คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 190 ทำลายคาถา

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 190 ทำลายคาถา

ในเมื่อฮูหยินเจาต้องการให้ทำลายคาถายืมชะตาชีวิตเพื่อช่วยบุตรสาว ฉินหลิวซีย่อมรับปาก อย่างไรเสียการยืมชะตาชีวิตถือเป็นมนต์ดำ และเจาชิงม่านก็เป็นผู้บริสุทธิ์ ในเมื่อได้พบเจอกันแล้วย่อมไม่สามารถนั่งมองเฉยๆ โดยไม่สนใจนางได้

ฉินหลิวซีไปเตรียมสิ่งที่ใช้ในพิธีทำลายคาถาด้วยตัวเองและขอแปดตัวอักษรเวลาตกฟากของเจาชิงม่าน วาดยันต์ทำลายสิ่งชั่วร้ายและยันต์ชะตาชีวิต จากนั้นจึงไปเตรียมการ

ระหว่างรอ เจาชิงม่านเดินไปหาฮูหยินเจาที่มีสีหน้าโกรธเคือง เอ่ยปลอบโยนเบาๆ “ท่านแม่ ท่านสุขภาพไม่ดี อย่าได้โกรธไปเลยเจ้าค่ะ”

“เจ้าจะไม่ให้ข้าโกรธได้อย่างไร” ฮูหยินเจากัดฟันพลางเอ่ยว่า “ข้าสงสารที่นางร่างกายอ่อนแอ ทุกๆ เทศกาลเปลี่ยนสี่ฤดูกาล มีหรือที่จะไม่ส่งสมุนไพรบำรุงและเสื้อผ้าสี่ฤดูไปให้นาง แม้กระทั่งนกเขาตัวนั้น ก็เพราะเห็นว่านางเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่ในเรือนทั้งวันจึงได้ไปซื้อมาจากพ่อค้า มอบให้นางเพื่อคลายความเบื่อหน่าย ข้าในฐานะท่านน้า ปฏิบัติต่อนางเสมือนบุตรแท้ๆ ของตัวเอง ข้าทำผิดต่อนางตรงไหนหรือ”

เจาชิงม่านยังคงเงียบ อยากจะช่วยพูดแทนพี่หญิงฉิงสักหน่อย แต่พอจะอ้าปากกลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

“ข้าคิดว่าข้าทำดีมากแล้ว ข้าให้ความเคารพท่านป้าของเจ้าทุกอย่าง ข้ารู้ว่าท่านป้าของเจ้าอิจฉามาตลอดที่ข้าได้แต่งงานกับท่านพ่อของเจ้า ครอบครัวสุขสันต์ มีบุตรคู่ชายหญิง และนางยิ่งรู้สึกหมดหนทางเมื่อท่านลุงของเจ้ารับคนใหม่เข้ามาเรื่อยๆ ข้าไม่เคยโอ้อวดต่อหน้านาง พยายามเก็บซ่อนไว้ สิ่งไหนที่ดีมีหรือจะไม่เคยส่งไปให้ลูกพี่ลูกน้องของเจ้า นางทำเช่นนี้ได้อย่างไร”

ยิ่งพูดฮูหยินเจาก็ยิ่งเจ็บใจ น้ำตาไหลออกมา เอ่ยว่า “ยืมชะตาชีวิตเชียวนะ ม่านเอ๋อร์ นี่มันไม่ง่ายเหมือนการยืมเงินไม่กี่ตำลึง มันคือชีวิต นักพรตน้อยผู้นั้นเอ่ยแล้วว่าจะยืมชะตาชีวิตจนกว่าจะไม่มีให้ยืม จะเกิดอะไรขึ้น ก็เหลือเพียงแค่คำเดียวคือคำว่า ‘ตาย’ ไม่ใช่หรือ”

เจาชิงม่านถอนหายใจเบาๆ เอ่ยว่า “ท่านแม่ อย่างน้อยข้าก็ยังพอมีโชคอยู่บ้าง มิฉะนั้นคงไม่ได้ค้นพบในเวลานี้”

“ใช่แล้ว เจ้าโชคดีที่ได้พบคนดี” ฮูหยินเจาเอื้อมมือไปลูบแก้มนาง เอ่ยว่า “แต่ว่าม่านเอ๋อร์ หากเจ้าโชคร้ายกว่านี้ พลาดสิ่งนี้ไป เช่นนั้นแม่จะไม่ต้องเสียเจ้าไปแล้วหรอกหรือ นั่นก็เท่ากับเอาชีวิตแม่ไปเชียวนะ”

