สามารถขยายให้เป็นเรื่องใหญ่โตและสร้างปัญหาได้มากมายนัก”
นางเห็นเรื่องทำนองนี้มามากแล้ว ยังเคยเห็นสตรีมากมายที่ต้องไปบวชหรือแม้แต่สังเวยชีวิตด้วยเหตุนี้
แม้ฉินหลิวซีจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดนั้น แต่นางก็รู้ว่านางฉินผู้เฒ่าไม่ได้มีเจตนาร้าย ที่เอ่ยมาก็มีเหตุผล
หมอในสมัยโบราณไม่ว่าจะมีชื่อเสียงเพียงใด ในสายตาของพวกขุนนางผู้สูงศักดิ์ก็ไม่สามารถนับว่าเป็นชนชั้นสูงได้จริงๆ เรียกได้ว่าเป็นคนทำงานชั้นต่ำ ไม่มีหมอชื่อดังคนไหนที่เคยเอ่ยถึงความน่าน้อยใจในเรื่องนี้ออกมาบ้างเลยหรือ ‘หมอ วิถีเล็กๆ ลึกซึ้งถึงแก่นแท้ ความรับผิดชอบยิ่งใหญ่ คนทำงานชั้นต่ำ’
“หลานเข้าใจเจ้าค่ะ”
ฮูหยินฉินผู้เฒ่าจึงโบกมือให้นางไปได้ ฉินหลิวซีเพิ่งจะเดินไปได้สองก้าว นางก็เอ่ยถามอีกหนึ่งประโยค “เจ้าว่าอาสะใภ้รองของเจ้าจะโชคร้าย จริงหรือ”
ฉินหลิวซียิ้มน้อยๆ “หลานไม่ได้สนิทกับอาสะใภ้รอง แต่ก็ไม่ได้มีความแค้นกับนาง ไม่จำเป็นต้องทำบาปทางวาจาด้วยการตั้งใจสาปแช่งนาง ท่านย่าไม่ต้องกังวล ต่อให้หลานห่างเหินกับตระกูลฉินแค่ไหน ก็ไม่มีทางใจร้ายถึงขนาดสาปแช่งคนในบ้านตัวเองได้”
นางฉินผู้เฒ่านิ่วหน้า ไม่สนิท ห่างเหิน นางจงใจเอ่ยคำเหล่านั้นออกมาให้ตนเองได้ฟัง เป็นการบอกว่าอย่าได้คาดหวังว่านางจะผูกพันกับตระกูลฉินอย่างนั้นหรือ
“ท่านย่ากินยาแล้วก็ควรเข้านอนพักผ่อนให้เร็วสักหน่อย หลานขอตัวนะเจ้าคะ” ฉินหลิวซีคารวะนาง ก่อนจะเดินออกไปอย่างช้าๆ
นางฉินผู้เฒ่ามองนางเดินออกไป สักพักก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะเอ่ยกับสะใภ้หวัง “พรุ่งนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์ แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ก็ต้องฉลอง เจ้าให้หลี่ต้ากุ้ยไปซื้อเนื้อสัตว์กับข้าวมาให้มากหน่อย ซื้อขนมไหว้พระจันทร์มาด้วยสักกี่ชิ้น ให้ทุกคนได้ครึกครื้นกันหน่อย ไม่ต้องให้อึดอัดเกินไปนัก จะได้ไม่ต้องว้าวุ่นสร้างปัญหาขึ้นมา”
สะใภ้หวังย่อเข่า “รับทราบเจ้าค่ะท่านแม่”
“เจ้าออกไปเถิด”
สะใภ้หวังยืดตัวขึ้นและกล่าวคำอำลา
ตอนที่นางออกจากห้องของฮูหยินผู้เฒ่า นางก็เห็นฉินหลิวซียืนนิ่งอยู่ที่ประตูเรือนจึงเดินเข้าไปหาพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดถึงยังยืนอยู่ที่นี่ นี่ก็ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อากาศเย็น เจ้ายังมายืนรับลมอยู่ตรงนี้อีก ระวังจะเป็นหวัดเอาได้”
ฉินหลิวซีได้ฟังคำพูดเป็นห่วงเป็นใยเช่นนี้ก็รู้สึกไม่ค่อยชินเท่าใดนัก นางจึงเอ่ย “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้ารอเพราะมีเรื่องจะเอ่ยกับท่านแม่เล็กน้อย ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก เป็นเรื่องของท่านย่า สุขภาพร่างกายของท่านย่าแย่ลงเรื่อยๆ ท่านแม่อย่าได้ตัดทอดลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ในเรือนของท่านย่า พิถีพิถันระวังให้มากขึ้นหน่อยก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน เรื่องกินดื่มจะให้บกพร่องไม่ได้”
สะใภ้หวังชะงักไปทันที นางค่อยๆ เดินไปจับมือของฉินหลิวซีพลางกระซิบ “ฉีหวงบอกข้าก่อนหน้านี้แล้วนิดหน่อยว่า หากมีคนมาเชิญ เจ้าก็จะออกไปรักษาคนหรือ”
“เป็นเช่นนั้นไม่ผิด” ฉินหลิวซีเองก็ไม่ปิดบังนาง
สะใภ้หวังงอนิ้วมือเข้ามาเล็กน้อย นางบอกไม่ถูกว่าในใจรู้สึกเช่นไร “เป็นเช่นนี้มาตลอดหลายปีนี้เลยหรือ”
ฉินหลิวซีหันไปมองหน้าสะใภ้หวัง เมื่อเห็นความเสียใจในสายตาของนางแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
“ในเมื่อเรียนวิชาแพทย์แล้วก็ต้องรักษาคน นอกจากได้ช่วยคนแล้ว ยังได้เงินค่ารักษาอีกด้วย เป็นการดีทั้งสองทางมิใช่หรือ”
สะใภ้หวังกลับถอนใจแผ่วเบา “แต่หญิงสาวอย่างเจ้า ทั้งยังอายุน้อยแค่นี้ รักษาคนไม่ใช่เรื่องง่าย หลายปีมานี้เจ้าคงลำบากแล้ว”
“ท่านแม่กล่าวหนักไปแล้ว นี่ไม่ได้เรียกว่าลำบากอันใดหรอกเจ้าค่ะ แม้ว่าจะไม่สนิทสนมใกล้ชิดกับคนในครอบครัว แต่ชีวิตของข้าไม่ได้ถือว่าแย่ ข้าติดตามอาจารย์เช่นนี้กลับเป็นสิบปีที่อิสระยิ่งนัก ทั้งยังได้เรียนวิชานิดหน่อยด้วย ก็ค่อนข้างดีอยู่” ฉินหลิวซียิ้ม
“เจ้าโทษที่ตระกูลฉินทิ้งเจ้าไว้ที่บ้านเก่านี้หรือไม่”
ฉินหลิวซีเอ่ยเรียบๆ “หากจะบอกว่าไม่รู้สึกอันใดเลย ข้าก็เหมือนจะปากหวานเพื่อเอาอกเอาใจท่าน เอ่ยเพื่อให้ท่านชอบข้า ข้าก็แค่คนธรรมดาทั่วไป มีอารมณ์และความปรารถนาเช่นกัน จะไม่มีความไม่พอใจเลยได้อย่างไร แน่นอนว่าก็เป็นเรื่องตอนที่ข้ายังเด็กเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งยังได้เข้าสำนักเต๋า ข้าก็คิดได้ ของเหล่านั้น ถ้าได้มาก็คือโชค ไม่ได้มาก็คือดวงชะตา”
สะใภ้หวังไม่รู้จะรู้สึกอย่างไรจริงๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น
“หากข้าเติบโตขึ้นมากับพวกท่าน ก็คงได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ไม่ต่างอันใดกับคุณหนูกุลสตรีในห้องหอ แต่ตอนนี้ข้ากลับเข้าสำนักเต๋า ติดตามอาจารย์เรียนวิชาแพทย์ เวลาว่างก็ออกไปข้างนอกเพื่อเปิดหูเปิดตาได้ ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยกฎระเบียบของตระกูลใหญ่ ที่สุดคือความอิสระ ว่ากันว่าอ้อยไม่ได้หวานทั้งสองด้าน คนเราก็ไม่มีใครสมบูรณ์แบบเช่นกัน มีได้ก็มีเสีย เพียงมองแต่ด้านดีด้านสว่างของเรื่องต่างๆ ก็พอ”
สะใภ้หวังตกตะลึง “เจ้าเพิ่งจะถึงวัยปักปิ่นไปได้ไม่นาน กลับมองเรื่องราวต่างๆ ได้ปรุโปร่งถึงเพียงนี้”
“อาจจะเป็นเพราะข้าเป็นคนสำนักเต๋ากระมัง ข้าฝึกตนบำเพ็ญเพียร ไม่ถูกรบกวนจากเรื่องทางโลกได้ง่าย”
สะใภ้หวังได้ยินแล้วก็รู้สึกสะอึกเล็กน้อย นางมองเรื่องต่างๆ อย่างเฉยเมยเช่นนี้ ต่อไปคงจะไม่เหมือนกับนักพรตหญิงที่ไม่แต่งงานพวกนั้นหรอกกระมัง
น่ากลุ้มใจอยู่บ้าง
ฉินหลิวซีไม่รู้ว่าท่านแม่ใหญ่ของนางกำลังกลุ้มใจเรื่องใด พอเดินเป็นเพื่อนนางจนถึงเรือนแล้วก็ขอตัวจากไป “พรุ่งนี้ข้าจะมาเยี่ยมคารวะท่านใหม่”
สะใภ้หวังมองส่งนางออกไปพลางถอนหายใจ
เสิ่นหมัวหมัวพยุงมือนางเข้าไปข้างใน “ฮูหยิน คุณหนูใหญ่มองโลกได้อย่างปรุโปร่งเช่นนี้แล้ว ไยท่านยังถอนหายใจอีก”
“ก็เข้าใจโลกมากเกินไปน่ะสิ ราวกับเซียนบนสวรรค์กระนั้น ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่” สะใภ้หวังถอนใจ