ตอนที่ 186 สหายตายไปเถอะ แต่ข้าต้องรอด
มู่ซีอยู่มานานขนาดนี้ยังไม่เคยพบเจออะไรที่ยากลำบากเท่ากับการตามหาคนผู้นี้มาก่อนเลย ไม่ต้องเอ่ยถึงการทำตัวบ้าๆ บอๆ แต่ยังต้องเปลืองเงินด้วย เมื่อก่อนคนของเขาเชื่อฟังแต่เขาเท่านั้น แต่เมื่อมาพบฉินหลิวซี คนของเขาทุกคนกลับห้ามเขา โดยบอกว่าคนมีวิชาไม่ควรล่วงเกิน
มันน่าโมโหนัก!
ตอนนี้อย่างไรเล่า หลังจากใช้เงินทุ่มไป ในที่สุดเขาก็ได้พบฉินหลิวซีอีกครั้งแล้ว
เปลือกตาของฉินหลิวซีกระตุก นางไม่สนใจมู่ซีที่แต่งตัวเหมือนไก่งวงแดงเพลิงไปทั้งตัว คำพูดของเขาที่ว่า ชิงหย่วนนักพรตหลอกลวงคนนั้นไม่ได้เอาเงินของข้าไปโดยเปล่าสะท้อนไปมาอยู่ในสมองของนาง
ไม่ได้เอาเงินไปเปล่า!
เจ้าเด็กเฒ่าชิงหย่วนสมควรโดนนัก
ฮัดชิ่ว ฮัดชิ่ว
ชิงหย่วนคลายมวยผมของตนออก นอนลงบนตั่ง ห่มผ้าแล้วแกล้งตาย
ฉินหลิวซีมองมู่ซี “ชิงหย่วนได้เงินจากท่านไปเท่าไร”
“ข้าเติมน้ำมันตะเกียงไปหนึ่งพันตำลึง เขาถึงได้บอกว่าท่านจะมา” มู่ซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “นักพรตน้อยจอมหลอกลวง สูงส่งจริงนะ ข้ายังต้องมาตามหาท่านถึงที่นี่โดยเฉพาะ แต่ก็นับว่าท่านยังรู้ความบ้างที่ไม่ได้หลอกข้า ท่านเป็นนักพรตอยู่ที่อารามพังๆ นี่จริงๆ”
“อารามพังๆ?” ฉินหลิวซีหรี่ตาลงทันที
มู่ซีชี้ไปที่อารามชิงผิง “ข้าพูดผิดตรงไหน มันทั้งเล็ก เก่า และโทรม สรุปว่าเก่าเล็กทรุดโทรมนั่นแหละ นักพรตก็มีแค่ไม่กี่คนด้วยซ้ำ แค่เห็นก็ดูไม่มีอนาคตแล้ว หรือว่าท่านจะกลับไปเป็นฆราวาสเหมือนเดิม ติดตามข้า แล้วข้าจะสร้างอารามใหญ่โตให้ท่านเอง”
ฉินหลิวซีเหล่มองเขา “ทำไม ท่านจะถูกสับเป็นสองท่อนอยู่แล้ว ยังไม่รู้ตัวอีก ท่านกล้าแย่งตัวคนหน้าอารามชิงผิง ซื่อจื่อน้อยท่านไม่รู้จักความตาย หรือว่าท่านกินดีหมีหัวใจเสือมาถึงได้กล้าดีอย่างนี้ ท่านกล้าพูดอย่างนี้ต่อหน้าบูรพาจารย์ในโถงใหญ่หรือไม่!”
“เรื่องนั้น…” มู่ซีกำลังจะเอ่ยอะไรไร้ยางอายออกมาตอนที่มีเสียงกระแอมไอดังมาจากด้านหลังเขา เขาจึงหยุดไปสักพัก “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าสร้างอารามใหญ่โตให้ แล้วชุบรูปปั้นบูรพาจารย์ของเจ้าด้วยทองคำก่อนจะอัญเชิญไปอยู่อารามให้ แบบนี้ได้แล้วใช่ไหม”
ร่างทองนะ
น้ำเสียงของฉินหลิวซีอ่อนลง “ไยต้องทำถึงขนาดนั้นด้วย ซื่อจื่อใจบุญสุนทาน อาจจะบริจาคน้ำมันตะเกียงเพื่อซ่อมแซมอารามชิงผิงของเรา แล้วค่อยบูรณะองค์บูรพเทพเป็นร่างทองก็ได้ เช่นนี้แล้วบูรพาจารย์ก็จะปกป้องท่านจากเภทภัยความชั่วร้ายทั้งปวง”
“ข้าเชื่อเรื่องเภทภัยพวกนั้นด้วยหรือ” มู่ซีเด้งตัวขึ้นมา “ใครๆ ก็บอกว่าคำพูดของนักพรตหลอกลวงไม่น่าไว้วางใจที่สุด ตายแล้วก็พูดให้มีชีวิตขึ้นมาได้ ถ้าข้าทำตามที่เจ้าบอกจริงๆ แล้วเจ้าหลอกข้า ข้าจะไม่ขาดทุนหรือ”
“ไม่ขาดทุนสิ ปกป้องท่านจากเภทภัยความชั่วร้ายทั้งปวง จะขาดทุนได้อย่างไร ร่างกายของซื่อจื่อล้ำค่าอย่างไร ท่านไม่รู้หรือ” ฉินหลิวซีพูดด้วยใบหน้าเหมือนจะยิ้มก็ไม่เชิง “หรือท่านต้องการให้ข้าช่วยเตือนความจำ”
นางก้าวไปข้างหน้าและเอื้อมมือไปหยิบยันต์บนร่างของเขาออก
ร่างหนึ่งแวบเข้ามาและยื่นมือมาห้ามไว้ เป็นองครักษ์ในชุดดำคนหนึ่งที่มองฉินหลินซีด้วยรอยยิ้ม “นักพรตน้อย ได้โปรดยั้งมือด้วย”
ฉินหลิวซีเบ้ปาก “น่าเบื่อ”
นางเดินเข้าไปในอาราม อวี้ฉังคงก็ตามไปด้วย
เมื่อมู่ซีเห็นว่าฉินหลิวซีจะไปแล้ว เขาก็รีบผลักองครักษ์และตามไปทันที
อวี้ฉังคงเอ่ย “มู่ซื่อจื่อ อย่าได้บีบบังคับใจคน”
“คนแซ่อวี้อีกแล้วหรือ นี่ ท่านเป็นอะไรกับนักพรตน้อยหรือ ทำไมข้าไปที่ไหนก็เจอท่านอยู่ตลอดเลย” มู่ซีเหล่มองเขาพลางเอ่ยถาม
อวี้ฉังคงตอบอย่างเย็นชา “ไม่เกี่ยวอะไรกับท่าน”
“เช่นนั้นข้าจะทำอะไรก็ไม่เกี่ยวกับท่านเหมือนกัน” มู่ซีแค่นเสียงออกมาทันที
อวี้ฉังคงหยุดฝีเท้าทันที เขาหันหน้าไปมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า “มู่ซื่อจื่อได้รับความรักมากมาย ท่านทะนุถนอมสิ่งที่มีไว้ดีกว่า บางคนก็ไม่ใช่คนที่ท่านจะสามารถหยอกล้อและยั่วยุได้”
มู่ซีตะลึง พอเขาเห็นว่าอวี้ฉังคงเดินจากไปไกลแล้ว เขาก็กระโดดขึ้นคว้าซวงเฉวียนแล้วตบศีรษะเขาทันที “ข้าเกือบจะถูกเขาขู่แล้ว เจ้าไม่เตือนข้าบ้างเลย แล้วข้าจะมีเจ้าไว้ทำไมนี่”
ซวงเฉวียน “บ่าวไร้ประโยชน์ ซื่อจื่อโปรดลงโทษข้าด้วย”
“ไปให้พ้น!” มู่ซีเตะเขาแล้วรีบตามไป
ปัง
ฉินหลิวซีเตะประตูห้องของชิงหย่วนให้เปิดออก ประตูที่ไม่มั่นคงอยู่ก่อนแล้วพังยับเยิน ลมหนาวพัดเข้ามาทันที
ชิงหย่วนตัวสั่นทันที เขาเปิดผ้าห่มและเผยให้เห็นดวงตาเพียงคู่เดียวและสบตากับดวงตาที่เหมือนจะยิ้มก็ไม่เชิงของฉินหลิวซี เขาลุกขึ้นนั่งเผยให้เห็นใบหน้าที่เหนื่อยล้าเล็กน้อย “ศิษย์พี่กลับมาได้สักที”
เขามองไปยังประตูที่อยู่บนพื้น เอาล่ะ มีเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนใหม่แล้ว
ฉินหลิวซีไม่ใส่ใจประตูที่ถูกตนเองเตะจนพัง และก้าวเข้าไปข้างในด้วยฝีเท้ายาวๆ “เจ้าทรยศข้าแล้ว ข้าจะไม่มาได้หรือ ทำไมหรือ ตอนนี้ไม่เสแสร้งแล้วล่ะ โอ๊ะ ยังแปะแผ่นปิดแผลหลอกด้วย ลงทุนหนักมากเลยนะ? มาๆๆ ข้าจะฝังเข็มให้เจ้าสักสองสามเข็ม รับประกันเลยว่าเจ้าจะได้นอนจนกระดูกนิ่มไปเลย”
ชิงหย่วนยิ้มแหยและแตะแผ่นปิดแผลหลอกๆ ที่ขมับตนเอง “ท่านจะโทษข้าได้อย่างไร ตัวซวยข้างนอกนั้นท่านเป็นคนชักจูงมาไม่ใช่หรือ เขาทำแต่เรื่องประหลาดๆ ทุกวันในอารามและยังคุกคามรังควานผู้แสวงบุญชาย ข้าจะปล่อยให้คนอื่นคิดว่าอารามของเราไม่เคร่งครัดจริงจังได้อย่างไร!”
“เจ้าก็เลยขายข้า!”
ชิงหย่วนเอ่ย “จะเอ่ยว่าขายไม่ได้หรอก ข้าก็แค่เรียกท่านมาช่วย สัตว์ประหลาดตัวน้อยที่ไม่มีใครแตะต้องได้อย่างนั้น ต้องให้ท่านออกหน้าเท่านั้นแล้ว”
“ใช่สิ สหายเจ้าตายไปเถอะ แต่ข้าต้องรอดสินะ ถ้าข้าทำเขาตาย อำนาจเบื้องหลังเขาก็ต้องมาหาข้าเท่านั้นสิ” ฉินหลิวซียิ้มเย็นชา
“ท่านต้องไม่ทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นอยู่แล้ว แต่ข้าไม่เหมือนท่าน ท่านไม่เห็นหรือว่าสองวันมานี้ข้ากลัดกลุ้มจนมีริ้วรอยเพิ่มขึ้นมาอีกกี่รอยแล้ว”
“เลิกเล่นลิ้นกับข้าได้แล้ว เจ้ามันก็รีบร้อนเกิดจนหน้าตาขี้เหร่แบบนี้อยู่แล้วนี่”
ชิงหย่วนน้อยอกน้อยใจ “…”
นี่มันโจมตีเรื่องส่วนตัวของเขานี่
ฉินหลิวซีหันกลับไปมองเล็กน้อย “อย่าแสร้งตายอยู่เลย รีบลุกขึ้นต้อนรับผู้แสวงบุญ”
ชิงหย่วนเห็นว่านางจะไม่ถือสาหาความแล้ว ก็ดีใจทันทีและเลิกผ้าห่มขึ้น “มาแล้ว”
“ข้าจะมาคิดบัญชีกับเจ้าทีหลัง!”
ชิงหย่วน “!”
ไม่รู้ว่าเขาจะหนีไปจากอารามได้หรือไม่!
…
“คุณหนู ระวังบันไดด้วย” หญิงชราคนหนึ่งพยุงหญิงสาวในชุดฤดูใบไม้ร่วงเข้าไปในโถงด้านหน้าพลางพึมพำ “ถ้าท่านอยากไหว้พระ เราไปที่วัดอู๋เซียงกันก็ได้ ทำไมท่านถึงต้องดั้นด้นมาถึงที่นี่ด้วยเจ้าคะ”
รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของเด็กสาวอ่อนเยาว์ที่มีลักษณะนิสัยอ่อนโยนและสง่างาม นางเอ่ย “แม่นมอย่าพูดอย่างนั้นสิ ใครๆ ก็บอกว่ายันต์ที่นี่ศักดิ์สิทธิ์มากไม่ใช่หรือ ข้าก็จะมาขอให้ท่านแม่บ้างเผื่อท่านจะดีขึ้น”
แววตาของหญิงชราหรี่แสงลง “บ่าวปากมากไปเอง คุณหนูมีใจกตัญญูจะไปที่ไหนก็ศักดิ์สิทธิ์ได้ผลเหมือนกันนะเจ้าคะ”
“ความจริงใจนำไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น” สีหน้าเจาชิงม่านดูเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย “มาอยู่ต่อหน้าเทพเจ้าแล้ว แม่นมก็ไม่ต้องเอ่ยเรื่องพวกนั้นแล้ว”
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวคุณหนูขอไปสักสองชิ้นสิเจ้าคะ ท่านจะได้พกไว้ขับไล่ความโชคร้ายของตัวเองในช่วงนี้ด้วย”
เจาชิงม่านมาถึงตรงหน้าบูรพาจารย์ นางนำบ่าวรับใช้มาถวายแตงและผลไม้ก่อน จากนั้นจึงไปหยิบธูปจากตะกร้า แล้วธูปจำนวนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
หญิงชราและสาวใช้สองคนรีบล้อมคุณหนูของตน และมองดูชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงกันข้ามด้วยความระแวดระวัง คนคนนี้ปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่และเขามีเจตนาอะไร
“ท่านเป็นใคร ที่นี่คืออารามเต๋า อย่ามาทำอะไรวุ่นวายที่นี่นะ” หญิงชรายืนขวางอยู่ข้างหน้าเจาชิงม่าน ท่าทางราวแม่ไก่แก่ที่คอยปกป้องลูกไก่
นางมองไปรอบๆ อีกครั้งและเห็นว่าอารามชิงผิงนั้นเล็กมาก แม้แต่นักพรตที่คอยต้อนรับผู้มาแสดงบุญก็มีเพียงไม่กี่คน มีเพียงนักพรตน้อยคนเดียวเท่านั้น หากมีอะไรเกิดขึ้น ก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำประโยชน์อะไรได้บ้าง
ฉินหลิวซียิ้ม “ข้าแต่เทพสูงสุด ข้าเป็นนักพรตในอารามชิงผิง ฉายานามว่าปู้ฉิว ผู้มีบุญต้องการจุดธูปอธิษฐานจะต้องใช้ธูปไม้กฤษณา ไม่ใช่ธูปไม้จันทน์ ธูปไม้จันทน์นั้นไว้สำหรับวัดพุทธเท่านั้น”
ทุกคนตกตะลึง นี่คือนักพรตในอาราม โกหกใช่หรือไม่ ชุดนักพรตก็ไม่สวมด้วยซ้ำ แถมยังดูเหมือนพวกมากตัณหาด้วย!