คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 152 แทะเมล็ดแตงโมกินกัน!

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 152 แทะเมล็ดแตงโมกินกัน!

Ink Stone_Romance

รองนายอำเภอจ้าวรู้สึกว่าตัวเองช่างโชคร้ายจริงๆ อย่างแรกคือเขาได้รับคำเตือนจากรุ่ยจวิ้นอ๋อง จึงรู้สึกว่าตำแหน่งกำลังสั่นคลอน กลัวว่าอีกฝ่ายจะหาความผิดแล้วปลดตำแหน่งตัวเอง จึงส่งลูกน้องไปสืบว่าคนผู้นั้นมาทำอะไรที่เมืองหลี

“ใต้เท้า รุ่ยจวิ้นอ๋องไปจุดธูปที่อารามชิงผิง เข้าไปนานไม่ออกมาสักที ข้าน้อยกลัวว่ารุ่ยจวิ้นอ๋องจะสังเกตเห็นทำให้ใต้เท้าต้องเสียหาย จึงไม่กล้าจับตาดูอยู่ใกล้ๆ จริงสิ ที่พักที่จวิ้นอ๋องอยู่ดูเหมือนว่าจะมีคนอื่นอาศัยอยู่ด้วยขอรับ”

“ไปอารามชิงผิงแค่นั้นหรือ” รองนายอำเภอจ้าวรู้สึกประหลาดใจ

“ขอรับ”

“เดี๋ยวก่อนนะ รุ่ยจวิ้นอ๋องนับถือเต๋าหรือ”

“ข้าน้อยไม่ทราบ แต่ว่าหลังจากที่อารามชิงผิงเปิดต้อนรับผู้ศรัทธาอีกครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็มักจะแจกโจ๊กและยารักษาโรคในช่วงฤดูหนาวเพื่อบรรเทาความอดอยาก แม้ว่าจะไม่เป็นที่นิยมเท่าวัดอู๋เซียง แต่ก็นับว่าดีมากแล้ว ซ้ำยังได้ยินว่ายันต์แคล้วคลาดของพวกเขาศักดิ์สิทธิ์มากขอรับ”

รองนายอำเภอจ้าวไม่คิดเช่นนั้น หัวเราะเบาๆ “ต่อให้ดีแค่ไหนจะเทียบกับยันต์แคล้วคลาดวัดอู๋เซียงได้หรือ นั่นเป็นวัดที่ก่อตั้งมาร้อยปีแล้ว และเป็นวัดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหลายอำเภอของเมืองหลวง”

“ใต้เท้าเอ่ยถูกต้องแล้วขอรับ”

ปากของผู้ใต้บังคับบัญชาเอ่ยคล้อยตาม แต่ในใจกลับบ่นพึมพำ หากพูดถึงเรื่องสถานที่ทางศาสนา อาศรมของอารามชิงผิงก็ไม่ได้แย่ไปกว่าวัดอู๋เซียง

รองนายอำเภอจ้าวงอนิ้ว เคาะบนโต๊ะเบาๆ ครุ่นคิดในใจ จวิ้นอ๋องผู้นั้นมาถึงเมืองหลีคงไม่ได้มาเพียงเพื่อจุดธูปบูชาหรอกกระมัง ชื่อเสียงของอารามชิงผิงเผยแพร่ไปไกลขนาดนั้นเชียวหรือ ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น

เขาอยากจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับรุ่ยจวิ้นอ๋อง แต่อีกฝ่ายกลับไม่ใช่คนที่เข้าหาได้ง่ายๆ

ขณะที่กำลังครุ่นคิด จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอก รองนายอำเภอจ้าวรู้สึกไม่พอใจ ตะโกนเสียงดังว่า “ใครทำเสียงดังโวยวายอยู่ข้างนอก ไม่รู้จักกฎเกณฑ์หรืออย่างไร”

“ใต้เท้า ใต้เท้า แย่แล้วขอรับ มีคนกลุ่มหนึ่งมาตะโกนด่าที่หน้าประตู บอกว่าให้พวกเรามอบตัวสะใภ้เจิ้งคนน้อง ผู้ดูแลประตูเกรงว่าอีกฝ่ายจะมาผิดจวน จึงบอกชื่อจวนของพวกเราไป แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจ ตอนนี้แทบจะพังประตูเข้ามาแล้วขอรับ ”

“อะไรนะ ใครกล้ามาอวดดีที่ตระกูลจ้าวของข้า อยากตายหรืออย่างไร” รองนายอำเภอจ้าวตบโต๊ะพลางยืนขึ้น

เขากำลังจะออกไปด้วยความโกรธ แต่ระหว่างทางได้พบกับสะใภ้เจิ้งคนโต อีกฝ่ายก็มีสีหน้าตกใจเช่นกัน ไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนกล้ามาก่อปัญหาที่จวน

พูดตามตรง รองนายอำเภอเจ้าเป็นขุนนางระดับห้า ซึ่งถือว่าอยู่ในตำแหน่งระดับห้าขึ้นไป กฎเกณฑ์ของราชวงศ์ได้กำหนดว่าให้ขุนนางระดับห้าขึ้นไปต้องส่งหญิงงามเข้าวังเพื่อคัดเลือกพระสนม เขาเองก็ปฏิบัติตามเงื่อนไขนี้อย่างเคร่งครัด

นอกจากนี้รองนายอำเภอจ้าวยังเป็นพรรคพวกของฝ่ายพระสนมเหมิงกุ้ยเฟยที่ได้รับความโปรดปราน ในตอนนี้จะมีใครกล้ามากระตุกหนวดเสือได้อีกเล่า

ดังนั้นรองนายอำเภอจ้าวจึงได้อาศัยความสัมพันธ์ที่มีต่อน้องสาวของลูกพี่ลูกน้องที่ได้เป็นนายหญิงสามตระกูลเหมิง ทำให้เขามีชีวิตที่รุ่งเรือง มีตำแหน่งราชการที่มีหน้ามีตา แต่สุดท้ายก็ยังมีพวกที่ไม่ดูตาม้าตาเรือมายั่วยุเขา?

“นายท่าน”

“เกิดอะไรขึ้น” รองนายอำเภอจ้าวถามขณะเดินไปด้วย “ทำไมข้าได้ยินว่ามีคนกลุ่มหนึ่งมาก่อปัญหาอยู่ข้างนอก ซ้ำยังบอกว่าต้องการพบลี่เหนียง”

“ข้าก็ไม่รู้เช่นกันเจ้าค่ะ” สะใภ้เจิ้งเองก็มึนงงเช่นกัน

“แล้วลี่เหนียงล่ะ ทำไมเจ้าไม่เรียกนางมาถาม”

สะใภ้เจิ้งเอ่ยว่า “นางกินอาหารเช้าเสร็จก็ออกไปแล้ว บอกว่าจะไปเดินซื้อของเจ้าค่ะ”

รองนายอำเภอจ้าวได้ยินดังนั้นก็รู้สึกผิดเล็กน้อย เขาลืมไปว่าตอนที่สะใภ้เจิ้งคนน้องมาฟ้องเขาให้เขาทวงความเป็นธรรมให้ เขาได้ให้ตั๋วเงินไปหนึ่งพันตำลึง ซ้ำเรื่องนี้ยังปิดบังฮูหยินไว้ด้วย

ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปด้านนอก ยังไม่ทันเดินไปถึงประตูใหญ่ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องมาแต่ไกล จากนั้นก็มีร่างหนึ่งกระเด็นมา

ตุบ

ผู้ดูแลประตูที่ถูกเตะกระเด็นล้มลงที่เท้าของรองนายอำเภอจ้าวพอดี ฝุ่นตลบอบอวล

พรวด

เมื่อผู้ดูแลประตูเห็นรองนายอำเภอจ้าวเขาก็อ้าปากเรียก แต่ก่อนที่เขาจะเรียกก็มีเลือดพุ่งออกมาเต็มปาก กระเด็นโดนรองเท้าใหม่ของรองนายอำเภอจ้าวพอดี

รองนายอำเภอจ้าว “!”

ผู้ดูแลประตู ‘ชีวิตของข้าคงหาไม่แล้ว!’

เขาหลับตาลงหมดสติไป

“สารเลว” เท้าของรองนายอำเภอจ้าวถูกับเลือดของเขา ก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว มากเกินไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นจ้าวผิงผู้นี้อยู่ในสายตา!

สะใภ้เจิ้งมองไปที่ผู้ดูแลประตู รีบกำชับคนรับใช้ “เร็ว ไปเชิญหมอตำหนักอายุวัฒนะมา” อย่าได้บุกเข้ามาทำร้ายคนในบ้านจะดีกว่า

รองนายอำเภอจ้าวเดินออกไป เห็นความวุ่นวายอยู่ตรงหน้า คนรับใช้กำลังป้องกันไม่ให้กลุ่มองครักษ์เกราะดำบุกเข้าไปในจวน เสียงดังเอะอะโวยวาย รายล้อมไปด้วยชาวบ้านมายืนมุงดูจำนวนไม่น้อย

รองนายอำเภอจ้าวโกรธมากจนเกือบจะเป็นลม เขาถอดป้ายคำสั่งที่เอวแล้วกำชับกับลูกน้องที่อยู่ด้านข้าง “รีบเอาป้ายคำสั่งของข้าไปที่ศาลปกครองนำทหารรักษาเมืองมา”

ลูกน้องรีบรับคำ

จากนั้นรองนายอำเภอจ้าวก็ยืนเท้าเอวพลางตะโกนด้วยความโกรธ “ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้”

สถานการณ์ที่วุ่นวายถึงได้เงียบลงชั่วขณะหนึ่ง

รองนายอำเภอจ้าวเหลือบมองคนรับใช้ของเขา เห็นได้ชัดว่าอยู่ในสภาพอนาถหลังจากพ่ายแพ้ในการต่อสู้ จ้องมองไปที่คนเหล่านั้น “พวกเจ้าทำอะไร รู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ไหน กล้าดีอย่างไรมาทำอวดดีที่หน้าประตูจวนข้า ใครสั่งให้พวกเจ้าทำเช่นนี้!”

“ใต้เท้าจ้าวช่างสง่างามเสียจริง! ”

เสียงที่เย่อหยิ่งดังมาจากรถม้าอันงดงามที่หน้าประตู

รองนายอำเภอจ้าวมองดูรถม้าที่ประดับตกแต่งอย่างงดงามตรงหน้าเขา หรูหราแวววาว รู้สึกคุ้นเคยอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

เขาจ้องมองไปที่รถม้า เห็นม่านอันหนาทึบถูกเปิดออก ชายหนุ่มผู้มีผิวขาวอมชมพูสวมชุดคลุมสีแดงเพลิงปักลายสีทอง มีเข็มขัดทองฝังอัญมณีสีแดงและสีฟ้าคาดที่เอว รวบผมขึ้นเพียงครึ่งเดียว ส่วนที่เหลือปล่อยยาวคลุมบ่า ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า

รองนายอำเภอจ้าวเบิกตากว้าง ใบหน้างดงามนี้ดูคุ้นเคย อีกทั้งพฤติกรรมเช่นนั้น…

เขามองดูคนรับใช้ปูพรมแดงตรงทางเดินจากรถม้ามายังประตูจวน ในขณะที่คนรับใช้อีกคนนั่งย่อตัวอยู่ข้างรถม้าแล้วโน้มตัวลง คุณชายน้อยผู้สูงส่งก็ก้าวขาลงมาเหยียบเขาเพื่อลงจากรถม้า แล้วเดินไปบนพรมแดง

ฮือฮา!

มีเสียงดังขึ้นอยู่รอบๆ

ฉินหลิวซีบังเอิญเห็นเหตุการณ์นี้ตอนที่เดินมาจากถนนที่อยู่ถัดจากตำหนักอายุวัฒนะสองเส้น อดเอ่ยชมไม่ได้ “ช่างเป็นคนพิถีพิถัน ทั้งเย่อหยิ่ง ทั้งเสเพล ควรเป็นต้นแบบคนเสเพลอันดับต้นๆ !”

คนที่อยู่รอบตัวนาง “!”

น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความนับถืออยู่ไม่น้อย หมายความว่าอย่างไร

เฉินผีเบียดตัวเข้ามาดูอยู่ด้านข้างนางเช่นกัน เมื่อเห็นคุณชายน้อยผู้นั้นก็เบิกตากว้าง เอ่ยว่า “คุณชาย เจ้าเด็กหน้าขาวผู้นี้คือคนที่เป็นหยินทั้งตัวใช่หรือไม่ขอรับ”

ฉินหลิวซีมองดูใบหน้าของคุณชายน้อยผู้นั้น เกิดในตระกูลขุนนาง เอ่ยว่า “ความมั่งคั่งทั้งหมดของบรรพบุรุษหล่นทับที่เขาหมดแล้ว มีดวงที่ค่อนข้างอ่อนแอ แต่มีพลังหยินแรงมาก เขาอาจมีดวงเช่นเดียวกันกับพี่สาวของเจ้า”

“เกิดในปีหยิน เดือนหยิน เวลาหยินหรือขอรับ” เฉินผีเอ่ยเสียงเบามาก เอ่ยเสริมว่า “หากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่น่าแปลกที่บนตัวคุณชายน้อยผู้นั้นจะมีเครื่องรางของขลังมากมายห้อยอยู่ขอรับ”

คนที่เป็นหยินโดยสมบูรณ์นั้นเกิดมาเพื่อถูกภูตผีวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิง หากเป็นสตรีก็จะเปรียบเป็นเตาที่ใช้ปลูกฝังสิ่งชั่วร้าย แต่ก็มีคนที่ไม่แบ่งแยกชายหญิง ต่อให้ไม่ถูกใช้เป็นเตาหลอมสิ่งไม่ดี ก็จะถูกนำมาฝึกวิชาสายมืด

แต่นักพรตเต๋าสายดำกลับเทียบไม่ได้กับวิญญาณเร่ร่อน ผู้ที่สามารถฝึกฝนได้จริงๆ ย่อมหาได้ยาก แต่วิญญาณเร่ร่อนสามารถพบได้ทุกที่ อย่างเช่นตอนนี้ ไม่ไกลจากตัวคุณชายน้อยผู้นั้นก็มีวิญญาณไม่น้อยคอยจ้องมองเขาอยู่

ไม่สามารถตำหนิได้ที่เขาจะใส่เครื่องรางทั้งหมดติดตัวตลอดเวลา มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าจะมีวิญญาณกี่ดวงมาติดอยู่กับร่างเล็กๆ นี้

“คุณชายท่านว่า…” เฉินผีหยุดถามไป เมื่อหันไปมองสีหน้าเจ้านายเขาก็พูดไม่ออก

ฉินหลิวซีขานรับอย่างไม่ได้ใส่ใจ หยิบเมล็ดแตงโมออกมาหนึ่งกำมือ ไม่รู้ว่าไปเอามาจากไหน ยื่นให้เขา “มา แทะเมล็ดแตงโมกินกัน!”

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท