ตอนที่ 187 อารามเต๋าแห่งนี้ไม่ค่อยจริงจังนัก
ฉินหลิวซีถือธูปไว้ในมือ จากนั้นก็ส่งให้เจาชิงม่าน ดวงตาคู่นั้นมองไปที่นาง สายตาเข้มขึ้นเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เคยพบสตรีผู้นั้นที่ถนน ไม่ได้พบมาสองวัน โชคลาภของสตรีผู้นี้ตกต่ำลง จุดหว่างคิ้วมีความหม่นหมอง ความโชคร้ายของนางร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้จุดอาทิตย์และดวงจันทร์ของนางมีรอยย่น สีหน้าหม่นหมอง หว่างคิ้วมีความกังวล ช่วงนี้ท่านพ่อและท่านแม่ของนางจะเจ็บป่วย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวนางเอง เดิมทีควรจะมีชีวิตที่มีความสุขและมั่งคั่ง แต่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนแปลงไป
พูดให้ถูกก็คือ ถูกยืมไปอย่างนั้นหรือ
ช่างน่าสนใจจริงๆ เป็นฝีมือของนักพรตเต๋าสายดำ หรือว่าแม่หมอคนไหนเป็นคนทำ
ดวงตาของฉินหลิวซีเผยให้เห็นถึงความสนใจ
เจาชิงม่านสับสนเล็กน้อย คนผู้นี้บอกว่าเป็นนักพรตเต๋า เช่นนั้นสายตาที่เผยให้เห็นถึงความสนใจของเขาคืออะไร
ฉินหลิวซียังคงยื่นธูปไปข้างหน้า ราวกับว่าจะไม่ยอมแพ้จนกว่าอีกฝ่ายจะยอมรับธูป
อวี้ฉังคงเดินเข้ามาในอาราม เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ จึงเดินเข้าไปอย่างช้าๆ
มู่ซีที่เดินตามหลังมาก็กระโดดเข้ามาส่งเสียงเอะอะ เมื่อเห็นฉินหลิวซีก็ตะโกนว่า “ดีจริงๆ เจ้านักต้มตุ๋น เพียงแค่พริบตาเดียวก็หาตัวไม่พบแล้ว ที่แท้ก็หายมาอยู่ที่นี่นี่เอง เจ้าเกิดปีหนูหรือ”
“เงียบเสีย!” อวี้ฉังคงจ้องมองเขา คนผู้นี้แยกแยะสถานการณ์ไม่ออกหรืออย่างไร ไม่เห็นหรือว่าอีกฝ่ายกำลังยุ่ง และนี่ก็เป็นอารามหลัก
มู่ซีตอบเพียง “อ้อ”
ทันใดนั้นก็รู้สึกตัวขึ้นมา เอ๊ะ เหตุใดเขาถึงเชื่อฟังเสียแล้ว
“อย่ามาสั่งข้าหน่อยเลย” มู่ซีเดินชนเขาไปหยุดอยู่ที่ข้างฉินหลิวซี มองไปที่บรรดาสตรีที่อยู่ตรงข้าม กล่าวว่า “เจ้านักต้มตุ๋น กำลังทำอะไรอยู่หรือ”
เจาชิงม่านและคนอื่นๆ ต่างก็สับสน นี่ นี่คืออารามเต๋าจริงๆ หรือ
เหตุใดมีบุรุษรูปงามโผล่มาทีละคน
ใบหน้าเจาชิงม่านแดงก่ำ ก้มศีรษะลงเล็กน้อย
นางเป็นสตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือน มาจุดธูปบูชาขอยันต์ครั้งนี้ กลับได้พบบุรุษแปลกหน้าสองสามคน ทำให้นางทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
หญิงชรายิ่งรู้สึกไม่พอใจ นางรู้อยู่แล้วว่าอารามเต๋าแห่งนี้ไม่ค่อยจริงจังนัก คนพวกนี่นี้มันอะไรกัน
ฉินหลิวซีดันมู่ซีออกไป กล่าวว่า “ไปเล่นที่อื่นก่อน”
มู่ซีถูกดันเซออกไป อยากจะระเบิดอารมณ์โมโห แต่เมื่อฉินหลิวซีเหลือบมองมาเล็กน้อย เท้าของเขาก็หยุดอยู่กับที่ราวกับถูกตอกตะปูไว้ ไม่กล้าขยับ จากนั้นก็ถูกมือยาวของอวี้ฉังคงดึงคอเสื้อมาด้านหลัง
มู่ซี “…”
องครักษ์รับใช้ “!”
นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ ท่านซื่อจื่อของพวกเขาก็มีวันที่โดนผู้อื่นปรามเช่นกัน
เมื่อฉินหลิวซีเห็นว่ามู่ซีสงบลงแล้ว จึงก้าวไปหาเจาชิงม่านสองก้าว ยื่นธูปไปให้นาง “ผู้ศรัทธา โปรดรับไว้เถิด ธูปเคารพบูชา”
หญิงชราสายตาเฉียบคม เมื่อเห็นชิงหย่วนที่สวมชุดนับพรตเต๋าเดินเข้ามาในอารามหลัก รู้สึกเหมือนได้เห็นนักพรตที่แท้จริง ตะโกนเรียกเสียงดัง “ท่านนักพรต ท่านนักพรตมาทางนี้หน่อยเจ้าค่ะ”
ชิงหย่วนเดินมา ยกมือขึ้นคำนับ กล่าวว่า “ท่านผู้ศรัทธา มีอะไรหรือ”
“ท่านนักพรต พวกเรามาที่นี่เพื่อจุดธูปบูชา เหตุใดจึงได้ปล่อยคนเหล่านี้มาสร้างความวุ่นวายเจ้าคะ” หญิงชราเอ่ยด้วยความโกรธ “อารามเต๋าของพวกท่านดูไม่ค่อยจริงจังนัก ยังใช่อารามเต๋าอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
ชิงหย่วน ‘บอกแล้วใช่หรือไม่ว่าผู้มาแสวงบุญจะต้องเข้าใจผิดแน่นอน’
เขาปั้นหน้ายิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านผู้ศรัทธา ท่านนี้ก็เป็นนักพรตเต๋าของอารามเรา” เขาเหลือบมองใบหน้าฉินหลิวซี กล่าวว่า “รูปงามไปสักหน่อย แต่เป็นนักพรตเต๋าอารามชิงผิงจริงแท้แน่นอน อีกทั้งวิชาแก่กล้า”
ใบหน้าหญิงชราร้อนผ่าว เป็นนักพรตเต๋าจริงๆ หรือนี่
เจาชิงม่านตบไปที่แขนแม่นม ก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับธูปจากฉินหลิวซี กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ขอบคุณท่านนักพรตน้อยเจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีเดินออกไปอยู่ด้านข้าง มองดูนางจุดธูปขอพร คุกเข่าลงบนฟูก หลับตาลงแล้วกล่าวคำอธิษฐาน หลังจากที่นางปักธูปทั้งหมดลงในกระถางธูป แล้วเดินไปขอยันต์แคล้วคลาดจากชิงหย่วน ฉินหลิวซีจึงได้เอ่ยขึ้น
“ท่านผู้ศรัทธา ไม่ขอให้ตัวเองสักแผ่นหรือ ช่วงนี้ท่านประสบเหตุร้าย ซึ่งร้ายแรงกว่าอาการป่วยของท่านแม่ท่าน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิต”
เจาชิงม่านตกตะลึง
สีหน้าแม่นมของนางเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เกือบจะโวยวายขึ้นมาทันที เจ้าเป็นใครกันมากล่าวคำสาปแช่งคุณหนูของนางเช่นนี้
มู่ซีที่อยู่ไม่ไกลหันไปเอ่ยกับอวี้ฉังคงที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรังเกียจ กล่าวว่า “เจ้านักต้มตุ๋นกล่าวเช่นนี้ ไม่กลัวถูกคนตีตายหรือ”
ปากร้ายเกินไปแล้ว คนที่อ่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องนี้จะต้องอัดเขาอย่างแน่นอน
แต่ว่าปากร้ายก็ส่วนของปากร้าย นั้นตรงกับสิ่งที่เขาต้องการ
อวี้ฉังคงยืนมือไพล่หลัง ไม่เอ่ยอะไร
เมื่อมู่ซีเห็นว่าเขาไม่ตอบ ก็เบะปาก ทำเป็นเคร่งขรึม น่าเบื่อ
เจาชิงม่านสูดหายใจเข้าลึกๆ เอ่ย “ท่านนักพรตน้อย…”
“วันนี้ตอนที่ท่านออกจากจวนก็คงได้ประสบโชคร้ายแล้วกระมัง” ฉินหลิวซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ปลายนิ้วเจาชิงม่านสั่นเล็กน้อย
ทันใดนั้นใบหน้าของหญิงชราก็ซีดลง สายตาแฝงไว้ด้วยความยำเกรงและระมัดระวัง แต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไร
“ท่านพ่อและท่านแม่ของเจ้ารักกัน พี่น้องก็รักใคร่ปรองดอง ฐานะครอบครัวร่ำรวย ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นตั้งแต่ท่านยังเด็ก ในภายภาคหน้าก็จะมีชีวิตแต่งงานที่มีความสุข มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง ชีวิตมั่งคั่ง มีความสุข สุขภาพแข็งแรง แต่ในช่วงนี้มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับท่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นโชคร้ายในแบบที่สามารถพบได้เมื่อเดินตามท้องถนน ท่านพ่อท่านแม่ของท่านล้มป่วยทีละคน อาการท่านแม่ค่อนข้างหนักกว่า ข้าทายถูกหรือไม่”
เจาชิงม่านสีหน้าดูซีดเล็กน้อย
มู่ซีกระซิบกับอวี้ฉังคงว่า “หากเจ้านักต้มตุ๋นชูป้ายที่เขียนว่าหมอดู แล้วเอ่ยเกี่ยวกับความหม่นหมองของจุดกลางหว่างคิ้ว บอกว่าจะมีภัยพิบัตินองเลือด เช่นนั้นก็ยิ่งเหมือนนักต้มตุ๋นมากกว่าเดิม!”
อวี้ฉังคง “…”
เสียงดังน่ารำคาญ!
หญิงชราแทบยืนไม่อยู่แล้ว กล่าวว่า “ท่านนักพรตน้อย พวกเราไม่เคยดูดวง ท่านพูดเหลวไหลแล้วกระมัง”
“เหลวไหลหรือไม่ในใจพวกท่านรู้ดี”
“ท่านผู้ศรัทธา ศิษย์พี่ปู้ฉิวของพวกเราเป็นเลิศทางด้านการทำนายโหงวเฮ้ง” ชิงหย่วนมองดูใบหน้าของเจาชิงม่านอย่างละเอียด เอ่ย “แต่ว่าโหงวเฮ้งของแม่นาง จุดหว่างคิ้วหม่นหมอง จะมีภัยพิบัตินองเลือดในอนาคตอันใกล้นี้”
มู่ซีเหลือบมองอวี้ฉังคงอย่างภาคภูมิใจ เอ่ย “เห็นหรือไม่ นี่น่ะเป็นวิธีพูดที่ถูกต้องของนักต้มตุ๋น”
อวี้ฉังคงเขยิบยืนห่างออกไปเล็กน้อย
“น่าแปลก หากเป็นอย่างที่ศิษย์พี่ปู้ฉิวเอ่ย โหงวเฮ้งของท่านเป็นคนร่ำรวยโดยไม่ต้องทำอะไร มันเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ไปทำให้ใครขุ่นเคืองแล้วถูกสาปเปลี่ยนชะตาชีวิตหรือไม่” ชิงหย่วนก็รู้สึกแปลกๆ เช่นกัน
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “คงจะเป็นการยืมชะตาชีวิต”
เมื่อชิงหย่วนได้ยินดังนั้นก็เก็บสีหน้า ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “การยืมชะตาชีวิต เป็นฝีมือของนักพรตเต๋าสายดำ”
“ถูกต้องแล้ว ช่วงนี้มีปีศาจไม่น้อยเลย ดูเหมือนจะเป็นฝีมือนักพรตสายดำ”
เดี๋ยวนะ พวกเจ้าร้องรับส่งกันไปมา ช่วยดูแลผู้ที่มีปัญหาหน่อยไม่ได้หรือ
หญิงชราตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เพราะฉินหลิวซีทำนายถูกแล้ว ช่วงนี้คุณหนูของนางมักจะประสบเรื่องร้ายอยู่เสมอ ตอนออกจากจวนวันนี้ กระถางดอกไม้จากเรือนข้างๆ ก็ตกลงมากลางอากาศ อีกแค่นิดเดียวก็จะโดนตัวนางแล้ว
นอกจากนี้นายท่านและฮูหยินของนางต่างก็ล้มป่วยทั้งคู่ โดยเฉพาะฮูหยินที่จู่ๆ ก็ป่วยเป็นไข้หวัด ไอต่อเนื่องมานานไม่หายเสียที ซ้ำช่วงนี้ยังไอเป็นเลือด ดังนั้นคุณหนูจึงได้อยากจะมาขอยันต์ให้ฮูหยินพกติดตัวไว้
และหญิงชรากับคนอื่นๆ ก็ไม่ได้สงสัยว่าฉินหลิวซีกับชิงหย่วนร้องรับส่งกันไปมาเพื่อเงินค่าธูปและน้ำมันตะเกียง เดิมทีพวกนางก็ไม่ใช่คนเมืองหลี เพียงแค่นั่งเรือผ่านเมืองหลี เตรียมจะไปเมืองฝู่เพื่อฉลองวันเกิดแก่พี่หญิง พวกนางมาหยุดที่เมืองหลีก็เพราะฮูหยินมีพี่น้องร่วมสาบานอยู่ที่เมืองหลี ถูกอีกฝ่ายรั้งให้อยู่ต่อสองสามวัน จะเริ่มออกเดินทางในวันพรุ่งนี้
ดังนั้นเดิมทีพวกนางก็ไม่ได้รู้จักกัน การที่มาอารามชิงผิงเป็นแค่ความคิดที่เกิดขึ้นมากะทันหัน ฉินหลิวซีและคนอื่นๆ คงไม่สามารถไปสืบเรื่องราวของพวกนางล่วงหน้าได้หรอกกระมัง
เช่นนั้นก็มีปัญหาแล้ว หากเป็นอย่างที่ฉินหลิวซีกล่าว คุณหนูของนางถูกยืมชะตาชีวิตไปหรือ