ตอนที่ 127 วิชาแพทย์และการทำนายของนางเป็นเลิศ
Ink Stone_Romance
ณ ตำหนักรับรองชางหลาน
ฉีเชียนกำลังถามไถ่สารทุกสุกดิบอยู่ในตำหนักของพระชายาผู้เฒ่า เมื่อเห็นใบหน้าเสด็จย่ามีเลือดฝาดขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มรู้สึกสบายใจมากขึ้น เอ่ย “เดิมทีอยากจะถามเสด็จย่าว่าสุขภาพแข็งแรงดีหรือไม่ ตอนนี้เห็นสีหน้าท่านมีเลือดฝาด ข้าก็วางใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หากเป็นเวลานี้ในปีที่แล้ว พระชายาผู้เฒ่าไม่แม้แต่จะออกจากห้อง ทำได้เพียงแต่ซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม มีหรือจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าบางๆ เช่นนี้ได้
พระชายาผู้เฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วิชาแพทย์ของเสี่ยวฉินไม่ธรรมดา นับว่าร่างกายของย่าแข็งแรงขึ้นมาก เจ้าสบายใจได้”
ฉีเชียนพยักหน้า
ในขณะเดียวกัน อิงเป่ยรายงานข่าวว่าหั่วหลางกลับมาแล้วรออยู่ด้านนอก มีเรื่องจะรายงาน ฉีเชียนบอกให้เข้ามาทันที
หั่วหลางเดินเข้ามาแล้วคารวะ
“ตลอดทางมานี้ราบรื่นหรือไม่ ได้ส่งอาจารย์ปู้ฉิวอย่างปลอดภัยหรือไม่” ฉีเชียนเอ่ยถาม
หั่วหลางยกมือขึ้นประสานพลางกล่าวว่า “รายงานนายท่าน ตลอดทางราบรื่นไปได้ด้วยดี อาจารย์ได้กลับไปที่อารามเต๋าแล้ว จริงสิ อาจารย์ยังกล่าวขอบคุณสำหรับของขวัญจากพระชายา และฝากให้กระหม่อมนำของขวัญกลับมาถวายด้วย ขอองค์พระชายาโปรดทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”
เขาหยิบกล่องยาวเล็กๆ ที่ฉินหลิวซีให้ออกมาจากแขนเสื้อของเขา นำส่งให้พระชายา จ้าวหมัวหมัวเข้าไปรับมาเปิดดู เห็นปิ่นไม้อันหนึ่งก็อดแปลกใจไม่ได้
“เชิญพระชายาทอดพระเนตรเพคะ”
พระชายาผู้เฒ่ารับมา หยิบปิ่นไม้ออกมาพลางกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “นี่คือปิ่นไม้หรือ”
หั่วหลางตอบว่า “กราบทูลพระชายา อาจารย์บอกว่านี่คือปิ่นลายท้อมงคล แกะสลักจากไม้เหลยจี[1] อวยพรให้พระชายาประสบความสำเร็จทุกประการสมดังใจ ร้อยพันเรื่องร้ายไม่อาจรุกรานพ่ะย่ะค่ะ”
พระชายาผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้นก็ชื่นใจ มองปิ่นไม้นี้อย่างละเอียด ปลายด้ามบางและเรียวยาว ตรงกลางด้ามแกะสลักลายลูกท้อ ใบท้อ และน้ำเต้าหนึ่งลูก ช่วงบรรจบกับหัวปิ่นแกะสลักตัวอักษร ‘สมปรารถนา’ หัวปิ่นเรียวยาว แกะสลักอย่างประณีตและแวววาวเป็นประกาย
“นางยังมีฝีมือด้านนี้อีกด้วย แกะสลักได้ไม่เลวเลย” พระชายาผู้เฒ่าจับพลิกดูไปมา ใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้ม
ไม่ต้องพูดถึงงานแกะสลัก แค่ความหมายแฝงของปิ่นนี้ก็ทำให้คนรู้สึกปลื้มใจแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางทำเองกับมือ ซ้ำไม้เหลยจียังสามารถปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้ ของขวัญตอบแทนนี้มีค่ามากกว่าเงินทองเครื่องประดับหลายร้อยเท่า
“นางทำด้วยใจจริงๆ ทำเอาของขวัญของข้าดูเล็กน้อยไปเลย”
ฉีเชียนรับปิ่นไม้จากมืออีกฝ่ายมาดู แกะสลักจากไม้เหลยจีจริงๆ ด้วย แต่งานแกะสลักเช่นนี้?
ทันใดนั้นเขาก็กดแผ่นยันต์ที่เก็บไว้ติดหน้าอกโดยไม่รู้ตัว รู้สึกปวดใจ
หากไม่เปรียบเทียบก็ไม่เจ็บปวด เดิมทีเขาคิดว่าแผ่นยันต์ของเขาลวดลายละเอียดพอจะเทียบชั้นกับปิ่นนี้ได้ แต่ช่างแตกต่างกันราวกับนรกและสวรรค์จริงๆ
ปิ่นมงคลนี้นับว่าเป็นเครื่องรางชั้นเลิศกระมัง!
ส่วนของเขาคงจะแค่ทำส่งๆ ไปก็เท่านั้น?
เมื่อฉีเชียนคิดได้เช่นนี้ก็พูดไม่ออกว่าในใจรู้สึกอย่างไร ทั้งตัวรู้สึกอ่อนแรงไปหมด
เมื่อพระชายาผู้เฒ่าเห็นเขายืนเหม่อก็หยิบปิ่นกลับมา นางเอามาปักไว้ที่มวยผมพลางกล่าวว่า “ปิ่นปักผมของสตรี ให้เจ้าไม่ได้หรอก”
ฉีเชียนกระตุกมุมปาก กล่าวว่า “เสด็จย่าพูดเล่นแล้ว ข้าแค่รู้สึกว่าปิ่นนี้ยอดเยี่ยมมาก”
คำว่า ‘ยอดเยี่ยม’ สองพยางค์นี้ถูกเค้นออกมาจากไรฟัน
“ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่” เขาถามหั่วหลาง
หั่วหลางได้เล่าถึงเรื่องที่ได้ยินที่จุดพักม้า “…คนผู้นั้นกล้าซื้อยันต์แคล้วคลาดในราคาร้อยตำลึงจริงๆ ไม่รู้ว่าตอนนี้เขายังรอดปลอดภัยหรือไม่”
รอดปลอดภัย?
บุรุษที่ซื้อยันต์แคล้วคลาดจากฉินหลิวซีในวันนั้นตอนนี้นั่งอยู่บนเรืออย่างสติหลุดลอย ในมือบีบยันต์แคล้วคลาดที่กลายเป็นสีเทาไปแล้ว เขามองดูศพทั้งที่อยู่บนเรือและลอยอยู่ในน้ำ สั่นสะท้านไปทั้งตัว
ในตอนเช้าตรู่ หากไม่ใช่เพราะยันต์แคล้วคลาดนี้ที่จู่ๆ ก็ร้อนจนปลุกเขาให้ตื่นจากความฝัน เกรงว่าเขาคงจะตายด้วยคมดาบกลายเป็นศพลอยอยู่ในน้ำแล้วกระมัง
ใครจะไปคิดว่าพวกเขาที่เดินทางทางน้ำยังจะต้องประสบกับโจรสลัดดักปล้นเรือ
“หนิวเกอ พวกเราไปกันเถิด” คนผู้หนึ่งหอบสัมภาระออกมาจากห้องโดยสารด้วยสีหน้าซีดเผือก
หนิวเกอเงยหน้าขึ้นอย่างเหม่อลอย เอ่ย “เมื่อไม่กี่วันก่อนองครักษ์ผู้นั้นบอกว่าอารามเต๋าในเมืองหลีชื่อว่าอะไรนะ”
อารามชิงผิงใช่หรือไม่
ถูกต้อง เขาต้องไปเติมน้ำมันตะเกียงให้พระพุทธองค์ที่อารามชิงผิง แม่เจ้า เขาเกือบกลายเป็นศพลอยน้ำแล้ว
หั่วหลางไม่รู้ว่าเขาถูกดักปล้นทำร้าย แล้วยังเล่าเรื่องที่ฉินหลิวซีทำนายว่าตระกูลของหูจื่อจะสูญเสียบิดา พึ่งจะพูดจบ อิงเป่ยก็เข้ามารายงานว่า ‘พึ่งได้รับข่าวว่าบิดาของหูจื่อเสียแล้ว ต้องการลางานเพื่อจัดพิธีศพ’
หั่วหลาง “! ”
ฉีเชียนถามอิงเป่ยว่า “เสียเมื่อไหร่”
“ดูเหมือนว่าจะเป็นเมื่อวานตอนเย็น บอกว่าหูจื่อพึ่งจะกลับบ้านมา กล่าวได้สองประโยคเขาก็เสียแล้ว นายท่านวางใจได้ พ่อของหูจื่อก็อายุเจ็ดสิบเอ็ดปีแล้วขอรับ”
ฉีเชียนพยักหน้า “ไม่ต้องให้เขารีบกลับมา จัดการเรื่องที่บ้านเสร็จแล้วค่อยกลับมา เจ้าส่งของแสดงความเสียใจไปด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หั่วหลางนับถือความสามารถของฉินหลิวซีมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งรู้สึกว่ายันต์แคล้วคลาดที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเขาหลายแผ่นนั้นมีค่ามาก ต่อไปนี้ครอบครัวของพวกเขาคือผู้ศรัทธาของอารามชิงผิง
พระชายาผู้เฒ่ากับจ้าวหมัวหมัวได้ยินเช่นนั้นถึงกลับพูดไม่ออก กล่าวว่า “วิชาทำนายของนางแปลกประหลาด คิดไม่ถึงว่าจะทำนายได้แม่นยำเช่นนี้”
นางนึกถึงสิ่งที่ฉินหลิวซีเคยทำนายให้ จึงให้คนรอบกายถอยออกไปก่อนแล้วคุยกับฉีเชียนตามลำพัง
“ความจริงแล้วนางก็เคยทำนายให้ข้าว่าถ้าปีนี้ขึ้นเหนือ คำอธิษฐานของข้าจะไม่เป็นไปตามหวัง ”
ฉีเชียนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “เสด็จย่าหมายความว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าอยากจะถวายฎีกาต่อฝ่าบาทให้เจ้าเป็นผู้สืบทอดตระกูล หากเป็นเช่นนั้น…” พระชายาผู้เฒ่าขมวดคิ้ว
ฉีเชียนเม้มปาก กล่าวว่า “เสด็จย่าไม่ต้องเป็นกังวล บุรุษย่อมมีอุดมการณ์รอบด้าน หากฝ่าบาทไม่มีพระประสงค์จะแต่งตั้งข้าเป็นผู้สืบทอดตระกูล เช่นนั้นข้าก็จะต่อสู้ด้วยตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”
พระชายาผู้เฒ่าถอนหายใจพลางกล่าวว่า “เจ้าเป็นบุตรชายคนโต เดิมทีก็ควรเป็นเจ้าที่ได้สืบทอดตำแหน่งต่อ หากไม่ใช่เพราะเสด็จแม่ของเจ้าขัดขวาง ข้าคงถวายฎีกาไปตั้งนานแล้ว”
ฉีเชียนยิ้มหยัน “วันนั้นขัดขวาง ต่อไปก็จะขัดขวาง นางรักใคร่น้องรองมากกว่า”
พระชายาผู้เฒ่าสบถเล็กน้อย สีหน้าไม่พอใจ
ฉีเชียนเห็นเช่นนั้นก็กล่าวปลอบใจ “เสด็จย่าอย่าได้กลุ้มใจเพราะเรื่องนี้เลย ปล่อยไปตามโชคชะตาเถิด ต่อให้ไม่ได้รับสืบทอดตระกูล ข้าจะไม่สามารถแย่งชิงมาได้อย่างนั้นหรือ”
พระชายาผู้เฒ่าถอนหายใจ “รอดูไปก่อน เช่นนั้นพวกเรากลับเมืองหลวงดีหรือไม่”
ฉีเชียนกล่าว “มีพระราชสาส์นรับสั่งจากฝ่าบาทให้ข้าตรวจสอบคนของตระกูลฉิน รอให้รวบรวมข่าวของตระกูลฉินเรียบร้อยแล้ว หลานค่อยกลับเมืองหลวงกับเสด็จย่า”
ตระกูลฉินหรือ
พระชายาผู้เฒ่าคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถามว่า “ตระกูลฉิน หมายถึงตระกูลฉินไหน เหตุใดจึงให้เจ้าไปตรวจสอบ”
“หมายถึงฉินหยวนซาน อดีตเสนาบดีสำนักกวงลู่ บ้านเกิดของเขาอยู่ที่เมืองหลี ถือว่าเป็นเขตปกครองของหนิงอ๋อง เพียงเพราะเกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ในพิธีเซ่นไหว้ที่วัดไท่เมี่ยวทำให้ฝ่าบาททรงพิโรธ ไม่เพียงถูกยึดทรัพย์ ซ้ำบุรุษมากกว่าสิบสองคนถูกเนรเทศ ส่วนสตรีของตระกูลฉินถูกส่งกลับบ้านเกิด เจตนาของฝ่าบาทหากไม่ใช่เพราะดูว่าตระกูลฉินสมคบคิดกับใครเพื่อดูหมิ่นราชวงศ์ ก็คงเป็นฝีมือตระกูลเหมิงที่หาฉวยโอกาสซ้ำเติมกระมัง”
เมืองหลี ตระกูลฉิน แล้วฉินหลิวซีเองก็บอกว่าตนเป็นบุตรสาวของขุนนางต้องโทษ นางก็อยู่ที่เมืองหลี เป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ
พระชายาผู้เฒ่าเหลือบมองฉีเชียน กล่าวว่า “เช่นนั้นสตรีตระกูลฉินล้วนมีใครบ้าง เจ้ารู้หรือไม่”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉีเชียนหายไป “สตรีส่วนใหญ่อยู่เรือนหลัง หลานย่อมไม่รู้ แต่ทั้งหมดนี้สามารถตรวจสอบได้พ่ะย่ะค่ะ”
พระชายาผู้เฒ่ายกถ้วยชาขึ้นมาจิบ เอนกายพิงหมอนอิง กล่าวว่า “ตระกูลฉิน ช่างบังเอิญเสียจริง อาจารย์เสี่ยวฉินที่พึ่งช่วยเสด็จย่าของเจ้า ก็แซ่ฉินเช่นกัน!”
ฉีเชียนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกๆ จากนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นอีกครั้ง
“เสด็จย่าหมายความว่า…”
“พระชายา เรือนรับรองฤดูร้อนที่อยู่ด้านข้างให้คนนำของขวัญมาถวาย บอกว่าเป็นตัวแทนคุณชายของพวกเขามาถวายพระพรพระชายาเพคะ” จ้าวหมัวหมัวแหวกผ้าม่านพลางกล่าวทูล
พระชายาผู้เฒ่าประหลาดใจ เรือนรับรองฤดูร้อนหรือ
ฉีเชียนกลับยืนขึ้น “หรือว่าอวี้ฉังคงมาแล้ว”
[1] ไม้เหลยจี(雷击木) แปลว่า “ไม้ฟ้าผ่า” หมายถึง ไม้ที่เหลือจากต้นไม้ที่ปลูกตามปกติซึ่งถูกฟ้าผ่า