เจาชิงม่านกอดแขนนางพลางลูบเบาๆ

ฮูหยินเจาลูบผมสีดำขลับของนาง เอ่ยว่า “ ‘นกเขา’ กับ ‘ฉิง’ ต่อให้นักพรตน้อยผู้นั้นเก่งแค่ไหนก็คงไม่รู้ว่านางเลี้ยงนกเขาใช่หรือไม่ แน่นอนว่าคำทำนายถูกต้องทั้งหมด ข้าหวังว่าทุกอย่างจะเป็นเรื่องบังเอิญ เป็นพวกเราที่คิดผิดไป เอาเช่นนี้หรือไม่ หากพวกนางไม่ได้เป็นคนทำ เช่นนั้นก็จะไม่เป็นอะไร และไม่ต้องไปพูดถึง แต่หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็จะถูกมนต์ย้อนกลับ นั่นก็เป็นชีวิตของนาง”

ในตอนท้ายน้ำเสียงของนางเย็นชาและแข็งกร้าว “ทุกคนล้วนมีชะตาชีวิตของตัวเอง พวกนางไม่รักชีวิต เช่นนั้นก็ต้องโทษที่ตัวเองทำบาป มีความคิดที่ผิดโทษใครไม่ได้ ม่านเอ๋อร์ เจ้าก็จำไว้ว่าไม่ควรมีความคิดทำร้ายผู้อื่น แต่หากเราถูกผู้อื่นทำร้าย เช่นนั้นก็ต้องตาต่อตาฟันต่อฟัน ผู้ที่ทำให้ความสัมพันธ์ต้องจบลง คือพวกนางไม่ใช่พวกเรา”

“ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้ว”

ฮูหยินเจาตบมือนางเบาๆ จากนั้นก็ไอขึ้นมาอีกครั้ง

มู่ซีหลับจนตะวันโด่งจึงได้ตื่นขึ้นมา เมื่อตื่นขึ้นก็ได้ยินซวงเฉวียนบอกว่าคนตระกูลเจาที่มาเมื่อวานนี้ได้มาอีกแล้ว ได้ยินว่ามาหาฉินหลิวซีให้ช่วยแก้ไขปัญหา ตอนนี้ฉินหลิวซีกำลังเตรียมการอยู่

“มาจริงๆ หรือนี่” มู่ซีเริ่มสนใจ ลูบคางพลางเอ่ยว่า “เจ้านักต้มตุ๋นบอกว่าพวกเขาจะกลับมาในวันนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงตั้งใจไม่ลงจากภูเขา อยู่ค้างคืนที่อาราม สุดท้ายก็มาจริงๆ ด้วย ดูเหมือนว่านักพรตต้มตุ๋นผู้นี้จะมีความสามารถอยู่บ้าง แม้แต่สิ่งนี้ก็ยังทำนายถูก”

“ท่านซื่อจื่อ เขามีนามว่าอาจารย์ปู้ฉิว นักพรตชิงหย่วนผู้นั้นอายุมากพอที่จะเป็นท่านพ่อของเขาได้ แต่กลับเรียกเขาว่าศิษย์พี่ เห็นได้ว่าสถานะของเขาไม่ธรรมดา ท่านเลิกเรียกเขาว่านักพรตต้มตุ๋นได้แล้ว ฟังดูไม่ให้ความเคารพเลยขอรับ! ” ซวงเฉวียนเอ่ยเกลี้ยกล่อม

มู่ซีเอ่ย “เขาเป็นอาจารย์ แล้วก็เป็นนักพรตเต๋า ซึ่งก็คือนักต้มตุ๋นไม่ใช่หรือ ข้าเรียกผิดตรงไหน”

“ขอรับๆ อย่างไรเสียท่านก็สำรวมสักหน่อย ให้ความเคารพมากกว่านี้ ท่านบอกเองกว่าเขาก็มีความสามารถอยู่บ้าง หากเขาทำอะไรท่านขึ้นมาจนเครื่องรางของท่านหมดฤทธิ์จะทำอย่างไรขอรับ” ซวงเฉวียนเอ่ยเสริมว่า “คนเสวียนเหมินร้ายกาจที่สุด เมื่อวานนี้ท่านก็ได้ยินเรื่องของคนแซ่เจาผู้นั้นแล้ว ยืมชะตาชีวิตเชียวนะขอรับ แค่ได้ยินก็หนาวไปทั้งตัวแล้ว!”

มู่ซี “เขากล้าทำเช่นนี้กับข้าหรือ”

“หากเขาทำแล้วท่านจะรู้ได้อย่างไร เหมือนกับแม่นางเจาผู้นั้น หากไม่ได้อาจารย์ปู้ฉิวไขปริศนาให้ มีหรือพวกนางจะรู้ว่าตัวเองถูกยืมชะตาชีวิตไป เห็นได้ชัดว่านักพรตเต๋าเสวียนเหมินหากจะทำอะไรบางอย่างขึ้นมาจริงๆ เทพไม่รู้ผีก็ไม่เห็น ความสามารถที่แท้จริงคือการติดต่อกับผีและเทพเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่จะป้องกันได้” สีหน้าซวงเฉวียนเต็มไปด้วยความยำเกรง

