ตอนที่ 181 ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
ตอนที่สะใภ้หวังมาถึงห้องของนางฉินผู้เฒ่า นางกำลังหยอกล้อเด็กผิงอันทั้งสองที่สะใภ้กู้อุ้มเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข
“พี่สะใภ้ใหญ่” สะใภ้กู้เข้ามาทักทายต้อนรับและย่อเข่าลงคารวะ
สะใภ้หวังยิ้มรับพลางเอ่ย “เจ้าก็มาด้วยหรือ”
“วันนี้อากาศดี ขาก็เลยพาพี่ผิงพี่อันมาเยี่ยมคารวะท่านแม่น่ะ” สะใภ้กู้ถือโอกาสจับมือนางพาไปยืนอยู่ตรงหน้านางฉินผู้เฒ่า
สะใภ้หวังคารวะก่อนจะมองดูเด็กน้อยทั้งสอง พอเห็นใบหน้าแดงระเรื่อเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา และมองไม่ออกแล้วว่าเป็นเด็กอ่อนแอที่คลอดก่อนกำหนดมาก่อน นางก็เอ่ยขึ้น “ไม่เจอพักเดียว พี่ผิงพี่อันมีเนื้อขึ้นมาแล้วนะ สีหน้าก็ไม่เลวเลย น้องสะใภ้สามคงเหนื่อยมาก”
สะใภ้กู้เอ่ย “ใช่ความดีความชอบของข้าคนเดียวเมื่อไหร่กันล่ะเจ้าคะ เป็นเพราะที่บ้านทุ่มเทเรื่องของกินของใช้ของพวกเขา ซีเอ๋อร์เองก็ให้พวกเขาอาบน้ำสมุนไพรเสริมสร้างกระดูก จึงแข็งแรงขึ้นมาได้ทั้งนั้น”
คำพูดของนางเจือไปด้วยความซาบซึ้งและรู้สึกโชคดี
สะใภ้เซี่ยที่กำลังกะเทาะเมล็ดแตงโมอยู่ข้างๆ “ก็ใช่น่ะสิ ห้องของน้องสะใภ้สามน่ะสบายที่สุดแล้ว ของใช้อะไรก็ไม่ขาด แถมยังมีบ่าวคอยปรนนิบัติรับใช้อีก น้องสะใภ้สามช่างโชคดีจริงๆ”
รอยยิ้มสะใภ้กู้ดูอักอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย นางหันไปมองนางฉินผู้เฒ่า “ก็ได้อาศัยบุญบารมีของท่านแม่ทั้งนั้นเจ้าค่ะ”
สะใภ้เซี่ยยังอยากเอ่ยอะไรอีก สะใภ้หวังกลับชิงเอ่ยขึ้นมาก่อน “แม้จะบอกว่าเลี้ยงดูอย่างดี แต่เจ้าก็ยังคลอดก่อนกำหนดอยู่ดี แถมยังเป็นการคลอดยากอีก คนที่เคยเกือบจะผ่านประตูนรกมาแล้วอย่างเจ้าจะประมาทไม่ได้ ยังต้องบำรุงเลี้ยงดูให้ดี เด็กๆ ยังเล็กนัก ตอนนี้คงต้องฝากความหวังไว้กับเจ้าแล้ว”
สะใภ้กู้มองบุตรชายทั้งสองด้วยความสงสาร “ข้าจะดูแลอย่างดี แต่ตอนนี้ข้าก็ดีขึ้นมากแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ลองดูเถิดเจ้าคะว่าในบ้านมีอะไรที่ข้าพอจะหยิบจับช่วยทำอะไรได้บ้าง ท่านบอกสั่งข้ามาได้เลย”
สะใภ้หวังตบหลังมือนาง “ในบ้านมีบ่าวรับใช้ไม่มาก เจ้าดูและเด็กๆ ทั้งสองก็เป็นงานหนักแล้ว”
สะใภ้กู้ยังอึกอักลังเลเล็กน้อย หลังจากที่นางคลอดบุตรแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้มีคนคอยปรนนิบัติรับพร้อมพรักเหมือนตอนที่อยู่บ้านตระกูลฉิน แต่ก็ยังดีที่มีบ่าวรับใช้สองคนคอยช่วยเหลือ นางเองก็อยู่ไฟมาครบเดือนแล้ว อาหารการกินก็ถือว่าประณีตไม่ขาดตกบกพร่อง ดังนั้นร่างกายของนางจึงฟื้นตัวได้ดี
ด้วยเหตุนี้ พอนางได้ยินคำพูดอิจฉาของสะใภ้เซี่ย จึงรู้สึกกระสับกระส่ายด้วยกลัวว่าสะใภ้รองจะหยิบเอาเรื่องอื่นขึ้นมาพูดอีกว่านางเอาเปรียบ จึงได้คิดจะช่วยทำอะไรในบ้านบ้าง? บ้านสามเองก็นับได้ว่ามีความมั่นใจอยู่บ้าง
