ตอนที่ 161 ไม่ต้องถามอาจารย์ก็พิถีพิถัน
ฉินหลิวซีมาหาอวี้ฉังคงอีกครั้ง ด้านข้างเขา มีคัมภีร์วิชาฉีเหมินตุ้นเจี่ย[1]และคัมภีร์ลัทธิเต๋า
“คุณชายฉังคงสนใจคัมภีร์วิชาฉีเหมินตุ้นเจี่ยด้วยหรือ” ฉินหลิวซีวางกล่องยาลง เอ่ยด้วยด้วยรอบยิ้ม
อวี้ฉังคงยกมือขึ้นประสานหันไปทางนาง เอ่ย “ตอนเด็กๆ พอรู้คัมภีร์วิชาฉีเหมินตุ้นเจี่ยอยู่บ้าง ยามนี้เพียงมีเวลาว่างเบื่อหนายจึงได้หยิบขึ้นมาอ่าน ทำได้เพียงฟังซื่อฟังอ่านให้ฟังเท่านั้น”
“ไม่เป็นไร อีกไม่กี่วันท่านก็ได้อ่านและศึกษาเองแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
วาจานี้กลับทำให้อวี้ฉังคงหัวใจกระตุก
ซื่อฟังเอ่ย “ทั้งหมดเพราะท่านอาจารย์ปู้ฉิวแล้ว เป็นเพราะคุณชายยังอ่านไม่ได้จึงอยากฟังซื่อฟังอ่านเช่นนี้”
หลายปีที่ผ่านมา คุณชายเป็นดั่งน้ำนิ่ง ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ดีดฉินยังทำให้คนรู้สึกถึงความเจ็บปวดและเดียวดาย
“พูดมากน่ะ” อวี้ฉังคงตำหนิเบาๆ
ซื่อฟังแลบลิ้น
“มีคนดึง ก็ต้องยอมเดินออกมาด้วยตนเองด้วยจึงจะเดินออกมาได้” ฉินหลิวซีเอ่ยยิ้มๆ ไม่เอ่ยสิ่งใดให้มากความ เดินเข้าไปใกล้ ปลดผ้าคาดบนดวงตาของเขา ตรวจดูดวงตาของเขาโดยละเอียด ตรวจจับชีพจร เอ่ย “ชีพจรยังดี พักผ่อนได้ไม่เลว วันนี้ยังเป็นการฝังเข็มดังเช่นเมื่อวาน พรุ่งนี้ค่อยเปลี่ยนเป็นอีกแบบ”
ซื่อฟังประคองอวี้ฉังเฟิงมานั่งที่เบาะด้านข้างอย่างคุ้นชิน เห็นฉินหลิวซีล้างมือในน้ำสะอาดด้านข้าง จึงไปยืนอยู่อีกฝั่ง”
“ตอนที่ข้าฝังเข็ม เจ้าไปเตรียมยาก็ได้” ฉินหลิวซีเอ่ย “หลังจากนวดดวงตาแล้วประคบร้อนจะสบายกว่า”
ซื่อฟังมองไปยังอวี้ฉังคง เอ่ย “คุณชาย”
“ไปเถิด เจ้าอยู่ไปก็ช่วยฝังเข็มไม่ได้” อวี้ฉังคงเอ่ย
ซื่อฟังจึงเดินถอยออกไป
ฉินหลิวซีนั่งอยู่เก้าอี้ตัวเตี้ยด้านข้างอวี้ฉังคง เอ่ย “ข้าจะเริ่มแล้วนะ”
“ได้”
ตามตำแหน่งเดิมเมื่อวาน แต่เมื่อยามเข็มปักลง ความเจ็บปวดกลับลดลงไปหลายส่วน อวี้ฉังคงสัมผัสได้ด้วยตนเอง ทว่าไม่ได้เอ่ยปาก เพียงถามว่า “หลายปีมานี้ลัทธิเต๋าตกต่ำ แต่ไม่คิดว่าจะมีคนอย่างท่านอาจารย์ เมืองหลีช่างเป็นเมืองที่มีผู้คนเยี่ยมยอดจริงๆ”
ฉินหลิวซีฝังเข็มลงนิ่งๆ หมุนเบาๆ เอ่ย “คุณชายฉังคงก็รู้ว่าลัทธิเต๋าเสื่อมถอย คิดว่าก่อนหน้านี้คงมิได้เชื่อใจเท่าใดกระมัง”
อวี้ฉังคงเงียบไปชั่วครู่ เอ่ย “ความจริงหลังจากท่านพ่อท่านแม่จากไปอย่างน่าสลด ข้าก็ไม่เลื่อมใสพุทธศาสนา เต๋า อีก หากสวรรค์ยุติธรรม ไยต้องให้ข้ามาพบเจอด้วยเล่า”
ฉินหลิวซีพยักหน้าเห็นด้วย “สวรรค์ไม่ยุติธรรมจริงๆ”
อวี้ฉังคงชะงัก “เจ้าไม่โต้แย้งหรือ”
