ตอนที่ 138 เมื่อเดือดร้อน ฉินหลิวซีจึงต้องเคลื่อนไหว
พระอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก
สะใภ้หวังกับสะใภ้เซี่ยยังไม่กลับถึงบ้าน นางฉินผู้เฒ่าส่งคนไปถาม ฉินหลิวซีจึงต้องขอให้พ่อบ้านหลี่พาเฉินผีเช่ารถไปรอที่ประตูเมือง หลังจากนั้นไม่นานเฉินผีก็กลับมารายงานว่านายหญิงใหญ่และคนอื่นๆ มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับผู้คนที่ประตูเมือง
“เป็นคนของรองนายอำเภอจ้าว ดูเหมือนว่าทุกคนไม่ยอมหลีกให้กันตอนจะเข้าเมือง นายหญิงรองระงับอารมณ์ไม่อยู่จึงเกิดทะเลาะกัน ตอนนี้คนจากตระกูลจ้าวที่มารับขวางพวกนางไว้ และต้องการให้นายหญิงทั้งสองคุกเข่าขอโทษ มิเช่นนั้นจะจับพวกนางในโทษฐานทำผิดต่อคนของขุนนางขอรับ” เฉินผีเอ่ยพลางเหลือบมองสีหน้าของฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนว่านางจะได้ยินเกี่ยวกับรองนายอำเภอจ้าวมาเลือนรางอยู่บ้าง รองนายอำเภอจ้าวดองกับตระกูลเหมิง แต่ว่าเป็นคนไหนนั้นนางไม่รู้ชัดเจน
เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงประตูเมืองฉินหลิวซีจึงให้เฉินผีไปเชิญใต้เท้าอวี๋เจ้าเมืองมา “เจ้าแค่บอกเขาว่านักพรตปู้ฉิวจากอารามชิงผิงมาขอความช่วยเหลือจากเขา นายหญิงเป็นคนของข้า”
“ขอรับ”
เฉินผีลงจากรถม้า ร่างของเขาหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มองไม่เห็นแล้ว
ส่วนฉินหลิวซีก็ขอให้คนขับรถม้ามุ่งหน้าไปต่อยังประตูเมือง ตอนนี้เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว ผู้คนที่ประตูเมืองต่างมารวมตัวกันเพื่อดูความครึกครื้น มีรถม้าหนึ่งคันจอดรออยู่ที่ประตูเมือง ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสะใภ้หวัง หากไม่ใช่หลี่เฉิงแล้วจะเป็นใครได้
อีกด้านหนึ่งมีสตรีสวมชุดผู้ดูแลหญิงคนหนึ่งยืนจ้องมองสะใภ้เซี่ยอย่างเย่อหยิ่ง ปากของนางขยับไม่หยุด ท่าทางยโส ด้านหลังผู้ดูแลหญิงมีรถม้าที่มีสัญลักษณ์ของตระกูลจ้าว โดดเด่นเป็นอย่างมาก
ฉินหลิวซีให้รถม้าเข้าไปใกล้ ได้ยินเสียงแหลมๆ ของผู้ดูแลหญิงผู้นั้น นางชี้ไปที่สะใภ้เซี่ยพลางเอ่ยว่า “…ก็แค่คนในตระกูลขุนนางทรยศ ยังกล้ามาแย่งทางฮูหยินของข้า คิดว่าตัวเองยังเป็นตระกูลขุนนางระดับสามเหมือนเมื่อก่อนอย่างนั้นหรือ ไม่รู้จักเจียมตัวเสียจริง!”
สะใภ้เซี่ยโกรธจนหน้าแดง กำลังจะอ้าปากตอบโต้ก็ถูกสะใภ้หวังดึงนางไปไว้ข้างหลัง มองผู้ดูแลหญิงผู้นั้น เอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “พวกเราไม่ได้แย่งทาง แต่ต่อแถวเข้าเมืองตามกฎ เป็นรถม้าจวนท่านที่เข้ามาชนก่อน เดิมทีพวกเราไม่ได้มีเจตนาจะเอาความ แต่จวนท่านกลับแสดงท่าทีก้าวร้าว ถือว่าตัวเองเป็นตระกูลขุนนางก็สามารถใช้อำนาจรังแกผู้อื่นได้อย่างนั้นหรือ”
ฉินหลิวซีมองไปที่สะใภ้หวัง เห็นว่านางสวมชุดผ้าฝ้าย คลุมด้วยเสื้อคลุมขนเพียงพอนที่ตัวเองให้ ผมสีดำคลับถูกเกล้าขึ้นด้วยปิ่นหยก ยืนหลังตรง มองดูผู้ดูแลหญิงที่กำลังพูดโดยไม่ได้มีความน้อยใจหรือถูกกดขี่เลยแม้แต่นิด
สำหรับบางคนที่ได้รับการปลูกฝังอย่างดีมาตั้งแต่ยังเล็ก เกรงว่าแม้ตอนตกอับก็ยังไม่ลดตัวลง
สะใภ้หวังที่มาจากตระกูลใหญ่ย่อมเป็นเช่นนี้ ตอนนี้อาจเรียกได้ว่านางเป็นเพียงแค่คนธรรมดาสามัญ แม้แต่ผู้ดูแลหญิงของตระกูลขุนนางก็ยังกล้ารังแกนาง แต่นางกลับไม่ได้มีความตื่นตระหนกหรือน้อยใจเลยแม้แต่นิด
ผู้ดูแลหญิงผู้นั้นถูกมองจนหายใจไม่สะดวก ในใจตื่นตระหนกเล็กน้อย มองไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็คิดว่าตัวเองตื่นตระหนกอะไร อีกฝ่ายเป็นเพียงแค่ภรรยานักโทษ
“สตรีเจ้าเล่ห์ กล้าดีอย่างไรมาใส่ร้ายตระกูลขุนนาง”
“นี่ไม่ใช่การใส่ร้าย แต่หากว่าไปตามเรื่อง พวกเจ้าชน พวกข้าก็ไม่ได้เอาความ กระทั่งยอมหลีกให้ เป็นพวกเจ้าที่ไม่ยอมยุติเรื่องนี้” สะใภ้หวังมองไปที่รถม้าคันนั้น เอ่ยว่า “อีกอย่าง เจ้าบอกว่าข้าเป็นภรรยานักโทษ แต่ฝ่าบาทได้เมตตาต่อตระกูลฉินแล้ว ยึดทรัพย์สินตระกูล เนรเทศบุรุษอายุเกินสิบสองปี ส่วนสตรีให้กลับบ้านเดิมได้โดยไม่มีความผิดใดๆ จวนท่านกำลังสงสัยในการตัดสินของฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ หรือว่าจวนท่านสามารถตราโทษสตรีตระกูลฉินอย่างข้าแทนฝ่าบาทได้?”
ผู้ดูแลหญิงก็ไม่ใช่คนโง่เขลา เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็หน้าซีด เรื่องนี้ เรื่องนี้ใครจะกล้ายอมรับล่ะ
“เจ้า เจ้าอย่ามาใส่ร้ายผู้อื่น” ผู้ดูแลหญิงเอ่ยตะกุกตะกักด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
สะใภ้หวังมองรถม้าพลางเอ่ยอย่างใจเย็น “สิ่งใดที่ยอมได้ก็ยอมไป ข้าเชื่อว่าจวนท่านกระทำการใดๆ อย่างเปิดเผย ใต้เท้าจ้าวเป็นขุนนางที่ดีที่รักราษฎรดั่งบุตร ใช่ว่าจะตามใจคนในตระกูลให้จงใจสร้างเรื่องลำบากให้ราษฎร”
คำพูดเสียดสีนี้ทำเอาคนฟังใจร้อนรน!
ท่านแม่ช่างน่าสนใจจริงๆ
ฉินหลิวซียิ้มมุมปาก สวมหมวกคลุมหน้า ลงจากรถม้าแล้วเดินไป “ท่านแม่”
เมื่อสะใภ้หวังเห็นนาง สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เอ่ยว่า “เจ้ามาได้อย่างไร”
“พอพระอาทิตย์ตกถึงยามพลบค่ำ ท่านย่าเห็นว่าท่านแม่และท่านอาสะใภ้รองยังไม่กลับ เป็นห่วงพวกท่านจึงได้มารับเจ้าค่ะ” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อว่า “อีกสักพักจะมีลมแรง ท่านแม่ขึ้นไปบนรถม้าก่อนเถิด จะได้ไม่เป็นหวัด หลี่เฉิง ขับรถม้ากลับจวนเถิด”
“ขอรับ คุณหนู”
เมื่อสะใภ้เซี่ยเห็นว่านางไม่ได้ใส่ใจกับสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้เลย จึงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกปวดหัว เจ้าเด็กคนนี้ ไม่รู้หรือว่าสถานการณ์ตรงหน้าเป็นอย่างไร บอกให้ไปก็ไปได้เลยหรือ!
สะใภ้หวังก็คิดเช่นนั้น อีกฝ่ายตั้งใจจะสร้างปัญหา ทำให้เป็นเรื่องยากลำบาก หากไปเลยเกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย
แน่นอนว่าผู้ดูแลหญิงได้ยินคำพูดที่มาจากรถม้าฝั่งตรงข้าม เอ่ยว่า “พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปโดยไม่ขอโทษ มิเช่นนั้นจะถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานดูหมิ่นตระกูลขุนนาง”
ฉินหลิวซีสีหน้าเย็นชา ยกชายผ้าคลุมขึ้น มองผู้ดูแลหญิงผู้นั้นพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ต้องโทษฐานดูหมิ่นตระกูลขุนนาง เจ้ามีเอกสารทางการ มีหลักฐาน หรือว่าใช้มาตรฐานของกฎหมายต้าเฟิงมาตราโทษว่าพวกนางดูหมิ่นหรือ”
“ข้า พวกเจ้า…”
“เพียงแค่คนสามัญทั่วไป ช่างพูดจาโอหังยิ่งนัก” เสียงหยิ่งยโสของสตรีดังออกมาจากในรถม้า จากนั้นผ้าม่านก็ถูกเปิดออกเผยให้เห็นใบหน้าเล็กของสาวงามที่มีเครื่องประดับสีชาดบนศีรษะ หันไปมองสะใภ้หวังที่แต่งตัวเรียบๆ ด้วยสายตาดูถูก ก่อนที่สายตาจะไปตกอยู่ที่ฉินหลิวซี นางถึงกลับตาโต
ฉินหลิวซีมองเห็นใบหน้าของสาวงามผู้นี้ในทันที ดูเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม
หางตาแคบปูดมีไฝ ซ้ำยังมีรอยตีนกา สตรีผู้นี้ไม่ซื่อสัตย์กับคู่แต่งงาน มีนิสัยชอบควบคุม เป็นคนใจแคบและสุดโต่ง เห็นแก่ตัว ขาดความอดทน ไม่สนใจผู้อื่น คนที่หมายปองนางล้วนเป็นคนชั่วร้ายเสื่อมทราม ในตาแฝงไว้ด้วยความหมองหม่น สตรีผู้นี้จะโดนผู้ที่หมายปองทำร้ายในไม่ช้า
เมื่อสาวงามผู้นั้นเห็นดวงตาของฉินหลิวซีก็รู้สึกหัวใจเต้นแรงอย่างอธิบายไม่ถูก รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยราวกับว่าถูกอีกฝ่ายสอดแนมความลับบางอย่าง ไม่มีอะไรต้องซ่อนแต่กลับอยากหลบโดยไม่รู้ตัว
แต่เมื่อสังเกตเห็นสิ่งนี้ นางก็โกรธเล็กน้อย อีกฝ่ายเป็นใครกัน ก็แค่เด็กเมื่อวานซืน แต่ตัวเองกลับถูกทำให้ตกใจ!
สาวงามตะโกนบอกองครักษ์ข้างรถม้าว่า “มัวยืนทำอะไรอยู่ ยังไม่รีบไปเอาป้ายคำสั่งของใต้เท้าอีก”
สะใภ้หวังเริ่มกังวลเล็กน้อย เอ่ยว่ากับฉินหลิวซีว่า “ซีเอ๋อร์ ช่างเถิด ข้าจะไปขอโทษ เจ้ากลับไปก่อน”
มิเช่นนั้นเกรงว่าอีกสักครู่จะไปไม่ได้แล้ว
ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย “ท่านแม่อย่ากังวล พวกเราไปได้แน่เจ้าค่ะ”
ทันทีที่นางพูดจบก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าควบมาทางประตูเมือง ผู้ที่นำมาคือใต้เท้าอวี๋เจ้าเมือง
“มาอยู่กันทำไมตรงนี้ ประตูเมืองกำลังจะปิดแล้ว รีบเข้าเมือง มิเช่นนั้นก็ไม่ต้องเข้าแล้ว” อวี๋ชิวไฉเอ่ยเสียงดัง
เมื่อคนตระกูลจ้าวเห็นอวี๋ชิวไฉแต่งกายด้วยเครื่องแบบราชการ ก็รู้ว่าเขาคือผู้ปกครองเมืองหลี จึงรีบเข้าไปคำนับ “ใต้เท้าอวี๋ พวกเราเป็นคนในตระกูลของใต้เท้าจ้าว…”
อวี๋ชิวไฉเป็นขุนนางฝ่ายทหาร ตำแหน่งทางการของเขาสูงกว่ารองนายอำเภอจ้าว ที่สำคัญกว่านั้น เบื้องหลังของเขาคือจวนเจิ้นเป่ยโหว เขาเป็นบุตรชายคนที่สามของแม่ทัพเจิ้นเป่ยโหวผู้โด่งดัง สถานะสูงศักดิ์
“ไม่ว่าจะเป็นใครก็ให้รีบเข้าเมือง อีกสักครู่จะมีขุนนางชั้นสูงเข้าเมือง เดี๋ยวจะไปขวางทางเอาได้ ทหาร ให้พวกเขาไป” อวี๋ชิวไฉเรียกองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังให้ไปไล่คนออก
ใบหน้าของคนตระกูลจ้าวเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเล็กน้อยด้วยความโกรธ
อวี๋ชิวไฉผู้นี้ไม่เห็นแก่หน้าตระกูลจ้าวอย่างพวกเขามากเกินไปแล้ว