ตอนนี้ ตู๋กูซิงหลันอยากจะช่วยชดใช้ให้แทนจีเฉวียนแล้ว
ดังนั้นความอบอุ่นจากใจกลางฝ่ามือของนางจึงถ่ายทอดผ่านถุงมือผ้าเข้าสู่หัวใจของเขา คราวนี้ น้ำเสียงของเขายิ่งอ่อนลงกว่าเดิมมาก
“หลันหลัน”
แค่คำว่าหลันหลัน ก็ทำเอาตู๋กูซิงหลันเกือบจะน้ำตาไหลออกมาแล้ว
จะเล่นฉากนี้ มันไม่ง่ายเลยจริงๆ
“เจ้าค่ะ” นางพยักหน้าอย่างแข็งขัน
“อาเย่วนาง…. เคยมีความสุขอย่างแท้จริงบ้างหรือไม่?” เขาไม่อยากปล่อยมือจากมือที่จับไว้นี้เลย
เมื่อได้เห็นหญิงสาวเยาว์วัยที่มีชีวิตชีวาราวตุ๊กตาน้อย ก็ทำให้ยิ่งคิดถึงอาเย่วขึ้นมา
ดอกไห่ถางปลิวขึ้นมาทั่วท้องฟ้า เป็นภาพที่นางชมชอบมากที่สุด
กระทั่งเมื่อนางจากโลกนี้ไป เขาก็ยังไม่กล้าไปดูนางแม้แต่แวบเดียว
ด้วยสารรูปของเขาที่เป็นเช่นนี้ ต่อให้นางได้เห็นก็คงจะจดจำไม่ได้แล้ว
หากเห็น…..ก็คงจะมีแต่ความหวาดกลัว กลายเป็นฝันร้ายไปทุกคืนกระมั้ง
เขาไม่มีความกล้าหาญจะไปพบหน้านางเป็นครั้งสุดท้าย แม้แต่ข่าวคราวของนางก็ยังไม่ค่อยกล้าจะรับฟัง
ตู๋กูซิงหลันผงกศีรษะ “ตอนนั้นข้ายังเด็กมาก ไม่ค่อยรู้เรื่อง จำได้แต่ว่าท่านยายมักจะทอดถอนหายใจกับต้นไห่ถางในสวนอยู่เสมอ”
คำพูดนี้ย่อมดูสมจริงมากกว่าบอกว่า ‘มีความสุข หรือไม่มีความสุข’ มากมายนัก
ฟ่านอิงเองก็มิได้พูดอะไรมากอีก
ส่วนกลางของเกาะแตกเป็นรูกว้าง ทั้งยังมีก้อนหินหล่นลงไปด้านล่างอยู่ตลอดเวลา
ผลจากการปะทะกันของทั้งสองฝ่ายเมื่อครู่ เกาะทั้งเกาะจึงเกือบจะพังทลายลงไปแล้ว
แต่ว่าท่ามกลางการต่อสู้นี้ ฟ่านอิงกลับได้รับ ‘หลานสาว’ มาอย่างบังเอิญ
ตอนนี้ ในใจของเขามีแต่ความสับสนวุ่นวายใจ
ขณะเดียวกันเขาก็กวาดตาไปมองดูเจ้าสำนักผู้นั้น ผลพิสูจน์โลหิตย่อมไม่โกหกเขา คนผู้นี้เป็นสายเลือดของราชวงศ์จีจริงๆ
แต่ว่าคงจะมีเหตุผลบางประการที่ทำให้ไม่มีความทรงจำเกี่ยวเนื่องกัน
ทั้งยังกลายเป็นเจ้าสำนักหยินหยาง แถมยังรับหลานสาวเป็นศิษย์
ฟ่านอิงรู้สึกว่าตนเองสมควรใจเย็นลง ทำความเข้าใจกับประเด็นเหล่านี้ก่อน
“นี่ก็เย็นมากแล้ว เจ้าก็ค้างคืนอยู่บนเกาะก่อน ดีหรือไม่?” ฟ่านอิงขอความเห็นจากตู๋กูซิงหลัน
“ดีเจ้าค่ะ” ตู๋กูซิงหลันตอบรับอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามิได้มีความระแวงต่อเขาแม้แต่นิดเดียว
ท่านเจ้าสำนักยังคงไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว ถึงอย่างไรไม่ว่าศิษย์น้อยจะอยู่ที่ไหน เขาก็จะอยู่ที่นั่นด้วย
เขาสามารถวางปัญหาเรื่องเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเอาไว้ก่อนชั่วคราว
หลังรอให้ก้อนหินจากรูใหญ่บนเกาะร่วงลงไปอีกเรื่อยๆจนกลายเป็นหลุมกว้าง เกาะลอยฟ้าแห่งนี้ก็ค่อยๆสงบลงจนมีความเสถียรขึ้นมาอีกครั้ง
ฟ่านอิงพานางกลับไปที่บนต้นไห้ถางต้นใหญ่อีกครั้ง
หอชมจันทราพังทลายไปแล้ว
ได้แต่เข้าพักในเรือนข้างเคียง
ที่นั่นไม่ได้เย็นเฉียบเหมือนในหอชมจันทรา ดูเป็นปกติกว่ามาก
พอให้ตู๋กูซิงหลันเข้าพัก ก็มีกระเรียนเซียนอีกหลายตัวบินลงมา แปลงกายเป็นสาวน้อยหลายคน คอยปรนิบัตินาง
ท่านเจ้าสำนักถูกละเลยอย่างไม่สนใจใยดี
แต่เขาก็ไม่ยอมห่างจากศิษย์น้อยเกินสามก้าว
เดิมทีฟ่านอิงคิดจะสนทนากับนางให้มากกว่านี้ แต่ว่าข้างกายนางมีเจ้าสำนักนั่นอยู่ตลอดเวลา เขาจึงได้แต่ยอมปล่อยความตั้งใจนี้เอาไว้ก่อน
เพียงเอ่ยกับนางว่า “พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันงานเทศกาลหมื่นบุปผชาติแล้ว ในเมื่องว่านฮวาเฉิงย่อมครึกครื้นและสวยงามอย่างยิ่ง หลันหลันพักผ่อนแต่เนิ่นๆ พรุ่งนี้ค่อยสนุกให้เต็มที่”
“ได้เลยเจ้าค่ะ”
กว่าที่ความวุ่นวายทั้งหมดจะสงบลงได้ ที่จริงก็เกือบจะครึ่งคืนไปแล้ว
แสงไฟในห้องดับลงไปหมดแล้ว มีแต่แสงจันทร์สว่างอยู่จางๆ
ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง
แม้ว่าจะไม่ได้จุดเทียนขึ้นมา ก็สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆภายในห้องได้อย่างชัดเจน
แน่นอนว่า….รอยแผลบนใบหน้าของท่านเจ้าสำนัก ก็ชัดเจนอย่างยิ่ง
บาดแผลเส้นบางๆ ราวกับรอยมีดกรีดผ่านงานศิลปะที่ล้ำค่า ทำให้คนต้องปวดใจ
ตู๋กูซิงหลันเป็นฝ่ายขยับเข้าไปใกล้ จดจ้องใบหน้าของเขาอยู่ครึ่งค่อนวัน จากนั้นไม่พูดไม่จาก็ผลักคนลงไปบนฟูก
ท่านเจ้าสำนักแผ่นหลังเหยียดตรงราวกับพู่กัน
“จะทำอะไร?” ชายหญิงไม่อาจแตะต้อง แค่อยู่ร่วมกันในห้องหับก็ถือว่ามากเกินไปแล้ว หากยังผลักไสกันไปมาอยู่อย่างนี้ยิ่งไม่ควร
ตู๋กูซิงหลันคิดจะล้วงเอายาในถุงเฉียนคุนออกมา พอได้ยินเขาถามออกมาทั้งยังเห็นเขาทำสีหน้าราวกับเผชิญศัตรูก็ต้องขำออกมา
นางนั่งลงบนฟูกอ่อน สองมือกดลงไประหว่างข้างใบหูของเขา ร่างกายครึ่งบนคร่อมอยู่เหนือร่างของเขา
ระยะห่างระหว่างอกของทั้งสอง มีเพียงแค่หนึ่งฝ่ามือเท่านั้น
เส้นผมของนางไล้ผ่านใบหน้าของเขา
ลมหายใจของนางเป่าลงไปเบาๆอย่างไม่มีอะไรขวางกั้น นำกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกฮว๋ายฮวาที่เขาชอบมากที่สุดมาด้วย
ในตอนนั้นท่านเจ้าสำนักพลันรู้สึกว่าหัวใจของตนเองเต้นเร็วจนถี่ยิบขึ้นมา
เสียงดังตึกตักๆ…..
ยิ่งนางเข้ามาใกล้ หัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นเร็ว จนแทบจะกระเด็นขึ้นมาจากลำคอ
ตู๋กูซิงหลันเองก็ร้ายกาจอย่างยิ่ง ดวงตาของนางมีประกายหยดน้ำฉ่ำชื้น ดูไปคล้ายไร้เดียงสา และไม่ตั้งใจ
นางก้มตัวลงมา จนจมูกใกล้จะจรดกับเขาอยู่แล้ว
ท่วงท่าเช่นนี้นับว่าคลุมเครือจนหมิ่นเหม่อย่างยิ่ง
แต่แล้วนางกลับถอนหายใจออกมาด้วยท่าทางเกียจคร้านเย้ายวน “ชายหญิงอยู่กันเพียงลำพังในห้องกลางดึก เจ้าก็หน้าตาดีเช่นนี้”
“เจ้าว่า…. ข้าสมควรจะทำเช่นไรดี?”
ลมหายใจของนางเป่าเบาๆลงบนใบหน้าของเขา คันนิดๆ แม้แต่รอยแผลบนใบหน้าของเขาก็เหมือนจะคันขึ้นมา
ท่านเจ้าสำนักรู้สึกเหมือนมีประกายไฟดวงเล็กๆจุดขึ้นในหัวใจ ลำคอของเขาแห้งผาด แต่ใบหน้ารีบคืนสู่ความเย็นชาที่เขาคุ้นชิน
เขาเบนสายตาออกไป ไม่ยอมมองดูนาง น้ำเสียงก็สะท้านน้อยๆ “ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า มีศิษย์ที่ไหนคิดล่วงเกินอาจารย์กัน อย่าได้ซุกซนวุ่นวาย”
ตู๋กูซิงหลัน “…..” ใครคิดจะล่อล่วงเจ้ากัน?
หากนางปรารถนาจะได้ตัวบุรุษสักคน ไหนเลยจะล่อล่วงไม่ได้?
ก็แค่ชมเขาไปสองคำ ก็ทำเอาเขาได้ใจถึงเพียงนี้?
“ฉุยซือ…..เจ้ามิใช่ว่ารักษาความบริสุทธิ์ ถือศีลงดเว้นเข้มงวด ทั้งสูงส่งและเย็นชาหรอกหรือ มาบอกให้ข้าอย่าได้ซุกซน แล้วทำไมไม่ผลักข้าออกไป?”
“ทำไม ปฏิเสธแต่กลับเชิญชวน?”
ดูสิเขากลับเชื่องเชื่อถึงขนาดนี้ ทั้งๆที่เป็นบุรุษแข็งแกร่ง แต่กลับใจอ่อนยอมถูกนางกดขี่โดยไม่ตอบโต้
ตู๋กูซิงหลันคิดอยู่ว่า สมควรจะจัดยาแรงให้เขาสั่งหน่อยดีหรือไม่ เผื่อเขาจะได้ความทรงจำคืนมา
นางสงสัยจริงๆ เกิดอะไรขึ้นกับตัวของเขากันแน่
พอถูกนางกระตุ้นเตือนเช่นนี้ สองข้างแก้มของท่านเจ้าสำนักก็ต้องแดงระเรื่อขึ้นมา
แม้แต่ตัวเขาเองก็พลอยตกตะลึงไปด้วย จริงด้วย…เขาไม่ได้ผลักไสนางออกไป….
ไม่เพียงไม่ผลักไสนาง ในใจยังมีความคาดหวังเล็กๆ นี่เขากำลังคาดหวังสิ่งใดกัน?
คนที่เป็นอาจารย์ คิดคาดหวังให้ศิษย์น้อยทำอะไรกับเขา?
ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง สองข้างแก้มที่แดงระเรื่อนั้นช่างน่าดูอย่างยิ่ง
ตู๋กูซิงหลันคิดมาตลอดว่าเขาเป็นเทพตัวร้ายที่ไม่กินไม่ดื่มไม่เสพ แต่ว่าตอนนี้ดูแล้ว กลับใสซื่ออย่างยิ่ง
ริมฝีปากสีแดงของนางฉ่ำชื่น ราวกับผลเชอร์รี่ที่สดฉ่ำ
เมื่อท่านเจ้าสำนักมองดู ในใจก็เกิดความรู้สึกอยากชิมรสดูสักคำขึ้นมาอย่างเงียบๆ
ศิษย์น้อย….ยังน่าชิมกว่าผลเชอร์รี่อีกใช่หรือไม่?
พอในใจเกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา ก็เห็นศิษย์น้อยขยับตัวลุกขึ้น ใบหน้างดงามเปลี่ยนเป็นเอาจริงเอาจัง
นางหยิบขวดใบเล็กออกมา ทายาลงไปบนใบหน้าของเขา
……………….