“น้องสะใภ้สามจะพูดอย่างนั้นได้อย่างไร เจ้าดูแลเด็กทั้งสองไป ส่งสาวใช้จวี๋เอ๋อร์กลับมาเถิด เจ้าดูมือของข้าสิ ซักชุดชั้นในจนหยาบกระด้างไปหมดแล้ว” สะใภ้เซี่ยยื่นมือทั้งสองออกไป สีหน้าแสดงความไม่พอใจ
สะใภ้หวังเอ่ย “น้องสะใภ้รอง ชุดชั้นในของเจ้า อนุพานเป็นคนซักให้ไม่ใช่หรือ”
สะใภ้เซี่ยหงุดหงิดไม่พอใจเล็กน้อย
เหตุใดพี่สะใภ้ใหญ่จึงรู้เรื่องนี้ด้วย
บ่าวรับใช้ทำงานหยาบกระด้างที่บ้านของพวกนางจ้างมาก็มีคนทำงานซักผ้า แต่ชุดชั้นในของพวกสตรี พวกนางไม่กล้าที่จะให้บ่าวทำงานซักล้างเหล่านั้นซักรวมกัน จึงต้องซักด้วยตนเอง
น่าเสียดายที่สะใภ้เซี่ยคุ้นเคยกับการมีคนคอยปรนนิบัติรับใช้ ตอนนี้อากาศก็เริ่มหนาวแล้ว จะซักชุดชั้นในได้ที่ไหน ดังนั้นพวกนางจึงขอให้อนุพานซักให้ แต่กลับไม่นึกว่าสะใภ้หวังจะเอามาเปิดโปงเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม สะใภ้เซี่ยเองก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด นางเอ่ย “นั่นก็เป็นเพราะอนุพานรู้ความ รู้ตัวไม่ควรจะกินอยู่โดยไม่ทำอะไร จึงได้แย่งงานนี้ไปทำ ข้าจะไปห้ามนางได้อย่างไร”
สะใภ้หวังยิ้มแฝงความหมาย อย่างนั้นหรือ
นางฉินผู้เฒ่าเห็นอย่างนั้นแล้วก็กระแอมออกมาเล็กน้อย นางมองหน้าสะใภ้หวังพลางเอ่ย “เจ้าจัดการที่ทางให้คนที่ทางบ้านมารดาเจ้าส่งมาเรียบร้อยแล้วหรือ”
สะใภ้หวังนั่งลง “ข้ากำลังจะพูดเรื่องนี้กับท่านแม่อยู่พอดีเจ้าค่ะ จัดการเรียบร้อยแล้ว อยู่ไม่กี่วันก็กลับ”
สะใภ้เซี่ยได้ยินเช่นนั้นแล้วก็ยืนหลังตรงขึ้นทันที ทางบ้านสะใภ้หวังส่งคนมาแล้วก็แปลว่าจะต้องส่งของมาด้วยแน่
แล้วก็เป็นอย่างที่นางคิด สะใภ้หวังเอ่ยต่อ “ท่านแม่ส่งคนมามอบเงินไว้ใช้ยามฉุกเฉินเล็กน้อย ก็ไม่ได้มากอะไร แต่น่าจะมีพันตำลึงเป็นอย่างน้อย ข้ากำลังคิดว่าจะทำกิจการอะไรในบ้านสักเล็กน้อย ท่านแม่คิดเห็นประการใดเจ้าคะ ถึงอย่างไรค่าใช้จ่ายในบ้านก็มาก เด็กๆ ยังต้องเรียนหนังสืออีก ทางด้านซีเป่ยก็ต้องใช้เงินเบิกทาง อะไรก็ต้องใช้เงินไปหมด แค่ดอกเบี้ยจากที่ดินเลี้ยงคนในบ้านก็พออยู่ แต่ดูแลเรื่องอื่นคงไม่พอ ข้ากำลังคิดที่จะทำกิจการอะไรสักอย่างเพื่อหาเงินเพิ่ม เมื่อในมือมีเสบียง เราถึงจะมีความมั่นใจได้บ้าง”
นางฉินผู้เฒ่าพยักหน้า “เจ้าคิดอ่านได้รอบคอบมาก”
“พี่สะใภ้ใหญ่ เงินพันตำลึงนี้จะทำกิจการอะไรได้หรือ” สะใภ้เซี่ยถาม “บ้านเราก็มีเด็กผู้ชายวัยเหมาะสมจะออกไปข้างนอก กิจการที่ว่าจะทำอย่างไรหรือ”
เมื่อก่อนตอนที่ตระกูลฉินยังไม่ตกต่ำพ่ายแพ้ กิจการของตระกูลมีฉินปั๋วชิงที่ไม่มีตำแหน่งทางการคอยดูแล บัดนี้บุรุษทุกคนในตระกูลฉินที่มีอายุมากกว่าสิบสองปีขึ้นไปถูกเนรเทศไปหมดแล้ว ส่วนบุรุษก็มีเพียงฉินหมิงฉีของบ้านรองที่เกิดในช่วงปลายฤดูหนาวและจะอายุสิบสองปีในปีนี้
สะใภ้หวังจิบชาและเม้มปากเบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น้องสะใภ้รองมีอะไรจะเสนอหรือ”
สะใภ้เซี่ยกระตือรือร้นขึ้นมาทันที “พวกท่านพ่อก็อยู่ที่ซีเป่ย บุรุษในบ้านเราที่มีตอนนี้ ถ้านับเรื่องอายุก็ต้องเป็นพี่ฉีของบ้านรองที่โตที่สุด เราหาผู้ดูแลและคนทำบัญชีที่พอไว้ใจได้ ให้เขาติดตามออกหน้าเรื่องนี้ดีหรือไม่ ไม่อย่างนั้น จะให้พวกเราสตรีออกหน้าออกตาก็คงไม่เหมาะกระมัง”
สะใภ้หวังแทบจะหลุดหัวเราะออกมา แม้ว่าเด็กในครอบครัวยากจนที่เป็นผู้นำครอบครัวตั้งแต่ยังเด็ก เด็กที่บ้านประสบกับความเปลี่ยนแปลงและเคราะห์ภัยกะทันหันก็ควรที่จะเติบโตและรู้ความได้อย่างรวดเร็ว แต่นางไม่พูดเรื่องจะทำกิจการอะไร ทำอย่างไร ใช้เงินเท่าใด หรือว่ามีกฎระเบียบอย่างไรบ้างทั้งสิ้น สะใภ้เซี่ยกลับผลักดันบุตรชายของตัวเองให้รับผิดชอบเรื่องนี้ก่อนโดยไม่กลัวเลยว่าเงินหนึ่งพันตำลึงนี้จะสูญเปล่า
หากเป็นเมื่อก่อนจะใช้เงินพันกว่าตำลึงเพื่อให้เด็กๆ ได้ฝึกฝนก็ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรก็เป็นการใช้เงินซื้อบทเรียน แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของตระกูลฉินกลับไม่สามารถใช้เงินจำนวนนี้ไปซื้อบทเรียนได้อีกแล้ว
สะใภ้เซี่ยไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียแล้ว
สะใภ้กู้เองก็รู้สึกว่านางไม่มีเหตุผล สะใภ้รองกล้าพูดจาอุกอาจเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร แถมเงินจำนวนนี้ก็เป็นเงินที่ทางบ้านมารดาของพี่สะใภ้ใหญ่ส่งมาด้วย
สะใภ้หวังวางถ้วยชาลง “เด็กๆ โตแล้วก็ควรที่จะช่วยดูแลงานในบ้านแล้ว ซีเอ๋อร์บอกแล้วว่า จ้าวถงจือคงจะทำงานต่อไปไม่ได้แล้ว จะต้องมีคนมาทำแทนแน่ ข้าคิดว่าไม่ต้องรอให้ขึ้นปีใหม่ ไม่กี่วันนี้ว่าจะหาสำนักศึกษาสักแห่งส่งพี่ฉีและพี่ฉุนไปเรียนหนังสือ ในเมื่อน้องสะใภ้รองคิดว่าพี่ฉีดูแลงานบ้านได้ดีกว่าเรียนหนังสือ เช่นนั้นก็ให้เขาติดตามข้าเรียนรู้ว่าจะทำงานอย่างไรก็ได้”
อะไรนะ ไปเรียนหนังสือ?
สะใภ้เซี่ยหน้างอง้ำทันที
ล้อเล่นน่า ถ้าได้เรียนหนังสือสอบเข้าเป็นขุนนางได้ ใครจะยอมมาดูแลงานบ้านทำงานต่ำๆ กัน แบบนั้นจะมีหน้ามีตาได้อย่างไร
“เหลวไหล!”
ขณะที่สะใภ้เซี่ยอักอ่วนไม่รู้จะทำอย่างไรดีนั้นเองที่นางฉินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นในที่สุด นางขึงตาใส่สะใภ้เซี่ยดุด่าอย่างไม่พอใจ “พี่ฉีอายุเท่าไรเอง เวลาที่เขาควรล่ำเรียนหนังสือ เจ้าจะให้เขาไปวุ่นวายเรื่องทำกิจการหาเลี้ยงชีพทำไม เขารู้แล้วหรือว่าจะเข้าสังคม จะจัดการกับพวกพ่อค้าอย่างไร ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็จะถูกคนหลอกเอาน่ะสิ ให้เขาตั้งใจเรียนหนังสือนั่นเป็นหน้าที่ของเขา”
สะใภ้เซี่ยเอ่ยอย่างอายๆ “ท่านแม่ ข้าก็แต่เห็นว่าที่บ้านไม่มีบุรุษที่อายุเหมาะสม ถึงได้ให้พี่ฉีออกไปรับหน้า ข้าไม่ได้อยากให้เขาทำกิจการจริงๆ สักหน่อย”
นางฉินผู้เฒ่าพูดกับสะใภ้หวัง “เจ้ามีความคิดหรือกฎเกณฑ์อย่างไรก็พูดออกมาเถิด”