ตอนที่ 123 วาดยันต์ราวเขียนอักษรขวงเฉ่า / ตอนที่ 124 อย่าเปิดเผยความมั่งคั่ง
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 123 วาดยันต์ราวเขียนอักษรขวงเฉ่า
“ท่านแม่ พี่หญิงใหญ่มาแล้ว” ฉินหมิงเป่าเห็นฉินหลิวซีมาก็ตะโกนเข้าไปในห้องทันที จากนั้นก็รีบเดินออกมาหาฉินหลิวซี มือน้อยๆ ของนางแตะไว้ที่เอวย่อกายลงคารวะนาง จากนั้นก็เอ่ยทักทายด้วยเสียงเด็กน้อยน่ารัก “เป่าเอ๋อร์คารวะพี่หญิงใหญ่เจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซียิ้มพลางลูบมวยผมของนาง “ไม่ต้องมากพิธีหรอก เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ไม่ไปอยู่กับท่านแม่หรือ”
“ข้าไปเยี่ยมคารวะท่านย่าตั้งแต่เช้าแล้ว หลังจากทักทายเสร็จข้าก็กลับมา ท่านแม่บอกว่าพี่หญิงใหญ่จะต้องมาที่นี่แน่ ท่านแม่ไม่ได้โกหกข้าจริงๆ ด้วย” ฉินหมิงเป่าเงยหน้าขึ้นมองฉินหลิวซีพลางเอ่ยอย่างทอดถอน “พี่หญิงใหญ่สูงจัง เป่าเอ๋อร์เอื้อมไม่ถึงเลย”
ฉินหลิวซีจึงได้โน้มตัวลงอุ้มนางขึ้นมา “แบบนี้ก็เอื้อมถึงแล้ว”
ฉินหมิงเป่าอุทานออกมาทันที ยิ้มอย่างเขินอาย และลอบมองนางพลางเอ่ย “พี่หญิงใหญ่สวยจริงๆ หอมด้วย”
“ปากเล็กๆ ของเจ้านี่เคลือบไปด้วยน้ำผึ้งหรือไร ถึงได้หวานเช่นนี้” ฉินหลิวซีอุ้มนางเดินเข้าไปข้างใน
แม่นมโจวและจวี๋เอ๋อร์ทยอยกันก้าวเข้ามาคารวะนางทีละคน ส่วนสะใภ้กู้ก็คลุมศีรษะไว้ เดินตามพวกนางมาข้างหลัง เมื่อเห็นฉินหลิวซีเข้า นางก็เผยรอยยิ้มออกมาทันที
“อาสะใภ้สาม” ฉินหลิวซีวางฉินหมิงเป่าลง ก่อนจะคารวะสะใภ้กู้ “ท่านลุกขึ้นมาทำไมหรือ”
“ช่วงนี้ข้าดีขึ้นมาแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะออกจากอยู่ไฟได้แล้ว ก็เลยเดินไปเดินมาในห้องบ้าง ไม่เป็นไรหรอก” แล้วสะใภ้กู้ก็หันไปมองบุตรสาว เอ่ยดุๆ “เจ้านี่ ทำไมไปวุ่นวายให้พี่หญิงใหญ่อุ้มอย่างนั้นเล่า ไม่กลัวพี่หญิงใหญ่เจ้าจะเหนื่อยบ้างหรือ”
“ไม่ต้องตำหนินางหรอกเจ้าค่ะ ข้าอุ้มนางเอง นางก็ไม่ได้หนักอันใดด้วย” ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้ามาตรวจชีพจรท่าน”
สะใภ้กู้ยิ้มพลางพยักหน้า ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะ จวี๋เอ๋อร์เองก็นำผ้าเช็ดหน้ามาพับแล้วรองไว้ใต้ข้อมือนาง
ฉินหลิวซีวางนิ้วทั้งสองลงไปตรวจชีพจรอย่างละเอียด หลังจากนั้นสักพักก็เปลี่ยนเป็นมืออีกข้าง “ชีพจรของอาสะใภ้สามแข็งแรงขึ้นมาก ดูท่าท่านจะปฏิบัติตามคำแนะนำของข้าเป็นอย่างดี ดูแลตัวเองได้ดีทีเดียว”
“เจ้าเอ่ยถึงอย่างนั้นแล้ว ถ้าข้าไม่เชื่อฟังอีก ก็แปลว่าไม่รู้จักดีชั่วแล้ว”
ปุ่มที่ 4 ใน 4 ตอนถัดไป
ปุ่มที่ 3 ใน 4 ตอนก่อนหน้า
ปุ่มที่ 2 ใน 4 ความคิดเห็น
ปุ่มที่ 1 ใน 4 สารบัญ
1
“เจ้าเอ่ยถึงอย่างนั้นแล้ว ถ้าข้าไม่เชื่อฟังอีก ก็แปลว่าไม่รู้จักดีชั่วแล้ว”
ฉินหลิวซีดึงมือกลับ “แม้ว่าจะดูแลตัวเองได้ดี แต่ปราณในกระเพาะของท่านยังไม่พอ เป็นสาเหตุมาจากเลือดลมพร่อง หยินมากหยางน้อย ดังนั้นแม้ว่าท่านใกล้จะได้ออกจากอยู่ไฟแล้ว ท่านก็ต้องบำรุงต่อไปอีกสักเดือน ถึงอย่างไรตอนที่ท่านคลอดก็เป็นการคลอดก่อนกำหนด และยังค่อนข้างคลอดยากด้วย”
“พี่หญิงใหญ่ เหตุใดหยินมากหยางน้อย แล้วหยางคือสิ่งใด” ฉินหมิงเป่าข้างๆ ถามขึ้นด้วยความสงสัย
ฉินหลิวซีตอบ “สิ่งที่เรียกว่าหยางหมายถึงหยางในลิ้นปี่ หยางในกระเพาะอาหาร และหมายถึงการรวมกันของหยางในช่องท้องและในกระเพาะอาหาร”
เมื่อเห็นใบหน้าที่งุนงงอันน่าสงสารของของเด็กหญิงตัวน้อย ฉินหลิวซีก็อดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มเล็กๆ ของนาง “หยางหมายถึงท้อง เส้นลมปราณท้องหยางหมิงคือเส้นลมปราณที่มีพลังหยางแข็งแกร่งที่สุด”
นางชี้ไปที่ท้องของฉินหมิงเป่าแล้วเอ่ย “ที่ตรงนี้ของเรามีพลังหยางอยู่ซึ่งก็คือปราณในช่องท้อง และคนที่มีเลือดลมเพียงพอก็จะมีปราณช่องท้องที่เห็นได้อย่างชัดเจน ในทางตรงกันข้าม เมื่อร่างกายอ่อนแอ เลือดลมพร่อง ปราณในช่องท้องก็จะไม่เพียงพอเช่นกัน คนที่มีพลังหยางไม่เพียงพอจะมีมือเท้าเย็นและชา ทั้งยังกลัวความหนาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสตรีหลังคลอดฟื้นตัวได้ไม่ดี ก็จะได้รับผลกระทบร้ายแรงในอนาคต หากปราณในช่องท้องไม่มี คนผู้นั้นก็จะไม่สบาย ตอนนี้อาสะใภ้สามก็มีหยินมากหยางน้อย”
ฉินหมิงเป่าเหมือนจะเข้าใจ นางสัมผัสมือตนเอง ก่อนจะไปแตะมือของสะใภ้กู้เพื่อเปรียบเทียบ และเห็นได้ชัดว่ามือของนางอุ่นกว่า
นางเข้าใจแล้ว ท่านแม่ยังไม่หายดี จึงเอ่ยอย่างเคร่งเครียด “ท่านแม่ ท่านจะต้องเชื่อฟังพี่หญิงใหญ่นะเจ้าคะ ต้องบำรุงดีๆ มือของข้ายังอุ่นกว่าท่านแม่เยอะเลย”
“ตกลง” แววตาสะใภ้กู้เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“เอาพู่กันมา ข้าจะเปลี่ยนตำรับยาให้ท่านใหม่”
ฉินหมิงเป่ารีบไปวิ่งไปหยิบพู่กันและกระดาษที่โต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะนำมายื่นให้นางด้วยท่าทางนอบน้อมทันที
ฉินหลิวซีกลับมองตัวอักษรจำนวนหนึ่งที่อยู่บนกระดาษนั้นก่อนจะหันไปมองสะใภ้กู้
สะใภ้กู้มองตามสายตาของนาง แล้วก็ต้องหน้าแดง นางหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาไว้กับตัว “ข้าอยากจะเขียนจดหมายถึงท่านอาสามของเจ้าหน่อยน่ะ เพิ่งจะเริ่มเขียนได้ไม่คำ เป่าเอ๋อร์ รีบไปหยิบกระดาษแผ่นใหม่มาเร็ว”
ฉินหลิวซีเห็นว่านางเขียนตัวอักษรเสี่ยวข่าย[1]บนกระดาษนั้นอย่างเหม่อลอย “อาสะใภ้สามคิดถึงท่านอาสามหรือ”
สะใภ้กู้ตารื้นแดงเล็กน้อยพลางพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จะให้ไม่คิดถึงได้อย่างไรเล่า ก่อนหน้านี้ข้าส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้เขาหลังคลอดได้ไม่นาน หวังว่าเขาจะสบายใจเมื่อรู้ว่าลูกๆ คลอดออกมาแล้ว ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาได้รับมันหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่เคยได้รับจดหมายตอบกลับมาเลย จึงคิดจะเขียนไปอีกฉบับ”
“แม้ว่าอากาศจะเริ่มหนาวแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ถึงฤดูหนาวจริงๆ ระหว่างทางยังไม่มีหิมะสะสม เดินไม่ยาก ท่านอาสามก็น่าจะได้รับจดหมายจากท่านแล้ว” ฉินหลิวซียิ้มพลางปลอบโยนนางแล้ว รับกระดาษที่ฉินหมิงเป่าส่งมาให้ ตวัดพู่กันอย่างรวดเร็วก็เขียนใบสั่งยาใหม่เสร็จเรียบร้อย
สะใภ้กู้มองแล้วก็ชมนาง “อักษรของเจ้าเป็นแบบโซ่วจิน[2] ฝีพู่กันบางเรียวและแข็งแรง ดูอิสระและสง่างามอย่างยิ่ง ไม่เหมือนสตรีทั่วไปที่ชอบเขียนตัวบรรจงขนาดเล็ก นี่เป็นตัวอักษรแบบที่เจ้าเขียนได้ดีที่สุดหรือ”
“ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะ ตัวอักษรที่ข้าเขียนได้ดีที่สุดน่าจะเป็นขวงเฉ่า[3]” ฉินหลิวซียื่นใบสั่งยาให้นาง
สะใภ้กู้ประหลาดใจ “ขวงเฉ่า?”
สตรีเขียนตัวอักษรแบบขวงเฉ่าหรือ
“ข้าวาดยันต์ชินแล้ว!”
สะใภ้กู้ “…”
ฉินหมิงเป่าหัวเราะออกมาทันที “พี่หญิงใหญ่ ท่านวาดยันต์เป็นจริงหรือ มันเป็นอย่างไรหรือ”
“อยากเห็นหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ย “เช่นนั้นก็ไปหยิบกระดาษมาอีกแผ่น”
ฉินหมิงเป่ารีบวิ่งไปหยิบกระดาษมาอีกแผ่นทันที นางเป็นเด็กฉลาดจึงหยิบกล่องหมึกตราประทับสีแดงมาด้วย
ฉินหลิวซีเลิกคิ้วทันที นางไม่ได้ใช้พู่กัน เพียงใช้นิ้วเรียวยาวแตะสีแดงจากแท่นหมึกแดงแล้ววาดยันต์ลงบนกระดาษสีเหลือง
นางวาดยันต์ไม่เหมือนนักพรตทั่วไปที่ต้องจุดธูปเพื่อสักการะเทพเจ้า แต่ขยับมือไปตามอำเภอใจ ยามปลายนิ้วจรดกระดาษอักษรยันต์ พลังวิญญาณก็แนบติดไปด้วย ราวกับมีแสงสีทองส่องประกาย เพียงผ่านไปสองสามลมหายใจ ยันต์คุ้มครองให้ปลอดภัยก็เสร็จเรียบร้อย
อักษรยันต์ที่เหมือนหนังสือจากสวรรค์นั้นไม่อาจเข้าใจได้เลย แต่มันก็เหมือนอักษรขวงเฉ่าพวกนั้นที่จรดพู่กันครั้งเดียวออกมาเป็นตัวอักษรทั้งหมด เปลี่ยนแปลงไม่อาจคาดเดาได้ คมกริบและทรงพลัง
สะใภ้กู้ไม่สามารถเอ่ยอะไรได้ “นี่ เป็นอักษรขวงเฉ่าจริงๆ”
ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อยก่อนจะพับยันต์คุ้มครองให้ปลอดภัยนั้นให้กลายเป็นผีเสื้อสีเหลืองอ่อนอย่างช่ำชอง แล้วส่งให้ฉินหมิงเป่า “ยันต์คุ้มครองให้ปลอดภัย ข้าให้เจ้า เอาไปใส่ไว้ในถุงเงินพกติดตัวไว้”
“ให้ข้าหรือ ผีเสื้อตัวนี้พับได้สวยมาก ขอบคุณพี่หญิงใหญ่เจ้าค่ะ” ฉินหมิงเป่าใช้สองมือโอบอุ้มผีเสื้อนั้น สีหน้าเต็มไปด้วยความสุข
สะใภ้กู้ซาบซึ้งใจ “ซีเอ๋อร์ ยันต์คุ้มครองให้ปลอดภัยนี้ ต้องวาดด้วยกระดาษสีเหลืองและชาดมิใช่หรือ ใช้กระดาษนี้ได้เหมือนกันหรือ”
“หมึกในกล่องนี้มีชาดผสมอยู่ด้วย ส่วนกระดาษ กระดาษชนิดนี้เป็นกระดาษหมาซาที่มีสีเหลือง ใช้ได้เช่นกัน” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ความจริงแล้ว กระดาษและชาดเป็นเรื่องรอง สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออักษรยันต์นั้นมีพลังทางวิญญาณหรือไม่ ถ้าอักษรยันต์มีพลังวิญญาณก็จะเป็นยันต์ที่มีประโยชน์ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นอักษรยันต์ที่ไม่มีพลังวิญญาณ ต่อให้ใช้กระดาษเหลืองและชาดที่ดีแค่ไหนก็ตาม ยันต์นั้นก็จะไร้ประโยชน์ ใช้การไม่ได้”
พลังวิญญาณเล็กน้อยก็เป็นยันต์ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องทรงพลัง เพียงใช้ได้ก็พอแล้ว ไม่คิดสนใจว่าเป็นชาดหรือกระดาษเหลืองหรือไม่
แม้กระดาษเหลืองย่อมดีกว่ากระดาษทั่วธรรมดาไปอยู่แล้ว แต่ยันต์วิญญาณก็มีพลังของมันเอง ได้ผลเหมือนกัน
ฉินหมิงเป่ามองนางด้วยสีหน้าชื่นชม “ก็หมายความว่ายันต์ที่พี่หญิงใหญ่วาดก็ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันหมด”
สะใภ้กู้รู้สึกทึ่งเล็กน้อย “สิ่งที่เจ้าได้เรียนตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่เหมือนกับพี่น้องผู้หญิงคนอื่นๆ ในบ้านเลย”
ฉินหลิวซีสีหน้าสงวนิ่ง “ชะตากรรมของข้าแตกต่างจากพวกนาง”
โชคชะตาแตกต่าง การเรียนรู้ก็ต้องแตกต่างเช่นกัน
ตอนที่ 124 อย่าเปิดเผยความมั่งคั่ง
ฉินหลิวซีกลับมากจากเรือนของสะใภ้กู้แล้ว นางก็สั่งให้ฉีหวงนำกล่องใส่สิ่งของต่างๆ ที่ราชาผีตงฟางให้นางเมื่อคืนออกมา
“คุณหนู ท่านจะหาอันใดหรือเจ้าคะ” ฉีหวงมองดูกล่องที่นางยัดเครื่องประดับใส่ลงไปอย่างง่ายๆ ใบนั้น ซึ่งมีของเก่าล้ำค่าบรรจุอยู่ด้วย รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา
“ราชาผีตงฟางให้ของขวัญที่มีเด็กเกิดในบ้าน เลยว่าจะลองหาสักสองชิ้นไปให้ผิงอาน เมื่อคืนข้าดูเหมือนจะเห็นลูกปัดผีเสื้อคู่หนึ่งสวยดี” ฉินหลิวซีหาไม่พบจึงคว่ำกล่องใบนั้นลงกับพื้นเสียเลย
ฉีหวง “…”
ดีที่คนพวกนั้นไม่อยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นถ้าพวกเขาเห็นพฤติกรรมของนางเข้าคงจะเสียสติไปเลยกระมัง
ของพวกนี้เป็นของล้ำค่า ไม่ใช่เศษโลหะ!
“หาเจอแล้ว” ฉินหลิวซีผลักกองสิ่งของออกไป และหยิบลูกปัดผีเสื้อไพลินเล็กๆ คู่หนึ่งออกมา
ฉีหวงเตือนนาง “คุณหนู พวกผิงอานเป็นคุณชายน้อย เป็นเด็กผู้ชาย มอบลูกปัดพวกนี้ให้ คงไม่ค่อยเหมาะกระมังเจ้าคะ”
“ไม่ได้ให้พวกเขา ให้น้องหญิงสี่ใช้” ฉินหลิวซีหยิบเครื่องประดับขึ้นมามอง “ข้าเห็นว่ามวยของนางใช้เชือกสีแดงมัดไว้ ไม่มีเครื่องประดับประดับใดเลย ให้ลูกปัดดอกไม้คู่หนึ่งแก่นาง เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ใส่แล้วดูดี”
ฉีหวงยิ้ม “ท่านให้ความสำคัญกับเด็กน้อยคนนั้นเป็นพิเศษเลยนะเจ้าคะ”
“เด็กน้อยเป็นเด็กดี สะอาดสะอ้าน”
ฉีหวงรู้อยู่แล้วว่าฉินหลิวซีมองคนไม่ผิด ปกติในยามที่นางพบเจอฉินหมิงเป่า นางก็รู้สึกว่าเด็กน้อยคนนี้มีนิสัยน่ารักน่าเอ็นดูกว่าพี่สาวคนอื่นๆ ของนางมาก ดังนั้นนางเองก็ยัดขนมและผลไม้ให้นางอยู่เป็นครั้งคราวเหมือนกัน
“แต่นายท่าน ท่านให้ลูกปัดนางคู่หนึ่งเช่นนี้ ไม่กลัวว่าคนอื่นจะว่าท่านเลือกปฏิบัติบ้างหรือ”
ฉินหลิวซีไม่สนใจอยู่แล้ว “เจ้าเคยเห็นข้ากลัวคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ด้วยหรือ เลือกปฏิบัติแล้วอย่างไร จิตใจคนเรามีความลำเอียงอยู่แล้ว จะไม่อนุญาตให้ข้ามีความชอบใดๆ หรือไร อีกอย่าง ของของข้า ข้าเต็มใจให้ก็ให้ ใครจะกล้าชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์ข้า”
นางวางลูกปัดดอกไม้ลง หยิบพู่กันและกระดาษขึ้นมาวาดยันต์กำจัดพลังชั่วร้าย แล้วละลายมันลงในชามน้ำ จากนั้นก็นำลูกปัดดอกไม้ใส่ลงไป
เครื่องประดับนั้นล้วนเป็นของดี แต่ราชาผีตงฟางเป็นคนเก็บสะสมไว้ มันจึงแปดเปื้อนไปด้วยพลังชั่วร้าย ไม่สามารถมอบให้คนอื่นใช้ส่งเดชได้ โดยเฉพาะเด็กน้อยอย่างฉินหมิงเป่า ยิ่งไม่ควรแปดเปื้อนด้วยพลังไม่ดี นางจึงต้องจัดการกำจัดพลังนั้นก่อนแล้วค่อยให้
ฉินหลิวซีหยิบปิ่นหยกอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะหยิบแม่กุญแจผิงอานสองชิ้นวางลงไปด้วย มือหนึ่งเท้าคาง มืออีกข้างก็จับของพวกนั้นเล่น
“ซีเอ๋อร์”
เสียงของสะใภ้หวังดังขึ้นที่ประตู “ข้าเข้าไปได้…”
เสียงของนางค้างอยู่ในลำคอ สายตาก็จ้องมองกองเศษขยะด้วยความอึ้งงัน ไม่ใช่สิ เครื่องประดับอย่างนั้นหรือ
ฉินหลิวซียืนขึ้น “ท่านแม่มาหรือ” แล้วมองตามสายตาของนาง ก่อนจะจูงนางเข้ามาด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดท่านแม่ถึงมาด้วยตัวเองเล่าเจ้าคะ หากมีเรื่องใด ท่านให้สาวใช้มาเรียกข้าไปก็ได้”
“ข้าอยากจะถามเจ้าหน่อย วันนี้อาจารย์ของเจ้าจะกลับมาที่อารามหรือไม่ จะต้องเชิญเขามาร่วมฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์กับพวกเราด้วยหรือไม่” สะใภ้หวังได้สติกลับมา และชี้ไปที่กองของบนพื้นนั่น “แต่ว่า ของพวกนี้ เจ้ากำลังยุ่งอยู่หรือ”
“อ้อ คนอื่นให้มาน่ะเจ้าค่ะ ท่านแม่ดูแล้วชอบชิ้นไหน จะเอาไปใช้สักสองชิ้นก็ได้”
สะใภ้หวังเดินเข้าไปและก้มหน้ามอง แม้ว่าเครื่องประดับจะดูยุ่งเหยิงและเป็นแบบที่ดูเก่าโบราณไปบ้าง แต่ฝีมือก็ละเอียดอ่อนมาก มันเก่าก็จริง แต่ก็มีกลิ่นอายของความโบราณเรียบง่าย คุณภาพของวัสดุที่ใช้ก็ยังยอดเยี่ยมอีกด้วย
ฉินหลิวซีเห็นนางโน้มตัวลงไปหยิบปิ่นระย้ารูปหงส์ฝังอัญมณี แล้วมองดูอย่างพินิจพิจารณา คิ้วของนางเลิกขึ้นเล็กน้อย
หลังจากที่สะใภ้หวังพินิจพิจารณาแล้ว นางก็รู้ว่าปิ่นระย้ารูปหงส์ชิ้นนี้ยังล้ำค่ากว่าชิ้นที่ฮองเฮาประดับอยู่เสียอีก
คำถามคือ มีคนอื่นมอบให้นาง คนผู้นั้นคือใครกัน
สะใภ้หวังวางปิ่นระย้าชิ้นนั้นกลับลงไป แล้วหันมามองฉินหลิวซี นิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย “เจ้าเป็นคนรู้ว่าอันใดควรไม่ควร ข้าจะไม่ถามเจ้าว่าใครเป็นคนมอบของล้ำค่าพวกนี้ให้เจ้า แต่ซีเอ๋อร์ ชื่อเสียงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับสตรี ชายหญิงจะให้หรือรับของกันเป็นการส่วนตัวไม่ได้ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ผู้ชายนั้นไม่เป็นไรหรอก แต่ผู้หญิงเราต่างหากที่จะต้องทนทุกข์ หากคนที่มอบของพวกนี้มาให้เป็นคนที่เจ้าพึงใจ และอีกฝ่ายมีความจริงใจ ก็ให้เขามาสู่ขอเจ้าได้”
ฉินหลิวซีตะลึงไป
ฉีหวงก้มหน้าลงและใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดบังมุมปากไว้ ราชาผีตงฟางอาจต้องย้ายถ้ำออกไปให้ไกลหน่อยแล้ว
ราชาผีตงฟาง ข้าไม่ใช่ ข้าไม่มีเจตนา ข้าไม่กล้าหวังในตัวใต้เท้า ข้าตายไปแล้ว!
สะใภ้หวังให้ความสนใจกับสีหน้าของฉินหลิวซี เมื่อเห็นนางนิ่งงันไปก็คิดว่าตนเองอาจพูดจาตรงเกินไปหรือไม่ แต่นางกับฉินหลิวซีก็ไม่ได้รู้จักกันมานาน หากเอ่ยอะไรอ้อมๆ นางอาจจะฟังไม่เข้าใจก็ได้ แทนที่จะต้องมาเดาใจกัน ไม่สู้เอ่ยออกไปตรงๆ ตอนนี้เลยดีกว่า
นางมองสีหน้าของฉินหลิวซี เอ่ยอย่างระมัดระวัง “หากเจ้าคิดว่าสิ่งที่ข้าพูดไม่น่าฟัง ก็อย่าได้ใส่ใจ…”
แปลกจริง เหตุใดนางจึงได้ถ่อมตัวกับผู้เยาว์ได้ถึงเพียงนี้
ฉินหลิวซียิ้ม “ท่านแม่คิดมากไปแล้ว มันไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด ของพวกนี้ไม่ใช่ของแทนใจอันใดหรอก แต่เป็นของขวัญที่คนรู้จักข้าตั้งใจมอบให้เพื่อแสดงความยินดีที่ข้ามีน้องชายเพิ่มอีกสองคน ไม่ต้องกังวลว่าของพวกนี้จะทำให้ชื่อเสียงของข้าแปดเปื้อน ถ้าเอาของออกไปก็หาที่มาไม่ได้ คนผู้นั้นตายไปหลายร้อยปีแล้ว”
สะใภ้หวังขมวดคิ้ว “ตายไปหลายร้อยปีหรือ”
เพราะอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน ดังนั้นบทสนทนาของทุกคนจึงมีช่องว่างใช่หรือไม่ ทำไมนางถึงไม่เข้าใจว่าฉินหลิวซีหมายถึงอะไร ตายแล้วมาส่งของขวัญได้อย่างไร
ฉินหลิวซีลูบจมูกของเขานาง “ก็คือให้ถือว่าไม่มีคนผู้นั้นอยู่แล้วก็ได้”
ราชาผีตงฟางคนรู้จักที่ไปไม่ถึงขั้นเพื่อนเก่าด้วยซ้ำหลั่งน้ำตาแห่งความขมขื่นออกมาเงียบๆ
สะใภ้หวังเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก นางถามเรื่องเจ้าอาวาสชื่อหยวนอีกครั้ง
“อาจารย์ออกไปได้ไม่นาน ไม่ทราบว่าจะกลับอารามเมื่อไหร่ คนสำนักเต๋าไม่ค่อยจะสนใจเทศกาลทางโลกพวกนี้เท่าใดนักหรอก ท่านแม่ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าเพียงอยากถามเจ้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ทำงานของเจ้าไปเถิด” สะใภ้หวังลุกขึ้นยืนเตรียมจะจากไป
“เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะท่านแม่” ฉินหลิวซีหยิบปิ่นระย้ารูปหงส์ส่งให้นาง “ท่านแม่ชอบก็เอาไปเถิด”
สะใภ้หวังส่ายหน้า “ไม่ถึงกับชอบหรอก แค่คิดว่าฝีมือค่อนข้างดีและมีราคากว่าปิ่นหงส์ระย้าที่ฮองเฮาใส่ตอนนี้เสียอีก ในเมื่อมีคนให้เจ้ามา เจ้าก็เก็บไว้เองเถิด เก็บไว้เป็นสมบัติติดตัว เป็นสินสอดออกเรือนในวันข้างหน้า แต่มีเรื่องหนึ่งที่สำคัญ อย่าได้เปิดเผยความมั่งคั่งของเจ้า เจ้าเองก็น่าจะรู้ดี”
โชคดีที่ฉีหวงห้ามสะใภ้เซี่ยไว้ได้ หากนางบุกเข้ามาแล้วหาของพวกนี้พบ จะไม่แย่หรือ
สะใภ้เซี่ยเอ่ย “อาสะใภ้รองของเจ้าชอบเอาเปรียบคนอื่น ต่อหน้านาง เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องอวดร่ำอวดรวย จะได้ไม่เป็นการสร้างปัญหาให้ตัวเองด้วย อีกอย่างมารดาผู้ให้กำเนิดของเจ้าก็ชอบของพวกนี้ หากเจ้ามีใจ จะมอบให้นางสักชิ้นก็ได้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นมารดาแท้ๆ ของเจ้า ตอนที่คลอดเจ้าออกมาก็ต้องทุกข์ทรมานเช่นกัน นางเป็นคนไม่ค่อยใส่ใจอะไรและออกจะซื่อๆ อยู่บ้าง แต่นางก็ไม่ได้เป็นคนจิตใจชั่วร้ายอันใด”
ฉินหลิวซีไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ นางมองสะใภ้หวังเดินออกไป ก่อนจะก้มหน้ามองปิ่นระย้าในมือ แล้ววางมันลงในชามปากกว้าง
คนบ้านนี้ใครดีหรือไม่ นางย่อมรู้ดีอยู่แล้ว
[1] เสี่ยวข่าย (小楷) ตัวอักษรบรรจงขนาดเล็ก
[2] โซ่วจิน (瘦金) ลักษณะตัวอักษรบางเรียวแต่แข็งแรง
[3] ขวงเฉ่า (狂草) ตัวอักษรหวัดมาก ลักษณะตัวอักษรที่ใช้การลากเส้นต่อเนื่องเชื่อมโยงกันไป