ผู้ที่รู้จักวิธีติดต่อกับผีและเทพเจ้าไม่สามารถนำไปเทียบได้กับการถือหอกกระบี่มาตีกันซึ่งๆ หน้า หากใช้วิธีนี้ เจ้ายังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาทำอะไรลงไปบ้าง ก็แพ้เสียแล้ว

ดังนั้นอย่าไปทำให้เขาขุ่นเคืองจะดีกว่า

มู่ซีรำคาญที่ถูกตักเตือน โบกมือพลางเอ่ยว่า “อย่างไรเสียนางก็เป็นอาจารย์ ไม่ใช่คนร้ายน่ากลัวอย่างที่เจ้าพูดถึง เอาเถิดข้ารู้ขอบเขตดี จะไปดูความครึกครื้นสักหน่อย”

เขาไม่ได้สนใจซวงเฉวียน เมื่อลุกขึ้นได้ก็รีบออกไปทันที ซวงเฉวียนทำได้เพียงคว้าเสื้อคลุมของเขาแล้วรีบเดินตามไป บนภูเขาอากาศหนาวจะปล่อยให้เจ้านายหนาวจนตัวแข็งไม่ได้

มู่ซีวิ่งไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นฉินหลิวซี แต่กลับเห็นอวี้ฉังคงมาจุดธูปบูชาที่อารามหลัก

“เจ้านักต้มตุ๋นล่ะ”

อวี้ฉังคงขมวดคิ้ว หันมาเล็กน้อย เอ่ยว่า “เฉิงเอินโหวไม่ได้สอนเจ้าเรื่องมารยาทหรือ ว่าไม่ควรตะโกนส่งเสียงดังในอารามเต๋า ที่เจ้าพูดจาโอหังเพราะรำคาญที่เครื่องรางบนตัวเจ้ามันหนักเกินไปหรือ”

“เหอะ พ่อข้ายังไม่สอนข้าเลย แล้วเจ้าเป็นใครมาสอนข้า” มู่ซีไม่พอใจเป็นอย่างมาก

อวี้ฉังคงลดสายตาลง นำธูปไปปักที่กระถางทีละดอก เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสบ้านเจ้าไม่สอน ย่อมมีคนมาสอนแทนพวกเขา”

“เจ้า!”

อวี้ฉังคงหันกลับมาที่ตะเกียงของบิดามารดา ยืนอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจากไป

มู่ซีตามเขามาที่เรือนด้านหลังแต่กลับถูกหยุดไว้ เหตุผลเป็นเพราะว่ามีการประกอบพิธีกรรมอยู่ข้างใน บุคคลภายนอกไม่ควรเข้าไป

เมื่อเห็นว่ามู่ซีจะบุกเข้าไป อวี้ฉังคงจึงได้ดึงคอเสื้อของเขาไว้แล้วเอ่ยเตือนเสียงเข้ม “อย่าได้บังอาจรบกวนผู้ทำพิธี จะทำให้อีกฝ่ายเสียสมาธิทำให้ร่างกายและจิตใจได้รับผลกระทบได้!”

มู่ซีเบะปาก สบถเบาๆ ไม่ได้จะบุกเข้าไปอีก

ด้านในเรือนหลัง ฉินหลิวซีได้ตั้งแท่นบูชาเล็กๆ จุดธูปที่กระถาง สวมเสื้อคลุมเต๋าสีทองปักด้วยรูปเหมือนจริงของเจ้าลัทธิเต๋า บนหน้าอกติดเครื่องรางหยกวิญญาณ สีหน้าเคร่งขรึม

ด้านหน้าแท่นบูชาได้จุดตะเกียงน้ำมันแปดดวง ซึ่งหนึ่งในนั้นได้เขียนแปดอักษรเวลาตกฟากของเจาชิงม่านไว้ในตะเกียงชะตาชีวิต

“ฮูหยินเจา แน่ใจแล้วใช่หรือไม่ เมื่อคาถาถูกทำลาย ผู้ที่ยืมชะตาชีวิตจะถูกคาถาย้อนกลับ อายุขัยย่อมจะสั้นลงแน่ๆ”

การยืมชะตาชีวิตเป็นการกระทำที่ผิดธรรมชาติ เมื่อถูกทำลายจะย้อนกลับคืนและจะถูกสวรรค์ลงโทษ เพราะเป็นเรื่องที่ผิดกฎสวรรค์ เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะเต็มใจให้ยืมชะตาชีวิต แต่ก็จะกลายเป็นทำลายอายุขัยของเจ้าด้วย

เจาชิงม่านกังวลเล็กน้อย มองไปยังมารดา

ฮูหยินเจามองไปที่ตะเกียงชะตาชีวิตดวงนั้น เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เชิญท่านนักพรตทำพิธีเถิด ข้าขอเพียงให้บุตรสาวของข้ามีชีวิตที่ดี ส่วนคนอื่นๆ ข้าไม่สามารถสนใจได้แล้ว”

จะดีหรือร้ายก็ขึ้นอยู่กับชีวิตของนางเถิด!

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท