ตอนที่ 141 หนามของตระกูลฉินคือพี่หญิงใหญ่
Ink Stone_Romance
กล้ามาหาเรื่องหรือก็ลองดู!
ท่าทางดูถูกและแข็งกร้าวนี้ทำให้คนที่เห็นตกใจ
“เจ้า เจ้าช่างกล้ายิ่งนัก!” สะใภ้เซี่ยถูกนางเหลือบมอง ในใจรู้สึกหวาดกลัว
“เกรงว่าท่านอาสะใภ้รองจะลืมสิ่งที่ข้าพึ่งเอ่ยไปว่าข้าเป็นคนเสวียนเหมิน ท่านอาสะใภ้รอง ข้าขอแนะนำท่านว่าล่วงเกินคนต่ำช้าหรือขุนนางชั้นสูงยังดีกว่าไปล่วงเกินนักพรตเต๋า โดยเฉพาะผู้ที่มีคาถาอาคมขั้นสูง มิเช่นนั้นนักพรตเต๋ามีหลายวิธีที่จะนำโชคร้ายมาสู่ท่าน หรือกระทั่งนำโชคร้ายมาสู่บรรพบุรุษและลูกหลานของท่าน ถึงท่านจะตรวจสอบดูก็จะไม่พบอะไร!”
หากทำให้นักพรตเต๋าขุ่นเคือง พวกเขาจะไปที่หลุมศพบรรพชนของเจ้าเพื่อทำสิ่งมืดดำ เช่นนั้นทั้งตระกูลของเจ้าก็จะพบแต่ความโชคร้าย!
แน่นอนว่านางจะไม่ทำสิ่งไร้คุณธรรมเช่นนี้ แต่หากตระกูลจ้าวลงมือก่อน นางจะลงโทษเพื่อเป็นคำเตือนเล็กๆ น้อยๆ สวรรค์ก็จะไม่ลงโทษนาง อย่างไรเสียก็สมเหตุสมผล!
ตึกๆ
หัวใจของสะใภ้เซี่ยเต้นรัว เมื่อมองย้อนกลับไป ทันใดนั้นก็นึกถึงความโชคร้ายของตัวเองที่เกิดขึ้นในช่วงนี้
หรือว่านางจะทำอะไรบางอย่างแล้วตัวเองไม่รู้
ฉินหลิวซีใบหน้ายิ้มแย้มดูไม่เป็นอันตราย ดวงตาลุ่มลึก หากคิดว่าข้าเป็นคนทำ ท่านก็ไปหาหลักฐานมาสิ!
นางฉินผู้เฒ่ากลับคิดถึงสิ่งที่นางเอ่ยเมื่อครู่ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบว่า “หมายความว่าเจ้าคิดว่าหลายปีที่ผ่านมาตระกูลฉินไม่ได้คุ้มกันภัยให้เจ้าอย่างนั้นหรือ”
“ท่านแม่ ซีเอ๋อร์ไม่ได้หมายความเช่นนั้น…” สะใภ้หวังรีบแย้งขึ้นมา
นางฉินผู้เฒ่าเหลือบมอง “ข้าถามนาง”
สะใภ้หวังเม้มริมฝีปากมองฉินหลิวซีด้วยความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ สะใภ้เซี่ยมองดูความทุกข์ร้อนของผู้อื่นด้วยความยินดี
ฉินหลิวซีกลับไม่กลัวความโกรธของฮูหยินผู้เฒ่าเลยแม้แต่น้อย เอ่ยว่า “ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้าแซ่ฉิน แน่นอนว่าได้รับความสะดวกสบายและสงบสุขเพราะใช้แซ่นี้ หากท่านย่าถามข้าเช่นนี้ เช่นนั้นข้าขอถามท่านย่ากลับว่าท่านคิดอย่างไร ข้าพึ่งพาการคุ้มครองจากตระกูลฉินทั้งหมดจนได้ใช้ชีวิตเช่นนี้อย่างนั้นหรือ ท่านย่ารู้หรือไม่ว่าเด็กอายุห้าขวบจากบ้าน จากบิดามารดาไปใช้ชีวิตคนเดียว หากนักพรตเฒ่าชื่อหยวนเชื่อถือไม่ได้ เป็นเพียงคนต้มตุ๋นหลอกลวง จะเกิดอะไรขึ้นกับข้าเจ้าคะ”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวน ‘ช่างเป็นศิษย์ที่ดีของข้าเสียจริง อะไรไม่ดีก็โยนมาที่ข้าหมด!’
บรรยากาศในห้องเริ่มตึงเครียดทันที
“ซีเอ๋อร์ เจ้าเป็นเด็ก เหตุใดจึงพูดกับท่านย่าเช่นนี้ ยังไม่รีบขอโทษอีก” สะใภ้หวังยืนขึ้นหลบหลีกสายตาของนางฉินผู้เฒ่า ส่งสัญญาณให้ฉินหลิวซีอย่างร้อนรน
เจ้าเด็กคนนี้ อย่าเอาน้ำมันไปราดบนกองไฟ หากฮูหยินผู้เฒ่าถือสาเอาความ นางก็จะได้ชื่อว่าเด็กอกตัญญูแล้ว
ฉินหลิวซีเห็นดังนั้นก็รู้รำคาญเล็กน้อย ลุกขึ้นแล้วย่อเข่าโค้งคำนับ เอ่ยว่า “หลานรู้ผิดแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อนางฉินผู้เฒ่าเห็นท่าทางของนางก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย “เกรงว่าพวกเราจะรับไว้ไม่ได้ อย่างไรเสียตระกูลฉินก็เป็นหนี้เจ้า”
“ที่ท่านเอ่ยมาก็ไม่ผิดเจ้าค่ะ” จะบอกว่าเป็นหนี้นั้นก็ถูกแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่พวกเขาไม่รู้อะไรเลย เจ้าเด็กคนนี้ได้แก้ปัญหาไว้นานแล้ว
“เจ้า!” นานฉินผู้เฒ่าหายใจไม่ทันด้วยความโกรธ
“ซีเอ๋อร์ เจ้าออกไปก่อน! ” สะใภ้หวังเอ่ยเสียงดังแล้วรีบคุกเข่าลงทันที “ท่านแม่ เด็กคนนี้ไม่เคยได้รับการสั่งสอนจากพวกเรามาตั้งแต่เด็ก ล้วนเป็นความผิดของลูกสะใภ้อย่างข้า กลับไปข้าจะสั่งสอนนางให้ดี ท่านอย่าโกรธไปเลยเจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าสะใภ้หวังคุกเข่าเพื่อพูดแทนนาง
“ออกไป” นางฉินผู้เฒ่าชี้ไปที่นาง
ฉินหลิวซีคุกเข่าลงแล้วเงยหน้ามองฮูหยินผู้เฒ่าที่โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เอ่ยว่า “เป็นข้าเองที่พูดจาอวดดี ท่านย่าอย่าโกรธไปเลย พวกท่านไม่จำเป็นต้องคิดที่จะส่งของขวัญขอโทษตระกูลจ้าว หากตระกูลจ้าวกล้าใช้วิธีสกปรกกับตระกูลฉิน เช่นนั้นพวกเขาก็จะได้รับความโชคร้าย แต่ข้าคิดว่าพวกเขายุ่งเกินกว่าที่จะมาสนใจเรื่องนี้เจ้าค่ะ”
สตรีผู้นั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นใครในตระกูลจ้าว แต่ดูจากโหงวเฮ้ง จะต้องสร้างปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน หากนางอยู่ในตระกูลจ้าวจริงๆ เช่นนั้นก็จะมีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว
เมื่อฉินหลิวซีพูดจบก็ถอยออกไป
สะใภ้หวังไม่มีเวลามาสนใจอะไรมาก ลุกขึ้นรินชาให้นางฉินผู้เฒ่า สะใภ้เซี่ยเข้ามาปลอบใจฮูหยินผู้เฒ่าพลางเอ่ยว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ต้องสั่งสอนซีเอ๋อร์ให้ดี ก้าวร้าวเช่นนี้ แม้แต่ท่านย่าก็ยังกล้าที่จะไม่เชื่อฟัง หากเผยแพร่ออกไป เขาจะว่าสตรีตระกูลเราไม่กตัญญูนะเจ้าคะ”
สะใภ้หวังเหลือบมองนาง เอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ท่านแม่ เกรงว่าซีเอ๋อร์จะมีข้อสรุปบางอย่างแล้ว ท่านก็รู้ว่าเจ้าอาวาสชื่อหยวนค่อนข้างแม่นยำ วิชาเต๋าแกร่งกล้า เจ้าเด็กคนนี้ติดตามเขามาแล้วสิบปี ก็คงได้เรียนรู้ทักษะบางอย่าง เกรงว่าจะทำนายได้ว่ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับตระกูลจ้าวจริงๆ”
นางฉินผู้เฒ่าสบถเบาๆ “ไม่ต้องพูดถึงว่าเรียนรู้อะไรมาบ้าง แต่นิสัยเย่อหยิ่งนั้นกลับได้มาเต็มๆ แข็งกร้าวเป็นอย่างมาก ข้าคิดว่าคงไม่มีใครเอานางอยู่ได้”
สะใภ้หวังรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
นางฉินผู้เฒ่าก็ไม่อยากทำให้นางลำบากใจ เอ่ยว่า “ตระกูลจ้าวเป็นสุนัขรับใช้ตระกูลเหมิง แม้ว่าพวกเราจะไปขอโทษถึงจวน เกรงว่าก็จะกดดันพวกเราเพื่อเอาใจพระสนมเหมิงกุ้ยเฟย ช่างเถิด ช่วงนี้พวกเราก็ไม่ต้องออกไปเดินเล่นที่ไหน หลบไปก่อน เพียงแต่ว่าเรื่องในวันนี้ได้เตือนข้าว่าเมื่อออกไปข้างนอกจะต้องควบคุมกิริยาและอารมณ์ของตนไว้ อย่าทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองง่ายๆ”
นางเอ่ยพลางส่งสายตาให้สะใภ้เซี่ยเป็นการเตือน
สะใภ้เซี่ย “!”
“วันนี้ต่างจากเมื่อก่อน หากเรายังทำตัวเหมือนเมื่อก่อน ผู้ที่เสียเปรียบก็จะมีแต่ตัวเราเอง ดังนั้นยอมถอยดีกว่าเผชิญหน้า บอกต่อๆ ไปให้เด็กๆ เข้าใจเหตุผลนี้” สีหน้าของนางฉินผู้เฒ่าดูหดหู่เล็กน้อย
นี่คือช่องโหว่ใหญ่ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสถานะลำดับขั้น
“เจ้าค่ะ” สะใภ้หวังและสะใภ้เซี่ยต่างก็รับคำ
นางฉินผู้เฒ่าโบกมือให้พวกนางออกไป “ไม่ต้องอยู่ทานข้าวกับข้าแล้ว กลับไปที่เรือนของพวกเจ้าเถิด”
ทั้งสองย่อเข่าคำนับแล้วถอยออกไป
นางฉินผู้เฒ่าพิงหมอนอิงใบใหญ่ เอ่ยกับติงหมัวหมัวว่า “เจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่ว่านางไม่ได้มีความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลฉิน มีความแค้นอยู่ในใจ อารมณ์รุนแรงจะตายไป ”
ติงหมัวหมัวสีหน้าลำบากใจ ทำได้เพียงเอ่ยปลอบใจว่า “บ่าวเคยได้ยินคำพูดที่ว่าผู้ที่มีความถือตนจะมีความสามารถที่ยอดเยี่ยม บ่าวคิดว่าคุณหนูใหญ่ก็เป็นคนที่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ตราบใดที่ไม่ไปก้าวข้ามขีดจำกัดของนางเจ้าค่ะ”
นางฉินผู้เฒ่าสูดลมหายใจแล้วถอนหายใจยาว “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าอายุปูนนี้แล้วยังต้องมาเจอเรื่องทุกข์ร้อนใจ หากต้องทำทุกอย่างตามความต้องการของคนตระกูลจ้าวผู้ต่ำช้านั่น พระเจ้าช่าง…แค่ก แค่ก”
“ท่านไม่ต้องเอ่ยอะไรแล้ว อย่าโกรธไปเลยเจ้าค่ะ” ติงหมัวหมัวช่วยนางสงบสติอารมณ์ เอ่ยว่า “ทุกตระกูลย่อมมีหนาม ท่านก็ถือเสียว่าหนามของตระกูลเราคือคุณหนูใหญ่ก็ได้เจ้าค่ะ!”
นางฉินผู้เฒ่าได้ยินดังนั้นก็ไอจนน้ำตาไหลออกมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความโกรธหรือมีเหตุผลอื่น
ด้านนอกที่ลานบ้าน ฉินหลิวซีใช้ปลายเท้าแตะพื้น หางตาเห็นสะใภ้หวังและคนอื่นๆ เดินออกมาจึงหันไปมอง
สะใภ้เซี่ยสบถเบาๆ แล้วเดินจากไป
สะใภ้หวังถามว่า “ลมพัดแรงเช่นนี้ เหตุใดเจ้ายังยืนอยู่ที่นี่”
“รอท่านเจ้าค่ะ” ฉินหลิวซีเอ่ย
“ไปกันเถิด”
สะใภ้หวังเดินไปข้างหน้า ฉินหลิวซีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินตามไป ถามเรื่องที่ตนเองสงสัย “เมื่อครู่เหตุใดท่านแม่จึงคุกเข่าลงบนพื้นขอโทษท่านย่าแทนข้า ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น”
สะใภ้หวังหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมา เมื่อเห็นท่าทางสับสนของฉินหลิวซีจึงเอ่ยว่า “แม้ว่าข้าจะไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิดของเจ้า แต่ก็เป็นแม่ใหญ่ของเจ้า ในเมื่อเจ้าอยู่ภายใต้ชื่อของข้า ก็คือบุตรสาวของข้า ดั่งคำเอ่ยที่ว่าหากไม่ให้การอบรมสั่งสอนก็นับว่าเป็นความผิดของบิดา พวกเราไม่ได้อบรมสั่งสอนเจ้าให้ดี เช่นนั้นก็เป็นความผิดของคนเป็นบิดามารดาอย่างพวกเรา แน่นอนว่าต้องรับผิดชอบแทนเจ้า”