ตอนที่ 125 เรียกวิญญาณไล่ผี เรื่องนี้ข้าถนัดนัก!
Ink Stone_Romance
คืนพระจันทร์เต็มดวงกลางฤดูใบไม้ร่วง โคมไฟสีแดงแขวนอยู่สูง บ้านบรรพบุรุษของตระกูลฉินได้เฉลิมฉลองอย่างมีชีวิตชีวาเช่นนี้เป็นครั้งแรกในรอบสิบกว่าปี แม้แต่พวกหลี่ต้ากุ้ยก็พากันถอนหายใจ คนอยู่เยอะครึกครื้นก็จริง แต่ดูเหมือนว่าความครึกครื้นนี้จะไม่ค่อยน่ายินดีสักเท่าไหร่ เนื่องจากเคยเงียบสงบมาก่อน
หากเป็นงานฉลองเทศกาลที่มีเจ้านายอย่างฉินหลิวซีเพียงคนเดียว พวกเขาก็จะแขวนโคมไฟในเทศกาลไหว้พระจันทร์ แต่จะไม่ได้แขวนโคมไฟทายปริศนาสีฉูดฉาด แต่หากฉินหลิวซีไม่อยู่ พวกเขาก็ไม่แม้แต่จุดโคมไฟ ทว่ายามนี้กลับมีโคมไฟสีแดงแขวนอยู่ทุกหนแห่ง เต็มไปด้วยบรรยากาศของเทศกาล
และที่เรือนของนางฉินผู้เฒ่าก็มีโคมไฟทายปริศนามากมายแขวนอยู่บนยอดไม้เตี้ยๆ รอให้คนไปทายปริศนา มีเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานดังขึ้นเป็นครั้งคราว
เมื่อฉินหลิวซีพาฉีหวงมาถึง มองดูสวนที่เต็มไปด้วยสีแดง ทั้งยังได้ยินเสียงหัวเราะขบขัน ก็รู้สึกมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเดินเข้าไปในห้องก็ยิ่งรู้สึกประหลาด
“พี่หญิงใหญ่” ฉินหมิงเป่าสายตาว่องไว เมื่อเห็นนางก็กระโจนเข้ามาหาทันที
เมื่อฉินหมิงฉุนเห็นนางพุ่งเข้าไปกอดขาฉินหลิวซีก็รู้สึกไม่ยอมขึ้นมาทันที เหมือนบ่อเงินบ่อทองกำลังถูกคนปล้นไป
ไม่ได้นะ!
เขารีบเข้าไปยกมือคำนับฉินหลิวซี ”คำนับพี่หญิงใหญ่ขอรับ”
“อืม”
ทุกคนมองดู คล้ายกับมีบางอย่างแปลกๆ
ส่วนคนรุ่นเดียวกันก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด ทั้งที่ไม่อยากนักแต่ก็จำใจลุกขึ้นยืนทั้งหมด
ก็ต้องยอม เพราะเมื่อเช้านี้เพิ่งจะถูกใครบางคนสั่งสอนเรื่องกฎไปนี่!
ฉินหลิวซีจูงมือฉินหมิงเป่าไปหานางฉินผู้เฒ่า หลังจากคำนับนางฉินผู้เฒ่าแล้ว ก็หันไปคำนับสะใภ้หวังและคนอื่นๆ
“หากท่านป้าสามรู้สึกหนาว ก็สวมเสื้อคลุมอีกสักตัวเถิดเจ้าค่ะ” ฉินหลิวซีมองพลางเอ่ยเตือนสะใภ้กู่
แม้สะใภ้กู้ยังไม่ครบกำหนดอยู่ไฟ แต่วันนี้เป็นวันเทศกาลโคมไฟ นางถามฉินหลิวซีก่อนแล้วและได้คำตอบว่าสามารถออกจากเรือนได้ จึงพาบุตรสาวมาด้วย ตอนนี้ได้ยินถ้อยคำห่วงใยจากฉินหลิวซี นางก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน เอ่ย “ในห้องมีคนมากมายทำให้อุ่นดี ไม่หนาวเลย”
0
“หากท่านป้าสามรู้สึกหนาว ก็สวมเสื้อคลุมอีกสักตัวเถิดเจ้าค่ะ” ฉินหลิวซีมองพลางเอ่ยเตือนสะใภ้กู่
แม้สะใภ้กู้ยังไม่ครบกำหนดอยู่ไฟ แต่วันนี้เป็นวันเทศกาลโคมไฟ นางถามฉินหลิวซีก่อนแล้วและได้คำตอบว่าสามารถออกจากเรือนได้ จึงพาบุตรสาวมาด้วย ตอนนี้ได้ยินถ้อยคำห่วงใยจากฉินหลิวซี นางก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน เอ่ย “ในห้องมีคนมากมายทำให้อุ่นดี ไม่หนาวเลย”
ฉินหลิวซีพยักหน้า
สะใภ้เซี่ยเหลือบมองใบหน้าสะใภ้กู้ ใบหน้าของนางแดงระเรื่อกว่าตนเสียอีก แม้จะรู้ดีว่านางทุกข์ทรมานกับการตั้งครรภ์ครั้งนี้ แต่ระหว่างช่วงอยู่ไฟก็บำรุงไปไม่น้อย บรรดาสาวใช้และแม่บ้านก็ดูแลไม่ห่าง แม้จะเทียบไม่ได้กับตอนก่อนถูกยึดทรัพย์ แต่ก็ไม่ได้แย่อะไรมากมาย อย่างน้อยก็มีอาหารบำรุงอยู่ไม่ขาด
ด้วยเหตุนี้ทำให้ในใจเกิดความอิจฉาขึ้น ยามนี้เห็นฉินหลิวซีอ่อนโยนและใส่ใจอีกฝ่ายเช่นนั้น แต่กลับไม่สนใจตน นี่ช่างไม่เท่าเทียมกันเอาเสียเลย
สะใภ้เซี่ยมองพลางเอ่ยประชดประชัดสะใภ้กู้ “น้องสะใภ้สามช่างมีหน้ามีตาเสียจริง แม่หนูซีเคารพและห่วงใยเจ้ามากกว่าใครเสียอีก”
สะใภ้กู้พอจะรู้อยู่บ้างผ่านคำบอกเล่าของบุตรสาว ได้ยินเช่นนั้นจึงยิ้มพลางกล่าวว่า “พี่สะใภ้รองล้อเล่นแล้ว ซีเอ๋อร์รู้ความ ย่อมดีกับทุกคน”
“คงจะไม่ใช่เช่นนั้นหรอก ทำกับข้าที่เป็นป้าสะใภ้รองราวกับคนแปลกหน้า แม้แต่กับเด็กๆ เหล่านี้ก็ด้วย ก็ไม่ได้เอ็นดูเหมือนกับเป่าเอ๋อร์” สะใภ้เซี่ยกล่าวเสียดสี
ฉินหลิวซีเอ่ย “ท่านป้าสะใภ้รองกล่าวถูกแล้ว บางทีข้ากับท่านป้าสะใภ้รองอาจไม่มีวาสนาต่อกันกระมัง นานๆ ทีท่านถึงจะไปเรือนข้าสักครั้งแต่ไยกลับหกล้มเสียได้ เฮ้อ ช่างไม่มีวาสนาต่อกันเสียเลย ไม่สามารถเข้าใกล้ท่านป้าสะใภ้รองได้ ช่างน่าเสียดายแล้ว”
สะใภ้เซี่ย “…”
ช่างรู้จักพูดจาเสียจริง
นางกำลังจะเอ่ยต่ออีก แต่ฉินหลิวซีก็หันไปเอ่ยตัดบทกับนางฉินผู้เฒ่าว่า ”ท่านย่า ในเมื่อคนมากันครบแล้ว เริ่มรับประทานอาหารเลยดีหรือไม่”
นางฉินผู้เฒ่าก็ไม่อยากเห็นพวกนางเอ่ยเสียดสีกันไปมาจึงพยักหน้าเล็กน้อย
สะใภ้หวังจึงให้เสี่ยวเสวี่ยไปยกอาหารมา ด้วยจำนวนคนในห้องนี้จึงต้องแบ่งออกเป็นสองโต๊ะ นางฉินผู้เฒ่าพาบรรดาลูกสะใภ้กับกับอนุไปนั่งด้วยกัน รวมถึงเรียกฉินหมิงฉีมานั่งด้วย
หากนับตามลำดับก่อนถูกยึดทรัพย์ มีหรือที่อนุจะมีสิทธิ์นั่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับนางฉินผู้เฒ่าผู้เป็นใหญ่ในเรือน มีโอกาสได้ร่วมโต๊ะก็นับว่าเป็นพระคุณยิ่งใหญ่แล้ว หากเป็นตระกูลที่ปฏิบัติตามกฎจริงๆ ไม่มีทางให้อนุร่วมฉลองเทศกาลด้วยกัน
บุรุษตระกูลฉินถูกเนรเทศไปหมดแล้ว บ้านใหญ่มีภรรยาหนึ่งคน อนุหนึ่งคน บ้านสามไม่มีอนุ บ้านรองเดิมทีมีภรรยาหนึ่งคน อนุสองคน สาวใช้อุ่นเตียงหนึ่งคน แต่ก็มีเพียงอนุพานที่ให้กำเนิดบุตรชายคนโต ส่วนคนที่เหลือไม่มีบุตร สะใภ้เซี่ยถือโอกาสตอนถูกยึดทรัพย์สินเขียนหนังสือปลดปล่อยอนุหรือคืนสถานะให้
ดังนั้นตอนนี้อนุที่ตามกลับมาบ้านเดิมของตระกูลฉินจึงมีเพียงอนุวั่นของบ้านใหญ่ และอนุพานบ้านรอง พวกนางให้กำเนิดบุตรชายทั้งคู่
ฉินหมิงฉีเป็นบุตรชายคนโตจากภรรยาเอกของบ้านรอง ย่อมได้นั่งร่วมโต๊ะกับนางฉินผู้เฒ่า เขามองไปยังฉินหลิวซีด้วยสีหน้าหยิ่งผยอง
ฉินหลิวซีเหลือบมองก่อนจะหรี่ตาลง ยั่วยุนางอย่างนั้นหรือ
สายตานางแฝงไว้ด้วยความเย็นชา มุ่งตรงไปที่ฉินหมิงฉี ผู้ที่ถูกนางจ้องมองค่อยๆ ก้มศีรษะลง
สะใภ้หวังกวักมือเรียกฉินหมิงฉุนพลางเอ่ย “ฉุนเอ๋อร์ เจ้ายังเล็ก มานั่งด้วยกันเถิด”
ปลายนิ้วของนางฉินผู้เฒ่าขยับเล็กน้อย นางมองลูกสะใภ้คนโตแล้วจึงเอ่ย “ฉุนเอ๋อร์ก็มานั่งด้วยกันเถิด”
เมื่อฉินหมิงฉุนเห็นฉินหมิงเป่านั่งอยู่ข้างฉินหลิวซีราวกับเทพน้อยเฝ้าประตู ในใจคิดว่าจะปล่อยให้บ่อทองถูกแย่งไปไม่ได้ จึงลุกขึ้นเอ่ยว่า “ข้าอยากนั่งกับพี่หญิงใหญ่”
เขาเอ่ยพลางมองฉินหลิวซีอย่างระมัดระวัง แล้วถามเสียงอ่อนว่า “ได้หรือไม่ขอรับ”
ฉินหลิวซีมองเข้าไปในดวงตาดำขลับของเขา เห็นถึงความระวังตัวรวมถึงความคาดหวัง จึงเอ่ยตอบว่า “เจ้าอยากนั่งตรงไหนก็นั่ง อายุห้าขวบแล้ว เรื่องแค่นี้ตัดสินใจเองไม่ได้หรือ”
“เช่นนั้นท่านย่า ท่านแม่ ข้าจะนั่งตรงนี้” ฉินหมิงฉุนนั่งลงติดกับฉินหลิวซี
สะใภ้หวังยิ้มมุมปาก “แล้วแต่เจ้า”
ฉินหมิงฉีมองดูบรรดาคนรุ่นเยาว์นั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน มีเพียงตัวเองที่นั่งโต๊ะเดียวกันกับนางฉินผู้เฒ่า ในโต๊ะยังเป็นสตรีทั้งหมด เขารู้สึกเหมือนนั่งบนพรมเข็มอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
หรือเขาควรกลับไปนั่งโต๊ะเดียวกันกับคนรุ่นเยาว์ดี
แต่อาหารถูกยกมาแล้ว
ฉินหลิวซีไม่เคยร่วมฉลองเทศกาลกับคนในครอบครัว เดิมทีนางคิดว่าตามกฎตระกูลฉินแล้วคือทานไม่เอ่ย นอนไม่พูด หรือนางคิดมากไป
อาหารและเหล้ายกมาวางแล้ว เมื่อนางฉินผู้เฒ่าขยับตะเกียบ ก็เห็นฉินหมิงฉียกจอกเหล้าผลไม้ขึ้นมาแล้วยืนขึ้นคำนับนางฉินผู้เฒ่า ปากก็กล่าวคำมงคล แล้วยังมอบบทกวีอีกหนึ่งบทด้วย เรียกเสียงปรบมือไม่ขาดสายทันที
สะใภ้เซี่ยยิ่งเชิดหน้าชูตากว่าเดิม จะดูดีกว่านี้หากไม่เผยให้เห็นจมูกใหญ่สองรูที่สามารถเสียบต้นหอมเข้าไปได้
หลังจากฉินหมิงฉีแต่งกลอนแล้ว ที่โต๊ะของฉินหลิวซี พวกฉินหมิงเย่ว์และเด็กสาวคนอื่นๆ ก็ยกเหล้าผลไม้หรือน้ำผลไม้คำนับนางฉินผู้เฒ่า เอ่ยคำมงคลพร้อมแต่งบทกวีให้ด้วย
ฉินหมิงฉุนกับฉินหมิงเป่าที่อายุน้อย ยังแต่งบทกวีไม่เป็น จึงท่องบทกวีให้ฟัง
“ไม่สู้พี่หญิงใหญ่แต่งบทกวีด้วยสักหนึ่งบทเล่า” ฉินหมิงเย่ว์ยิ้มพลางมองฉินหลิวซี
ทุกคนต่างก็มองมาเช่นกัน
การแสดงความกตัญญูต่อผู้อาวุโส เหลือเจ้าเพียงคนเดียวแล้ว!
ฉินหลิวซีที่เพิ่งจะคีบซี่โครงผัดซอสเปรี้ยวหวาน “!”
สรุปว่านี่เป็นวิธีแสดงความกตัญญูของคนรุ่นเยาว์ในตระกูลใหญ่อย่างนั้นหรือ
เมื่อฉินหมิงเย่ว์เห็นว่าฉินหลิวซีไม่ตอบ ก็รู้สึกมีความสุขในความทุกข์ของผู้อื่นขึ้นมาทันใด พี่หญิงใหญ่ผู้นี้ไม่เคยร่ำเรียนกับอาจารย์ นางจะแต่งบทกวีได้อย่างไรกัน
“พี่หญิงใหญ่แต่งกวีไม่เป็นหรือ” ฉินหมิงซินทำท่าทางเหมือนกำลังรอดูเรื่องสนุก
“หมิงเย่ว์ พวกเจ้าเลิกทำให้พี่สาวลำบากใจได้แล้ว” ซ่งอวี่ฉิงเอ่ยเตือนเบาๆ “พี่หลิวซีคงจะไม่ชอบเรื่องพวกนี้”
ฉินหลิวซีวางตะเกียบลง หยิบผ้ามาเช็ดมุมปาก กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ความสนใจในการแต่งบทกวีอย่างทุกท่านเช่นนี้ข้ายอมรับว่าไม่ถนัด แต่ข้าถนัดสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ อย่างเช่น ท่องคาถาเรียกวิญญาณไล่ผี เรื่องนี้ข้าถนัดนัก น้องสาวอยากจะลองดูหรือไม่”
ทุกคน “?”
อะไรนะ เรียกวิญญาณไล่ผี? ใช่ผีแบบที่พวกนางคิดหรือไม่
ฉินหมิงเย่ว์และคนอื่นๆ หน้าซีด
บรรยากาศเงียบเชียบ
ฉินหมิงฉุนที่นั่งอยู่ข้างนางเพิ่งจะคีบลูกชิ้นซื่อสี่[1]มาหนึ่งลูก ตกใจจนมือสั่น ทำลูกชิ้นร่วงลงบนโต๊ะกลิ้งมาหาตัวเอง
เมื่อเห็นว่าลูกชิ้นกำลังจะตกลงไปก็มีตะเกียบคู่หนึ่งยื่นออกมาจากด้านข้างแล้วคีบลูกชิ้นนั้นอย่างแม่นยำ แล้วใส่ลงในชามเขา
ฉินหมิงฉุนอ้าปากค้าง มองดูลูกชิ้น แล้วมองคนที่ถือตะเกียบ
พี่หญิงใหญ่คงเคยฝึกมากระมัง การเคลื่อนไหวรวดเร็วแม่นยำดั่งเมฆลอยสายน้ำไหลเช่นนี้
ฉินหมิงเป่ามีสีหน้าชื่นชม ดูเหมือนว่านางจะรู้ความสามารถอีกอย่างหนึ่งของพี่หญิงใหญ่แล้ว
“ครอบครัวยากจน สิ้นเปลืองอาหารเป็นเรื่องน่าละอาย กินไปเถิด โต๊ะสะอาดอยู่แล้ว” ฉินหลิวซีบุ้ยปากไปยังชามของเขา
ฉินหมิงฉุน “!”
ภายใต้สายตา ‘ห่วงใย’ ของฉินหลิวซี เขาหยิบตะเกียบขึ้นมากินอย่างเงียบๆ
ผู้คนบนโต๊ะ “…”
ทั้งๆ ที่หล่นลงบนโต๊ะแล้วยังจะกินเข้าไปจริงๆ อีก น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวกว่าคือฉินหลิวซี
เดี๋ยวนะ ไม่ใช่สิ จุดสนใจของพวกนางอยู่ที่ลูกชิ้นอย่างนั้นหรือ ต้องเป็นประโยคที่เอ่ยว่า ‘เรียกวิญญาณไล่ผี’ ของฉินหลิวซีต่างหาก
ฉินหมิงซินลุกขึ้นเป็นคนแรก ทำหน้ามุ่ยพลางเอ่ยว่า “ท่านย่า พี่หญิงใหญ่จงใจทำให้พวกเรากลัว”
นางฉินผู้เฒ่ามองไปที่ฉินหลิวซี ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “ท่านย่า ข้าถูกใส่ร้าย ท่านก็รู้ว่าข้าเป็นคนของเสวียนเหมิน[2] นับว่าโตมาในลัทธิเต๋า ก็ไม่แปลกที่จะทำเรื่องพวกนี้นี่เจ้าค่ะ”
สะใภ้หวังเห็นนางฉินผู้เฒ่าสีหน้าดำคล้ำ จึงกล่าวตัดสินเอง “เช่นนั้นก็ไม่ควรทำให้คนกลัว อย่าว่าแต่น้องสาวของเจ้าขี้ขลาดเลย แม้แต่ผู้ใหญ่อย่างพวกเราก็กลัวกันหมดแล้ว”
ใครจะไม่กลัวกันเล่า ผีเชียวนะ!
“เอาล่ะ” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยท่าทางเสียใจ “ข้าเพียงอยากให้พวกท่านได้เห็นว่าข้าถนัดสิ่งนี้ก็เท่านั้นเอง”
รู้ว่าเจ้าถนัด แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ดูหรอก!
เมื่อฉินหลิวซีมาไม้นี้ก็ไม่มีใครกล้าให้นางแต่งบทกวีอีก หากไปกระตุ้นให้นางท่องคาถาขึ้นมาจะทำอย่างไร
แม้มีแนวโน้มว่านางแค่ขู่ แต่หากเป็นจริงขึ้นมาย่อมน่ากลัว เรื่องผีเรื่องเจ้า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่!
ด้วยวิธีนี้ทุกคนจึงยอมสงบลง ควรทานก็ทาน ควรดื่มก็ดื่ม เมื่อทานเสร็จแล้วก็ได้เวลาไปทายปริศนาบนโคมไฟข้างนอก
เดิมทีนางฉินผู้เฒ่ามองดูเด็กๆ เอะอะโวยวาย ใบหน้าแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม แต่พอดูไปดูมา สีหน้าก็กลับแย่ลง นัยน์ตามีน้ำตาคลอ
“ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ” ติงหมัวหมัวสังเกตเห็นสีหน้าของนาง ก่อนจะยื่นผ้าเช็ดหน้าส่งให้
บรรดาลูกสะใภ้ต่างก็มองด้วยความเป็นห่วง
“ก็แค่นึกถึงนายท่านใหญ่กับคนอื่นๆ ไม่รู้ว่าพวกเขาไปถึงจุดพักม้ากันหรือยัง ได้ทานข้าวหรือไม่ วันนี้เทศกาลโคมไฟ จะมีขนมไหว้พระจันทร์ทานหรือเปล่า” นางฉินผู้เฒ่าเอ่ยเสียงสั่น “ข้าเพียงคิดถึงพวกเขา”
รอยยิ้มของทุกคนจางลง บรรยากาศเงียบสงบ
ฉินหลิวซีหูไว หลังจากฟังที่นางฉินผู้เฒ่าเอ่ยก็เงยหน้ามองท้องฟ้า “มีคนปล่อยโคมลอยแล้ว พวกเราก็ปล่อยโคมลอยกันเถิดเจ้าค่ะ”
ทุกคนถูกนางขัดจังหวะ ต่างก็เงยหน้าขึ้นไปมอง จริงด้วย มีโคมลอยสีขาวกำลังลอยขึ้นฟ้า
ฉินหลิวซีรับพู่กันและหมึกที่ฉีหวงยื่นให้ กางโคมลอยลงบนพื้นแล้วเริ่มวาดสัญลักษณ์
“พี่หญิงใหญ่ ท่านวาดยันต์อีกแล้วหรือเจ้าคะ” ฉินหมิงเป่านั่งยองๆ มองนางอยู่ด้านข้าง
ฉินหมิงฉุนไม่ยอมอ่อนข้อให้ จึงนั่งยองๆ จ้องมองตาโต นี่คือยันต์หรือ ทำไมดูยุ่งเหยิงไปหมด เหมือนภาพวาดผีจริงๆ ด้วย
“นี่คือคำอธิษฐาน” ฉินหลิวซีวาดรูปสัญลักษณ์ไม่กี่ตัว แล้วเขียนตัวอักษรอีกสี่ห้าตัว ‘เติบโตอย่างราบรื่น’ แล้วลงนามอักษร ‘ฉิน’
สะใภ้หวังพยุงนางฉินผู้เฒ่าเดินมาดู เอ่ย “เขียนได้ดีจริงๆ ” เมื่อนางฉินผู้เฒ่าเห็นตัวอักษรกับสัญลักษณ์เหล่านั้นก็รู้สึกสบายใจ
ฉินหลิวซีกางโคมลอยออก วางให้ตรงก่อนจะจุดไฟ มือทั้งสองข้างประคองไว้แผ่วเบา เมื่อรู้สึกว่าอากาศในโคมเพียงพอแล้วจึงปล่อยมือออก
โคมค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับคำอธิษฐานและความหวัง
[1] ลูกชิ้นซื่อสี่ เป็นของอาหารซานตงและเป็นหนึ่งในอาหารจีนดั้งเดิม ประกอบด้วยลูกชิ้นสี่ลูกที่มีสี กลิ่น และรสชาติที่ดี สื่อถึงเหตุการณ์สำคัญสี่ประการของชีวิต ได้แก่ ความสุข ความมั่งคั่ง อายุยืนยาว และความมงคล
[2] เสวียนเหมิน ศาสตร์แห่งความลี้ลับ ลึกลับ ต่อมา “เสวียนเหมิน” ถูกนำมาใช้เพื่อหมายถึงลัทธิเต๋า