คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 184 พบหลิวซีเหมือนได้พบอสุรเทพ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 184 พบหลิวซีเหมือนได้พบอสุรเทพ

เดือนเก้า เข้าสู่บรรยากาศฤดูใบไม้ร่วงมากขึ้นทุกที

อวี้ฉังคงที่มีชีวิตอยู่มายี่สิบปียังไม่มีวันไหนที่เขาตื่นเต้นมากเท่าวันนี้ เพราะวันนี้เป็นวันที่เขาได้เห็นแสงสว่างอีกครั้งอย่างแท้จริง และมันก็เป็นวันที่ฉินหลิวซีบอกไว้ว่าเป็นวันสุดท้ายของการรักษาด้วย

เมื่อเอาผ้าฝ้ายที่ปิดตาออก ดวงตาของเขาก็ซึมซับยาหยอดตาที่ฉินหลิวซีปรุงไว้เป็นพิเศษ เขารู้สึกว่าดวงตาของเขาเย็นและชื้น อวี้ฉังคงไม่กล้าลืมตาอยู่ครู่หนึ่ง

“คุณชาย?” ซื่อฟังเอ่ยอย่างระมัดระวัง

เปลือกตาของอวี้ฉังคงสั่นไหว เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นก่อนจะปิดลงอีกครั้ง และลืมตาขึ้นอีก หลังจากทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง เปลือกตาของเขาก็ค่อยสั่นกระพือราวปีกแมลงและเปิดกว้างในที่สุด

สิ่งที่เขาเห็นคือใบหน้าที่ภาคภูมิใจแต้มรอยยิ้ม แก้มบางๆ ผิวขาวเย็น มันไม่ได้อ่อนโยนอย่างที่หญิงสาวควรจะเป็น แต่ค่อนข้างเย็นชาห่างเหินเหมือนตัวเขา

แปลกมาก ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเหมือนตัวเขาเองล่ะ?

แต่เขาก็รู้สึกว่าใบหน้านี้และนิสัยของอีกฝ่ายเข้ากันได้อย่างลงตัว

ฉินหลิวซีเห็นว่าดวงตาของอวี้ฉังคงสามารถจดจ่อได้แล้ว เธอก็อดยื่นมือออกไปประสานขึ้นมาไม่ได้ซึ่งถือเป็นการทักทาย “นี่คือดวงตาที่คุณชายฉังคงควรจะมี ชัดเจนและสดใสราวกับดวงดาวยามค่ำคืน”

อวี้ฉังคงแย้มยิ้มทันที

ฉินหลิวซีตกตะลึงไปเล็กน้อย

คนงามยิ้มเมื่อใด โลกสว่างสดใสทันที

คุณชายฉังคงตระกูลอวี้หน้าตาดีจริงๆ

เฉินผีเห็นเจ้านายของตนน้ำลายแทบจะไหลออกมาอย่างนั้น ก็อดกุมหน้าผาก กำหมัดแน่นและกระแอมไอเบาๆ ไม่ได้

อวี้ฉังคงได้สติกลับมาและลุกขึ้นจากเก้าอี้ยืนขึ้น ก่อนจะเดินไปตรงหน้าฉินหลิวซีและประสานมือคารวะ “ปรมาจารย์ปู้ฉิวทักษะการแพทย์เป็นเลิศ ฉังคงขอกราบขอบคุณ”

ฉินหลิวซีโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “เป็นเพราะเจ้าออกเงิน ข้าจึงแสดงฝีมือ ไม่มีค่าอะไรพูดถึงๆ”

บรู๊ว

ซื่อฟังกอดต้าฉยงทันทีและซับน้ำหูน้ำตากับตัวเขา ต้าฉยงรู้สึกรังเกียจและผลักเขาออก แต่อีกฝ่ายกลับจับเขาไว้แน่นเหมือนปลาหมึกยักษ์จนเขาผลักไม่ออก เขาจึงปล่อยมันไป ดวงตาแดงก่ำขณะหันไปมองอวี้ฉังคง

ในที่สุดคุณชายก็มองเห็นแสงสว่างอีกครั้งแล้ว

“คุณชาย ท่านมองเห็นได้ชัดเจนแล้วจริงๆ หรือขอรับ” ลุงเฉียนถามด้วยเสียงสะอึกสะอื้น

อวี้ฉังคงหันไปมองเขา “ลุงเฉียนแก่ลงไปมาก หลายปีนี้ข้าทำให้ท่านต้องเป็นห่วงกังวลแล้ว”

ลุงเฉียนก้าวเข้าไปกอดเขาไว้ เขาส่ายศีรษะทั้งยิ้มทั้งร้องไห้ “คุณชายสวมกวานแล้ว บ่าวจะไม่แก่ได้อย่างไรขอรับ ท่านมองเห็นก็ดีแล้ว ดีมากๆ เลย ถ้าคุณหนูที่อยู่ในปรโลกรับรู้เข้าก็สบายใจได้แล้ว”

“ข้าจะไปแจ้งให้ทราบที่หน้าหลุมศพทีหลัง” อวี้ฉังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

ลุงเฉียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

อวี้ฉังคงหันไปมองฉินหลิวซี เขานิ่งไปพักหนึ่ง

“เสี่ยวฉินจะไปแล้วหรือ”

พวกฉินหลิวซีกำลังเก็บกล่องยา พอได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้า “ท่านหายดีแล้ว ข้าก็ต้องไปสิ”

หายดีแล้วก็หมายความว่านางไม่ต้องกลับมารักษาเขาอีกแล้ว

จู่ๆ อวี้ฉังคงก็รู้สึกในใจว่างเปล่า “ร่างกายของข้าไม่ต้องรักษาต่อให้หายขาดแล้วหรือ ตาหายดีแล้ว แล้วพวกอวัยวะภายในเล่า?”

“ตอนที่ข้ารักษาดวงตาให้ท่าน ตอนที่ฝังเข็มข้าก็ถือโอกาสปรับอวัยวะภายในให้ท่าน ปรับสมดุลหยินหยางไปด้วยเลย ไม่อย่างนั้นหลายวันมานี้ท่านจะมีสีหน้าดีอย่างนี้ได้หรือ ท่านจะไม่มีปัญหาในการนอนหลับอีกต่อไป และท่านก็ไม่ตื่นเพราะความฝันน่ากลัวอีกแล้วมิใช่หรือ”

อวี้ฉังคงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ช่วงนี้คุณชายนอนหลับดีมาก ข้าคิดว่าเป็นเพราะยาต้มที่คุณชายดื่มเสียอีก” ซื่อฟังเอ่ย

อวี้ฉังคงเหลือบมองซื่อฟัง ใครให้เจ้าพูดมากกัน

ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นอีก “การฝังเข็มมีประโยชน์ เช่นเดียวกับยาต้ม ไม่ใช่แค่การรักษาโรคตาของเท่านั้น แต่ยังมีผลส่งเสริมในด้านอื่นๆ ด้วย การปรับสมดุลหยินหยางเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” อวี้ฉังคงคิดเล็กน้อยก่อนจะชี้ไปที่ดวงตาตนเอง “ตอนนี้ข้าเห็นได้ชัดเจนแล้วก็จริง แต่ข้ายังจะเห็นของพวกนั้นอยู่อีกหรือไม่”

“ถ้าท่านไม่มีเรื่องอะไรก็ไปเดินเล่นกับข้าดีหรือไม่ หากทนไม่ได้จริงๆ ข้าจะปิดผนึกให้ท่าน”

อวี้ฉังคงรอประโยคนี้อยู่แล้ว “ตกลง”

ขณะที่คนทั้งกลุ่มกำลังจะเดินออกไป ฉินหลิวซีก็ส่งเสียงออกมาก่อนจะยืนนิ่งอยู่ใต้ชายคา มองดูนกกระเรียนกระดาษบินมาหา

“คุณชาย คุณชาย มันคือข้อความจากอารามชิงผิง” ดวงตาที่เฉียบคมของซื่อฟังจำนกกระเรียนกระดาษได้ในทันที

นกกระเรียนกระดาษบินได้เหมือนจริง มีเพียงอารามชิงผิงเท่านั้นที่ทำได้

อวี้ฉังคงมองออกไปทันที ปลายนิ้วเขาขยับเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะเคยจินตนาการถึงวิธีการส่งข้อความเช่นนี้มาก่อน แต่เมื่อเขาเห็นนกกระเรียนกระดาษสีเหลืองบินเข้ามาหาเขาจริงๆ ก็ยังตกใจมาก

มันเปิดโลกเขามาก

วิชาอาคมช่างลึกลับน่าทึ่งจริงๆ

ฉินหลิวซียื่นมือออกไป นกกระเรียนกระดาษก็ตกลงใจกลางฝ่ามือและหยุดเคลื่อนไหว นางคลี่นกกระเรียนกระดาษออกทันทีและพบกว่าชิงหย่วนกำลังต้องการความช่วยเหลือ

รีบกลับอารามโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นอารามชิงผิงจะราบเป็นหน้ากลองเพราะอันธพาลน้อยที่ท่านเชิญมาแล้ว

นอกจากอักษรแล้วยังมีภาพวาดคนตัวเล็กร้องไห้อีกด้วย

อันธพาลน้อย?

ฉินหลิวซีนิ่งไปพักหนึ่ง แต่จู่ๆ ก็ราวกับนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางเอ่ยกับอวี้ฉังคง “เจ้าอันธพาลน้อยมู่ซีไปที่อารามชิงผิงแล้ว ชิงหย่วนกำลังตกที่นั่งลำบาก ข้าต้องไปที่นั่น ดวงตาของท่าน…”

“ไปด้วยกันเถอะ” อวี้ฉังกงพูดทันที “ถึงอย่างไรข้าก็เห็นได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นบนถนนหรือไม่ เดินทางไปกับท่านสักครั้งก็ได้”

“ก็จริง ไม่ไปก็ได้ ข้าเรียกมาให้ท่านเปิดหูเปิดตาสักกี่คนก็ได้เหมือนกัน” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

อวี้ฉังเอ่ยทันที “ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า”

“ท่านจะพบว่าข้าเรียกมาเป็นวิธีที่ดีกว่าค่อยเป็นค่อยไป” ฉินหลิวซีเอ่ยแฝงความหมายบางอย่าง

อวี้ฉังคงสั่งให้ต้าฉยงไปเตรียมรถม้า แต่ทันทีที่พวกเขาออกไป ก่อนที่เขาจะขึ้นรถม้า เขาก็ถูกผีน้อยสองตนชนเข้าโดยไม่คาดคิด เขาคิดจะหลบโดยสัญชาตญาณ แต่เด็กทั้งสองก็ทะลุร่างเขาไปทันที ร่างวิญญาณแตกสลายกระจัดกระจาย

อวี้ฉังคงชะงักและเงยหน้าขึ้น ที่มุมห้องตรงข้ามมีผีผู้ชายคนที่มีลำไส้โผล่ออกมา หัวศีรษะแข็งทื่อมองมาทางเขาราวกับว่าเห็นเนื้อชิ้นงามด้วยดวงตาเป็นประกาย

เป็นผิวหนังที่งดงามมาก

ผีผู้ชายลากลำไส้ของเขาลอยมาทันที แต่ก่อนที่เขาจะเข้าใกล้รถม้า ฉินหลิวซีที่อยู่ในรถม้าแล้วก็กระแอมไอและยื่นหน้าออกมา

ผีชาย “!”

ฟิ้ว

การเห็นหลิวซีก็เหมือนกับการเห็นอสุรเทพ มันหายวับไปในทันที

ฉวี้ฉังคงกลืนน้ำลายและมองไปที่ฉินหลิวซี ซึ่งมองเขาด้วยใบหน้าเหมือนจะยิ้มก็ไม่เชิง “ขึ้นมาสิ ถ้าข้าอยู่ด้วย พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้หรอก”

อวี้ฉังคงก้าวขาขึ้นรถม้าก่อนจะนั่งลงอย่างสง่างามและจัดเสื้อคลุมของเขาอย่างเรียบร้อย แล้วเอ่ยว่า “พวกเขาเข้าสิงร่างได้ข้าด้วยหรือไม่”

“กลัวแล้วหรือ”

อวี้ฉังคงส่ายหน้า “ไม่กลัว แต่ไม่ชอบ”

“คนที่มีพลังปราณกังอยู่ในร่าง วิญญาณชั่วร้ายจะไม่กล้าเข้าใกล้ ผู้ที่มีพลังปราณจักรพรรดิคอยปกป้องร่างกาย วิญญาณชั่วร้ายจะไม่กล้ารุกราน และผู้ที่มีบุญจะมีลำแสงสีทองปกป้อง ไม่มีภัยร้ายใดๆ กล้ำกราย และยังมีหลายสิ่งที่น่ากลัวกว่าผี เช่น ปีศาจร้าย ผีจะหลีกเลี่ยงเมื่อเห็นพวกมัน ส่วนท่านน่ะหรือ…” ฉินหลิวซีเอ่ย “ร่างกายท่านอ่อนแอและตาบอดมาสิบปีแล้ว ตามหลักท่านจะถูกครอบครองร่างได้ง่าย แต่ข้าเห็นว่าท่านสะอาดและไม่ถูกวิญญาณชั่วรุกราน ถ้าท่านไม่ได้มีของวิเศษติดตัวก็ต้องเป็นเพราะดวงชะตาของท่าน”

“ดวงชะตาของข้าหรือ” อวี้ฉังคงเอ่ย “ท่านไม่ได้ใช้วิธีจับชีพจรไท่ซู่หรือ”

ฉินหลิวซีพยักหน้า “ไม่ได้ใช้ และไม่ได้คิดจะใช้ เพราะข้าเองก็ไม่สามารถมองเห็นทุกสิ่งได้”

ดังนั้นนางจึงสงสัยมากจริงๆ ทั้งที่นางฉลาดมากเพียงนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถมองเห็นทุกอย่างได้ ดวงชะตาของเขาซ่อนอะไรไว้กันแน่!

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท