ตอนที่ 159 คลาดจากฉินหลิวซี
สวนดอกเหมยเมืองหลี มู่ซีนั่งอยู่ในเรือนที่มีทิวทัศน์งดงาม สองขาพาดอยู่บนโต๊ะ มีคณิกาชายหน้าตางดงามคอยปรนนิบัติรับใช้ เล่นลูกกลมสีทองชั้นดีที่อยู่ในมือ ด้านข้าง องครักษ์คนหนึ่งกำลังรายงานถึงโลกที่โหดร้ายของตระกูลจ้าว อีกทั้งความยโสโอหังของสะใภ้เจิ้งคนน้องเมื่อครั้งเข้ามาในเมืองใหม่ๆ เองก็ถูกสืบโดยละเอียด
“ดูเหมือนจ้าวผิงผู้นี้จะคิดว่าเมืองหลีแห่งนี้เป็นบ้านของเขาจริงๆ ไม่ใช่สิ คิดว่าเป็นของสกุลเหมิงหรือไม่” มู่ซีแสยะยิ้มร้าย เอ่ย “เพียงรองนายอำเภอเล็กๆ หากไม่ใช่เพราะมีอำนาจ สกุลเหมิงให้เขาเป็นผู้ควบคุม เขาจะกล้าหนุนหลังให้สะใภ้เจิ้งคนน้องผู้นั้นยโสเพียงนี้หรือ”
เขาไม่สนใจว่าตระกูลฉินที่ถูกย้ายกลับมาเมืองหลีจะเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่ เขาแค่สืบดูว่าปกติแล้วตระกูลจ้าวใช้ชีวิตอย่างไร
องครักษ์เอ่ย “นายอำเภอติงคือเจ้าหน้าที่ในเมืองหลีผู้มีอำนาจสูงสุด แต่ว่านายอำเภอติงอยู่ที่จวนในหนิงโจว แม้ครอบครัวเดิมจะอยู่เมืองหลี แต่พื้นที่ที่สำคัญที่สุดคือหนิงโจว ทำให้จ้าวผิงยิ่งมีอำนาจยิ่งใหญ่แล้ว”
นายอำเภอติงไม่อยู่ ตามลำดับขั้นแล้วจ้าวผิงนับว่ามีขั้นสูงที่สุด
มู่ซียิ้มเย็น “ในป่าไร้เสือ เรียกลิงว่าราชาสินะ เพียงเขาวิ่งเต้นเป็นตัวตลกก็เหมาะสมดี สืบอีก จัดการทั้งหมดให้ข้า ข้าจะกำจัดคนชั่วเพื่อราษฎร”
“ขอรับ”
“ซื่อจื่อ รุ่ยจวิ้นอ๋องมาขอรับ” เด็กหนุ่มซวงเฉวียนเอ่ยรายงาน
“เอ๋?” มู่ซีลุกขึ้น มองไปยังทางเข้า มองเห็นฉีเชียนเดินเข้ามาจริงๆ เข้าก้าวไปข้างหน้า มองขึ้นลงสำรวจฉีเชียน เอ่ยปากทักทายหนึ่งประโยค “มาได้เวลาพอดี ข้าจะได้ไม่ต้องไปตามหาเจ้า ซวงเฉวียนไปตามหยวนเหมิงมาสู้กับรุ่ยจวิ้นอ๋องสักสองสามกระบวนท่าเถิด”
ฉีเชียนขมวดคิ้ว ทุกคนรู้ดีว่ามู่ซีเป็นลูกหลานชนชั้นสูงที่ถือดี แต่ไม่รู้ว่าเขาจะไร้มารยาทเพียงนี้ เจอหน้าไม่ทักทายทำความเคารพแม้เพียงนิด
“ไยท่านซื่อจื่อมู่จึงมาเมืองหลี ยังก่อเรื่องกับตระกูลจ้าวอีก”
หัวคิ้วของมู่ซีขมวดขึ้น ปรายตามองเขา เอ่ยถาม “ทำไมหรือ จ้าวผิงเจ้าขี้ขลาดนั่นเป็นคนในปกครองของท่านหรือ”
ฉีเชียนส่ายศีรษะ “มิใช่ เพียงได้ยินว่าท่านซื่อจื่อก่อเรื่องใหญ่ หากจ้าวผิงคิดกล่าวโทษเรื่องไปถึงเบื้องบน…”
มู่ซีแสยะยิ้มหยัน เอ่ย “เขาจะฟ้องก็ฟ้องไปเสียสิ ชีวิตข้าหลายปีมานี้ เมื่อเทียบกันแล้วสูงกว่าศาลานี้เสียอีก ท่านว่าข้าจะมีเรื่องได้หรือไม่”
“ท่านไม่กลัวฮองเฮาจะลำบากใจหรือ”
“พี่หญิงใหญ่ของข้าเอ่ยแล้ว ปล่อยข้าทำไป ต่อให้ฟ้าถล่มก็มีนางที่คอยแบกเอาไว้” มู่ซียืดอกท่าทางภาคภูมิใจ
ฉีเชียน “!”
ไม่สนอะไรเลยจริงๆ
มู่ซีมองไปยังองครักษ์สูงใหญ่หน้าประตูทางเข้า ดวงตาวาวขึ้น โบกมือ “หยวนเหมิงมาเร็วเข้า สู้กับรุ่ยจวิ้นอ๋องสักสองกระบวนท่า”
“ท่านซื่อจื่อ ข้าไม่ได้มาเพื่อฝึกวรยุทธ์” ฉีเชียนย่นคิ้ว
เขาเพียงได้ยินว่ามู่ซีมา กลัวว่าเจ้าเด็กโอหังผู้นี้จะสร้างเรื่องในพื้นที่ของจวนหนิงอ๋อง ทำให้จวนหนิงอ๋องต้องเดือดร้อนจึงมาดูสักหน่อย ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะให้องครักษ์มาต่อสู้กับเขาอย่างนั้นหรือ
บ้าบออะไรกัน
มู่ซีเอ่ย “ใครจะฝึกวรยุทธ์กับท่านกันเล่า ท่านคือคนที่จะมาเป็นพี่เขยของข้าในอนาคต ข้าก็ต้องดูว่าท่านจะต่อสู้ได้หรือไม่”
ฉีเชียนชะงัก นึกว่าตนเองฟังผิดไป พี่เขยอันใดกัน
“ท่านเอ่ยอันใด”
มู่ซีมองเขานิ่งงัน เอ่ย “ท่านยังไม่รู้หรือ อ้อ เบื้องบนคงยังไม่มีรับสั่งลงมา คงจะรอท่านกลับเมืองหลวงก่อนกระมัง พี่หญิงสิบห้าของข้าถึงวัยออกเรือน ท่านแม่ของข้าเอ่ยกับพี่หญิงใหญ่แล้ว ขอฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้พี่หญิงสิบหน้ากับท่านแต่งงานกัน”
เสียงระเบิดเกิดขึ้นในหัวของฉีเชียน
จุดอิ้นถังจวิ้นอ๋องมีดวงแห่งความรัก ไม่นานก็มีดวงเคียงคู่
คำพูดของฉินหลิวซีในวันนั้นดังขึ้นในหัวของเขา
สิ่งที่อีกฝ่ายบอก หมายถึงสิ่งนี้หรือ
“ได้อย่างไรกัน ข้ากับพี่หญิงสิบห้าของเจ้าไม่เคยเจอกันด้วยซ้ำ” หัวคิ้วทั้งสองของฉีเชียนขมวดขึ้น เกิดความรู้สึกต่อต้านขึ้นมาในใจ
เขาไม่ต้องการสมรสพระราชทาน และไม่เคยต้องการ โดยเฉพาะตอนนี้เขายิ่งไม่ต้องการ
ส่วนเพราะอะไร เขากลับไม่อาจรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเพราะอะไร
มู่ซีมองเขาราวกับมองคนโง่ เอ่ย “จะไม่เคยเจอได้อย่างไร สองปีก่อนท่านไปอวยพรในวันพระราชสมภพของฝ่าบาทแล้วมิใช่หรือ พี่หญิงสิบห้าของข้าก็เข้าวัง แน่นอนว่าได้เจอท่าน อีกอย่าง ไม่เคยเจอแล้วอย่างไร พี่หญิงสิบห้าของข้าเองก็เป็นสตรีสูงศักดิ์เชื้อสายหลัก ชาติกำเนิดดี นิสัยอ่อนโยนอ่อนหวาน เป็นที่รักของพี่หญิงใหญ่ หรือไม่คู่ควรกับท่าน ข้ายังกลัวว่าท่านจะอ่อนแอ ไม่คู่ควรกับพี่หญิงสิบห้าของข้า”
ฉีเชียน “…มิใช่ความต้องการของข้า”
“ท่านไม่ต้องการนั่นคงเป็นเรื่องของท่านแล้ว หากเบื้องบนมีรับสั่ง ท่านยังจะปฏิเสธได้หรือ” มู่ซีปรายตามองเขา “แม้ว่าท่านเองก็เป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ก็ไม่ใช่องค์ชายแต่เป็นหวงซุน อย่างไรพี่เขยของข้าก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของเสด็จพ่อของท่าน นับว่าเป็นกษัติรย์กับราษฎร ท่านที่เป็นหลานจะขัดต่อราชโองการได้หรือ”
คิ้วของฉีเชียนขมวดมุ่น เขาไม่รู้ข่าวนี้เลยแม้เพียงนิด ไยจึงกะทันหันเพียงนี้
“ท่านซื่อจื่อ” องครักษ์คนหนึ่งเดินเข้ามา คุกเข่าลงตรงหน้ามู่ซี
มู่ซีมองเขาด้วยความสนอกสนใจ เอ่ยถาม “ทำไมหรือ สืบเรื่องเจ้าเด็กนั่นได้แล้วหรือ”
“ข้าน้อยไร้ความสามารถขอรับ” องครักษ์ก้มหน้า
มู่ซีชะงัก “สืบไม่ได้หรือ”
“ข้าน้อย…คลาดจากเขาขอรับ” องครักษ์เอ่ยตอบอย่างระอายใจ
มู่ซีเงียบไปชั่วครู่ เอ่ยด้วยความตื่นเต้นขึ้นมา “เจ้าบอกว่าเจ้าคลาดกับเขาอย่างนั้นหรือ”
“ขอรับ”
องครักษ์เองก็รู้สึกประหลาดใจ เดิมไม่ว่าจะเป็นการสืบข่าวหรือสะกดรอยตามเขาก็มีฝีมือชั้นหนึ่ง ได้รับคำสั่งให้ตามฉินหลิวซี ตามไปเรื่อยๆ ไม่คาดคิดว่าคนผู้นี้จะหายไปแล้ว
เขาเห็นชัดเจนว่าอีกฝ่ายเดินเข้าไปในตรอกแคบๆ เส้นหนึ่ง เมื่อตามเข้าไป ตรอกนั้นกลับเป็นทางตัน กลางวันแสกๆ เจอผีแล้วหรือ
มู่ซีเองก็รู้ฝีมือของเขา เห็นว่าเขาพลาดก็ไม่โกรธ ตรงกันข้ามดวงตากลับเปล่งประกายความสนุกขึ้นมา เอ่ย “งั้นก็ตามหาอีก ข้าไม่เชื่อว่าพลิกเมืองหลีแล้วจะหาไม่เจอ ตามหาให้ข้า”
“แต่ว่าท่านซื่อจื่อ พวกเรายังไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่ายเลยนะขอรับ”
มู่ซีรู้สึกโมโหขึ้นมา ยกเท้าถีบออกไป “โง่เขลาเสียจริง เจ้าไม่รู้จักภาพเหมือนหรืออย่างไร”
“ข้าน้อยผิดไปแล้วขอรับ”
“รีบไป หาไม่เจอก็อย่าได้กลับมาให้ข้าเห็นหน้า ที่ไหนสบายก็อยู่ไป” มู่ซีข่มขู่
องครักษ์รู้สึกขมขื่นอยู่ในใจทว่าไม่กล้าต่อต้าน ทำได้เพียงตอบรับ
เวลานี้ฉีเชียนเองก็ได้สติ ถาม “ท่านซื่อจื่อจะตามหาผู้ใดหรือ”
“บังเอิญเจอเด็กคนหนึ่งข้างถนน รู้สึกน่าสนใจ แต่ทำให้ข้าขายหน้า” มู่ซีกำมือ “ข้าก็อยากรู้ เขาจะหลบหนีไปที่ใดได้”
ฉีเชียนใจกระตุก “คนหน้าตาอย่างไรกัน”
“ก็…” เอ๋ จะอธิบายอย่างไรกัน รูปร่างหน้าตาแบบนั้น
มู่ซีครุ่นคิด หั่วหลางเดินเข้ามา ในมือมีจดหมายหนึ่งฉบับ เอ่ยกับฉีเชียน “จวิ้นอ๋อง นี่คือจดหมายพี่พระชายาผู้เฒ่าส่งมากับนกพิราบพ่ะย่ะค่ะ ให้จวิ้นอ๋องรีบกลับไป”
ฉีเชียนคาดเดาว่าข่าวทางเมืองหลวงคงไปถึงท่านย่า เรื่องสำคัญในชีวิตเขาเองก็ไม่กล้าชักช้า เอ่ยกับมู่ซี “ท่านซื่อจื่อ ข้าจะกลับจวนหนิงโจวก่อน”
มู่ซีกำลังนึกภาพของฉินหลิวซี ท่าทางเหม่อลอย โบกมือให้อย่างไม่ใส่ใจ
ฉีเชียนเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
มู่ซีหันไปเห็นใบหน้าด้านข้างของฉีเชียน แปลกใจอยู่ชั่วครู่ ใบหน้าด้านข้างแบบนี้ช่างคุ้นตา เคยเจอที่ใดกันนะ
ทว่าเพียงชั่วครู่ สมองของเขาพลันนึกถึงฉินหลิวซี “อ่า เจ้าเด็กนั่นไยข้าจึงนึกหน้าเขาไม่ออก”
——————————–