คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 183 ความทุกข์ทรมานเพิ่งเริ่มต้น

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 183 ความทุกข์ทรมานเพิ่งเริ่มต้น

ตอนที่คนตระกูลฉินหาที่พัก พวกเขาทุกคนต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันแล้ว แต่สถานการณ์ที่วิกฤติที่สุดคือฉินหยวนซานที่อายุมากแล้ว ร่างกายของเขายังไม่หายดี ไฟโทสะโจมตีหัวใจ ยิ่งไปกว่านั้นสภาพอากาศในเมืองอู่ตอนกลางคืนก็ยังหนาวมาก ความเจ็บป่วยของเขาก็ยิ่งแย่ลงไปอีกกระทั่งเริ่มมีไข้

“โจรพวกนั้น ถ้าข้าพบเจอพวกมันอีก ข้าจะฆ่ามันให้หมดเลย” ฉินปั๋วกวงแยกเขี้ยวยิงฟันตะโกนออกมาด้วยตาบวมแดง

ฉินปั๋วชิงเอ่ย “พี่รองหยุดด่าก่อน ไปตามท่านหมอมาดูอาการท่านพ่อก่อนดีกว่า”

ฉิวปั๋วกวงหยุดชะงักไปทันทีก่อนจะมองบิดาชราที่นอนหลับตาสนิทอยู่บนกองฟาง เขากลืนน้ำลายขณะที่ในใจสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว “เงินที่เรามีก็ถูกเอาไปแล้ว”

ไม่เพียงแต่ถูกปล้นเงินเท่านั้น แต่ผ้าฝ้ายผืนใหญ่ที่ผู้มีพระคุณให้มาเพื่อป้องกันความหนาวเย็นก็ถูกฉกชิงไปด้วย ตอนนี้ทุกคนต่างก็ตัวสั่นด้วยความหนาวเย็น เด็กทั้งสองเอนกายพิงชายชรา พวกเขาหนาวจนใบหน้ากลายเป็นสีเขียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชายชราที่หมดสติไปแล้วเลย

ที่พวกเขาหยุดพักอยู่ตอนนี้เป็นวัดร้างแห่งหนึ่งในค่ายเนรเทศ ที่นี่ยังเป็นที่ที่ขอทานไร้บ้านอาศัยอยู่ สกปรกเลอะเทอะ และมีกลิ่นเหม็นไปหมดทุกหนทุกแห่ง

แต่ฟ้ามืดแล้ว และนี่เป็นสถานที่แห่งเดียวที่พวกเขาสามารถหลบความหนาวเย็นได้ ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามฝืนทนและเข้าครอบครองพื้นที่บางส่วนด้วยความระมัดระวัง

ฉินปั๋วหงมองกลุ่มคนที่ขดตัวอยู่เป็นก้อนไม่ไกลก่อนจะลดเสียงลง “เยี่ยนเอ๋อร์ยังพอมีเงินย่อยที่ซ่อนไว้อยู่บ้าง”

หลังจากที่ผู้คุมเตือนพวกเขาตอนที่เพิ่งจะได้รับเงินมา จู่ๆ พวกเขาก็นึกขึ้นมาได้และกลัวว่ามันจะถูกคนอื่นขโมยไป เพื่อความปลอดภัย พวกเขาจึงไม่ได้เก็บเงินไว้ที่เดียวกันทั้งหมด แต่กลับเก็บซ่อนไว้ที่ฉินหมิงเยี่ยนที่อายุน้อยที่สุดไว้บางส่วน

แล้วก็เป็นอย่างที่คาดไว้ พวกเขาขโมยมันไปจากผู้ใหญ่จริงๆ แต่ไม่ได้แตะต้องเด็ก

ฉินปั๋วชิงดีใจทันที “ข้าจะไปตามท่านหมอ พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านคอยดูแลท่านพ่อกับหลานทั้งสองให้ดีนะ”

“ให้ข้าไปด้วยดีกว่า” ฉินปั๋วกวงเอ่ย

“ไม่ได้ ที่นี่มีคนมาก ท่านพ่อก็ป่วยอยู่ด้วย พี่ใหญ่คนเดียวจะดูแลทั้งเด็กและคนแก่ได้อย่างไร” ฉินปั๋วชิงส่ายหน้า “แค่ไปตามหมอเอง ข้าทำได้”

“อาสาม ให้ข้าไปกับท่านเถิด มีคนติดตามไปด้วยก็ดี ไม่อย่างนั้นถ้าท่านเกิดเรื่องข้างนอก ถ้าแม้แต่คนส่งข่าวสักคนก็ไม่มีจะได้อย่างไร” ฉินหมิงมู่ยืนขึ้น

“ถูกต้อง ให้หมิงมู่ไปกับเจ้าด้วย” ฉินปั๋วหวงเองก็เห็นด้วย

ฉินปั๋วหงหยิบเงินย่อยออกมาจากฉินหมิงเยี่ยนสองชิ้น “ให้หมิงมู่ไปกับเจ้า ซื้อซาลาเปามาเติมท้องกันก่อนสักสองลูก” เขาเหลือบมองคนที่มองมาทางด้านนี้ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “พวกเจ้ากินให้เสร็จข้างนอกแล้วค่อยกลับมา”