“ไม่โต้แย้งหรอก ในเมื่อท่านมองลัทธิเต๋าเป็นเช่นนั้นแล้ว คงจะรู้ว่าลัทธิเต๋ามีห้าโทษสามวิบัติกระมัง เช่นตอนนี้ข้าต้องมารับเงินค่ารักษาจากท่าน หากไม่แบ่งบางส่วนไปทำบุญ ห้าโทษสามวิบัตินี้ก็คงตกมาอยู่บนหัวของข้า ท่านว่าสวรรค์ยุติธรรมหรือ”
อวี้ฉังคงจนด้วยคำพูด เช่นนั้นหมายความว่าไม่อยากทำบุญอย่างนั้นหรือ
“รักษาได้ก็ดี แต่หากข้าช่วยคนที่ต้องตายแน่ๆ เช่นนั้นก็จบสิ้นแล้ว ต้องเป็นไปตามเวรตามกรรม”
อวี้ฉังคงเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ท่านเคยลำบากเพราะเรื่องนั้นหรือ”
“โหดร้ายใช่หรือไม่” ฉินหลิวซีเอ่ย “ตอนไม่กี่ขวบ สิบขวบ หรือสิบเอ็ดลืมไปแล้ว ตอนนั้นข้าอายุยังน้อย ไม่เชื่อวิชามาร ช่วยคนที่ต้องตาย จากนั้นก็ตาบอด”
อวี้ฉังคงมือสั่น ใบหน้าเผยความงุนงง “ตาบอดหรือ”
“อือหึ” ฉินหลิวซีเอ่ย “แต่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น รอรับผลกรรมนั้นแล้วก็ค่อยๆ กลับมาดีดังเดิม”
อวี้ฉังคงไม่คิดว่านางที่เป็นหมอรักษาเพื่อช่วยโลกจะต้องรับผลกรรมเช่นนี้ เอ่ย “เช่นนั้นมันก็ไม่ยุติธรรมจริงๆ”
“ก็ใช่น่ะสิ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ มิฉะนั้นข้าคงตอบโต้มันไปแล้ว”
ครื้นนน
อวี้ฉังคงตกใจ “ไยฟ้าจึงร้องเล่า ฝนจะตกหรือ”
ฉินหลิวซีฝังเข็มเล่มสุดท้าย เอ่ย “ไม่ต้องตกใจ มันกำลังเตือนข้าว่าอย่าได้คิดกบฏ”
อวี้ฉังคง “!”
น่าขันอย่างน่าประหลาด
ฉินหลิวซีนั่งอยู่ด้านหลังเขา นวดจุดลมปรานบนศีรษะให้เขาเบาๆ
อวี้ฉังคงเอ่ยถาม “อยู่ๆ มองไม่เห็น ท่านกลัวหรือไม่”
“ไม่กลัว”
“ทำไมหรือ”
“ข้าจำเป็นต้องกลัวหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ข้าเก่ง ตาบอดแล้วก็ยังใช้ชีวิตได้”
รอยยิ้มของอวี้ฉังคงเลือนหาย “ข้าไม่อาจสู้ท่านได้”
“เพราะข้ารู้ผลกรรม แน่นอนว่าได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ท่าน กลับต้องเสียบิดามารดา ต้องเจ็บปวด แน่นอนว่าต้องเป็นทุกข์ ท่านมีสิทธิ์ที่จะเจ็บปวด เพราะนั่นคือท่านพ่อท่านแม่ของท่าน ไม่ใช่คนที่ไร้ซึ่งความสัมพันธ์เกี่ยวข้อง ไม่อยากยอมรับความจริงนี้ ไม่อยากเผชิญหน้า นั่นก็ยากจะเลี่ยงได้”
กระบอกตาของอวี้ฉังคงร้อนขึ้นมา เอ่ย “แต่พวกเขาคิดว่า ลูกหลานสกุลอวี้ไม่ควรเอาความเสียใจมาทำให้เสียเวลาไปกับเรื่องเจ็บปวดเช่นนี้”
“ลูกหลานสกุลอวี้มิใช่คนธรรมดาหรือ” ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “เรื่องไม่เกี่ยวข้องกลับให้ความสนใจยิ่ง คนก็เป็นเช่นนี้ ไยท่านต้องบังคับให้พวกเขามารู้สึกเช่นเดียวกับท่านเล่า ไม่มีค่าหรอก”
อวี้ฉังคงเงียบไปชั่วครู่ “ความจริง ก็ไม่แล้ว”
“พวกเขาไม่มีค่า”
ทั้งสองรักษาพลางพูดคุย รอจนการรักษาจบลง ก็เป็นยามบ่ายแล้ว
“คุณชาย ตอนบ่าวซื้อของอยู่ข้างนอก เห็นมีคนจับปูมา ดูอ้วนถ้วน จึงได้ซื้อกลับมาด้วย” ลุงเฉียนมองไปยังฉินหลิวซี เอ่ยถาม “ไม่รู้ว่าคุณชายกินได้หรือไม่ จะมีผลกับยาหรือไม่”
ฉินหลิวซีมองปูสดอ้วนๆ ที่กำลังปีนป่าย อดที่จะน้ำลายสอไม่ได้ เอ่ย “กินนั้นก็กินได้อยู่ เพียงแต่ปูเป็นธาตุเย็น กินเยอะมากไม่ได้ คุณชายฉังชิมเล็กๆ น้อยๆ ก็พอ”
อวี้ฉังคงกลับได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของอีกฝ่ายเมื่อครู่ มุมปากยกยิ้มอย่างหาได้ยาก เอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้อาจารย์อยู่กินข้าวด้วยกันเถิด อย่างไรข้าก็กินไม่หมด ลุงเฉียนจับจ่ายใช้สอย เดิมทีก็ซื้อจำนวนมาก กินไม่หมดก็คงสิ้นเปลือง”
“จริงขอรับ มีตั้งสามตะกร้า” ลุงเฉียนเองก็เอ่ยขึ้น
ฉินหลิวซีจ้องไปยังปู เอ่ย “จะดีหรือ”
อวี้ฉังคงเอ่ย “ลุงเฉียน ไปนึ่งมาหนึ่งตะกร้า อุ่นเหล้าเหลืองมาหนึ่งไหเถิด”
“ขอรับ คุณชายและท่านอาจารย์รอชั่วครู่นะขอรับ”
ฉินหลิวซีเห็นเช่นนั้น เอ่ย “น้ำใจไม่อาจปฏิเสธ เช่นนั้นคงต้องน้อมรับด้วยใจแล้ว”
ฤดูใบไม้ร่วงใกล้ผ่านพ้นแล้ว ปีนี้นางกลับยุ่งจนปูสักตัวยังไม่ได้กิน ทำได้เพียงโทษอาจารย์ผู้ที่ขโมยเงินน้ำมันตะเกียงแล้ว
หลังจากเคลื่อนย้ายมายังศาลาชมทิวทัศน์ ปูหนึ่งถาดก็ถูกยกเข้ามา พร้อมกับเหล้าอีกหนึ่งไห จอกเหล้าเล็กๆ สองจอก ซื่อฟังคอยรับใช้อยู่ด้านข้าง แกะปูออก เตรียมแยกเนื้อ
“เอาให้ท่านอาจารย์ก่อน” อวี้ฉังคงเอ่ย
ฉินหลิวซีเอ่ย “ไม่ต้อง กินปู ต้องแกะด้วยตนเอง”
นางม้วนเก็บแขนเสื้อ ซื่อฟังเหลือบมอง หลุดปากเอ่ยออกมา “มือของท่านอาจารย์ ขาวประดุจหิมะเลยขอรับ” เมื่ออยู่กับปูนึ่งสุกที่กลายเป็นสีแดงก็ยิ่งดูขาว
ฉินหลิวซีหยิบที่ตัดเงินอันเล็กเหมาะมือขึ้นมา ตัดขาปูออก แกะกระดองปูออก มันปูสีเหลืองทองปรากฏสู่สายตา ดวงตาของนางเป็นประกาย เอ่ยชื่นชม “อ้วนจริงๆ ซื่อฟังเมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“เอ่อ ข้าน้อยบอกว่า…”
“ซื่อฟัง แกะเนื้อปูให้ข้า” อวี้ฉังคง ‘มอง’ มา คิ้วคมขมวดขึ้นเล็กน้อย เสียมารยาท จะไปเอ่ยกับคนอื่นเช่นนั้นได้อย่างไร
ซื่อฟังรู้ตัวว่าตนเองพลาดไป รีบเอ่ย “ซื่อฟังเสียมารยาท ขอท่านอาจารย์อย่าได้ถือสาเลยนะขอรับ”
เขาเอ่ยพร้อมมองไปยังฉินหลิวซี ทว่าอีกฝ่ายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเอ่ยสิ่งใด ทว่ากินมันปูและเนื้อปูไปจนหมดแล้ว ยังจิบสุราไปอีกหนึ่งอึก และในมือของนางก็มีปูที่ยังมีชิ้นส่วนครบตัวใหม่
ซื่อฟัง “!”
ไม่ต้องถามรสชาติกับอาจารย์ ไม่ธรรมดาจริงๆ กินปูก็ยังพิถีพิถันเช่นนี้
[1] คัมภีร์ฉีเหมินตุ้นเจี่ย เป็น 1 ใน 3 สุดยอดวิชาพยากรณ์ของจีน วิชาฉีเหมินตุ้นเจี่ย เป็นวิชาที่บรรพกษัตริย์จีน แม่ทัพสมัยก่อนต้องเรียนรู้ เพื่อใช้ในการทำศึกสงคราม การปกครองบ้านเมือง และดูแลประชาชน