ในวัดเล็กๆ ใช่ว่าจะมีแต่คนดีๆ พวกเขาต่างก็เป็นคนไร้บ้านที่มือเปล่าเท้าเปล่า ไม่มีใครดีไปกว่าใคร ใครแย่งชิงได้ก็ถือว่ามีความสามารถ หากต้องการหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้ก็ต้องระมัดระวังตัวให้ดี

ฉินปั๋วชิงกำเงินไว้ “พี่ใหญ่พวกท่านรอหน่อย พวกเราจะรีบไปรีบกลับ”

เขาและฉินหมิงมู่หายตัวไปในความมืดอย่างรวดเร็ว

ฉินปั๋วหงเอ่ยกับฉินปั๋วกวง “ท่านดูไว้นะ ข้าจะไปขอยืมหม้อดินจากพวกเขามาต้มน้ำร้อนหน่อย”

ฉินปั๋วกวงพยักหน้า เมื่อเห็นว่าสีหน้าของฉินหมิงเยี่ยนที่อยู่ข้างๆ ชายชราซีดเซียวลงเรื่อยๆ เขาก็เก็บหญ้าแห้งมาคลุมให้เพิ่ม พอเห็นท่าทางป่วยไข้ของทั้งเด็กและคนชรา เขาก็รู้สึกถึงไฟโทสะที่สุมอยู่ในอกไม่มีทางระบายออก

สวรรค์ใจร้ายมากจริงๆ

ในเวลานั้น โรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองอู่ถูกกองคาราวานหนึ่งเหมาไปหมด คนที่เข้าพักในห้องส่วนตัวระดับสูงกว่าคือกงปั๋วเฉิงซึ่งเข้ามาในเมืองพร้อมๆ กับคนตระกูลฉิน เขากำลังเล่นหมากรุกกับตัวเอง และแม่บ้านที่ยืนอยู่ข้างๆ เขากำลังเดินหมากกับตัวเอง และฟังสถานการณ์ของตระกูลฉินที่พ่อบ้านยืนรายงานอยู่ข้างๆ

“เงินทั้งหมดที่พวกเขามีถูกปล้นชิงไปแล้ว เสื้อผ้าสำหรับกันหนาวก็ถูกแย่งไปด้วย แต่พวกเขาโชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บไม่ได้ร้ายแรงนัก ฉินหยวนซานอายุมากและอ่อนแอ ยังมาล้มลงอีก ตอนนี้พวกเขาอยู่ในวัดเล็กๆ ในค่ายเนรเทศ”

ปั๋งกงเฉิงหัวเราะออกมาเสียงดังหลังจากที่ได้ยิน “ผู้ใหญ่สามคนยังคงถูกปล้นได้ บุรุษตระกูลฉินไม่มีความสามารถกันเลยหรือ คุณชายรองของตระกูลฉินมีตำแหน่งเป็นถึงผู้คุ้มกันเมืองไม่ใช่หรือ”

พ่อบ้านรวบมือไว้ในแขนเสื้อ เขาค้อมตัวลงน้อยๆ ก่อนจะเอ่ย “ตระกูลฉินเป็นพวกบัณฑิต ตำแหน่งของคุณชายรองตระกูลฉินก็เป็นแค่ตำแหน่งลอยๆ คนที่ปล้นเงินพวกเขาคือพวกอันธพาลที่ไปเข้าพวกกับพวกอันธพาลสองคนที่อยู่ในเมืองอู่มานานแล้วด้วย คนตระกูลฉินจะเป็นคู่มือของพวกเขาได้อย่างไรเล่าขอรับ อีกอย่างพวกเขาก็มีคนอ่อนแออยู่ด้วย”

กงปั๋วเฉิงหนีบหมากขาวไว้ด้วยมือทั้งสอง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยขึ้น “คนมีจุดอ่อนโจมตีได้ง่ายจริงๆ”

จุดอ่อนของคนตระกูลฉินก็คือคนชราและเด็กที่ชายฉกรรจ์อย่างพวกเขาไม่สามารถละทิ้งได้ และอีกฝ่ายก็จับจุดนี้ได้อย่างเห็นได้ชัด

คนที่เดินเท้าเปล่าไม่กลัวคนสวมรองเท้า นี่คือสัจธรรม

“นายท่าน ท่านคิดว่าถึงเวลาลงมือแล้วหรือยังขอรับ”

“ยังไม่ต้อง เพิ่งมาถึงเมืองอู่เอง ความทุกข์ทรมานเล็กน้อยแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้ ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น คนฉลาดมักจะคิดหาทางออกได้เสมอ” กงปั๋วเฉิงเอ่ย “ข้าว่าคุณชายสามนั่นฉลาดไหวพริบดี ดูว่าเขาจะหางานได้ไหม ถ้าเขาหางาน เจ้าค่อยจ้างเขา ให้เขาหาที่ลงหลักปักฐานได้จริงๆ ก่อนเถิด”

“ขอรับ”

ในอีกสองวันต่อมา คนตระกูลฉินก็ได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านเก่าทรุดโทรมแห่งหนึ่งซึ่งมีห้องนอนเพียงสามห้องในค่ายเนรเทศ จึงรู้สึกเหมือนรอดชีวิตจากภัยพิบัติมาได้บ้าง

ฉินปั๋วชิงแตะเงินรางวัลหนึ่งตำลึงที่เอวของเขาและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แม้ว่าการเดินทางจะยากลำบาก แต่อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ได้ที่ลงหลักปักฐานเรียบร้อยแล้ว พวกเขาหางานได้ แถมยังได้เงินรางวัลมาอย่างง่ายดาย จึงรู้สึกเหมือนมีคนคอยช่วยเหลืออยู่ข้างหลังอย่างเงียบๆ อย่างไรอย่างนั้น

เขารู้สึกไปเองหรือ

แม้จะเป็นอย่างนั้น ในที่สุดพวกเขาก็มีที่พักชั่วคราวและสามารถเขียนจดหมายถึงครอบครัวเพื่อแจ้งข่าวว่าพวกเขาปลอดภัยแล้ว ยังมีน้องสาวคนเล็กของพวกเขาด้วยที่ไม่รู้ว่าได้รับผลกระทบจากเรื่องของตระกูลฉินและได้รับความลำบากใจจากครอบครัวสามีบ้างหรือไม่

ในเวลานี้ ฉินอิงเหนียงซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปในตงเป่ยที่ฉินปั๋วชิงกำลังนึกถึงอยู่ก็ทุบถ้วยซุปน้ำแกงจนแตกและหยิบเศษกระเบื้องออกมาจ่อคอไว้

“ชุยต๋า ถ้าท่านไม่ส่งจดหมายและของไปให้ท่านแม่ของข้า ท่านก็เอาโลงมาใส่ศพของพวกข้าสองแม่ลูกส่งกลับไปเถิด” ฉินอิงเหนียงเอ่ยอย่างเย็นชา “ถ้าเป็นอย่างนั้น ท่านก็จะได้ทำตามที่ครอบครัวต้องการ แต่งงานใหม่ได้เลย”

“เจ้าวางลงก่อน พวกเราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือ รอให้ลูกคลอดออกมาก่อน แล้วเราค่อยหาทางหลับไปเมืองหลีกัน” ชุยต๋ากระทืบเท้า “แต่ดูเจ้าทำสิ เจ้าไม่สนใจตัวเอง แล้วยังจะไม่สนใจลูกด้วยหรือ”

ฉินอิงเหนียงแตะท้องของนางซึ่งยังไม่เห็นว่าตั้งครรภ์ ก่อนจะเยาะ “เช่นนั้นก็ต้องขอโทษด้วย ต้องโทษที่เขามาผิดเวลา”

“ดู ดูสิว่าเจ้าพูดอะไรออกมา เหตุใดลูกของเราถึงมาผิดเวลาไปเสียแล้วเล่า ฟังข้า วางเศษกระเบื้องลง แล้วข้าจะส่งไปให้ตามที่เจ้าต้องการ”

“อย่ามาหลอกข้าเลย ก่อนหน้านี้ของที่ข้าส่งออกไปก็ถูกท่านแม่กักไว้ไม่ใช่หรือ ชุยต๋า บ้านบิดามารดาของข้าทำผิด ถูกยึดทรัพย์ค้นบ้าน แต่ก็ไม่ใช่โทษตาย ไม่อย่างนั้นฝ่าบาทคงบั่นคอพวกเราทั้งตระกูลไปแล้ว ไม่ใช่เนรเทศออกไปเช่นนี้ มันเป็นเช่นนี้ แลวท่านแม่กลับยึดของที่ข้าส่งไปให้บ้านบิดามารดาก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ใช่เพราะข้าไม่เห็นจดหมายตอบกลับมาทั้งที่นานขนาดนี้แล้วก็คงยังไม่รู้เรื่องรู้ราว ตระกูลชุยเองก็เป็นตระกูลมั่งมีเงินทองแต่กลับหวาดกลัวถึงเพียงนี้ ไม่เช่นนั้นก็เอาอย่างนี้ ท่านเขียนหนังสือหย่าข้าเสีย ให้ข้าเอาสินสอดจากไปดีหรือไม่” ฉินอิงเหนียงน้ำตาพร่างพรู

“ถ้าข้าโกหกเจ้าขอให้ฟ้าผ่าให้ตายเลย อย่างนี้ได้หรือไม่” ชุยต๋าก้าวเข้าไปแย่งเศษกระเบื้องในมือนางก่อนจะกอดนางไว้ “ข้าไปจะไปเอะอะโวยวายเอากับท่านแม่ ถ้านางไม่ส่งของออกไป ข้าจะตายให้นางดู เจ้าจะเชื่อข้าได้หรือยัง”

ฉินอิงเหนียงซบอกเขาร้องไห้เสียงดังออกมาทันที

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท