ตอนที่ 196 ฟันธงว่าเจ้าสอบไม่ผ่าน / ตอนที่ 197 ทำนายถูกต้องทั้งหมด
ตอนที่ 196 ฟันธงว่าเจ้าสอบไม่ผ่าน
หลังจากเข้าเมืองแล้ว ฉินหลิวซีเห็นว่าท้องฟ้ายังสว่างอยู่ จึงเอ่ยลาอวี้ฉังคง ตั้งใจจะไปเดินเล่นในเมือง
“ท่านจะไปไหน ให้ข้าไปเป็นเพื่อนหรือไม่” อวี้ฉังคงเอ่ยถาม
ฉินหลิวซีส่ายหน้า ชี้ไปที่ใบหน้าของเขา “ใบหน้าคุณชายฉังคงนั้นราวกับเทพเจ้า หากยืนอยู่บนถนน เกรงว่าสาวๆ จะพากันก้าวไม่ออก”
อวี้ฉังคงหัวเราะเบาๆ “ข้าก็ไม่ได้จะยืนอยู่บนถนน แต่อยากจะไปร้านหนังสือ หาหนังสือสักสองสามเล่ม หากท่านไปเป็นเพื่อนได้ก็คงดี ข้าไม่ค่อยคุ้นเคยกับเมืองหลีมากนัก”
ฉินหลิวซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ได้ เช่นนั้นก็ไปร้านหนังสือซูเหอกันเถิด ร้านหนังสือแห่งนี้มีสิ่งของครบครันรวมถึงของใหม่ๆ อยู่เสมอ”
ทั้งสองคนเปลี่ยนไปที่ร้านหนังสือซูเหอ มีชายชราผู้หนึ่งท่าทางดูมีความรู้นั่งอยู่ในโถง เมื่อเห็นฉินหลิวซีก็ปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้า
“เป็นคุณชายเสี่ยวฉินนี่เอง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”
ฉินหลิวซียกมือโค้งคำนับ เอ่ย “คำนับท่านปู่หวัง ช่วงนี้มีเรื่องยุ่งจึงไม่ได้มาที่นี่ ท่านสบายดีหรือไม่”
“ขอบใจเจ้ามาก ข้าสบายดี”
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “เช่นนั้นก็ดี ข้ากับสหายมาหาหนังสือสองสามเล่ม” นางมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยว่า “แต่ดูเหมือนว่าวันนี้คนในร้านหนังสือจะเยอะทีเดียว”
ผู้เฒ่าหวังเอ่ยว่า “ท่านไม่รู้อะไรเสียแล้ว มีประกาศจากเบื้องบนบอกว่าปีหน้าจะเปิดการสอบราชการรอบพิเศษ ก็เลยมีบัณฑิตมาค้นหนังสือเรียนมากขึ้น”
การสอบราชการไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉินหลิวซี นางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เป็นเช่นนี้นี่เอง เชิญท่านทำธุระต่อเถิด”
“ตามสบาย”
ฉินหลิวซีบอกว่าร้านหนังสือซูเหอมีหนังสือครบถ้วน เป็นเพราะร้านหนังสือมีพื้นที่ขนาดใหญ่ แบ่งออกเป็นสามชั้น ชั้นหนึ่งและชั้นสองมีไว้สำหรับขายหนังสือและสิ่งล้ำค่าทั้งสี่ในห้องหนังสือ[1] ส่วนชั้นสามมีไว้ให้บัณฑิตและชาวบ้านทั่วไปคัดลอกหรือยืมหนังสือได้ เนื่องจากร้านหนังสือได้กำหนดกฎห้ามส่งเสียงดัง มิเช่นนั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้ยืมหนังสืออีก
ดังนั้นถึงแม้จะมีคนมาร้านหนังสือซูเหอมากมายแต่ก็ยังค่อนข้างเงียบสงบ ผู้ที่มาหาหนังสือและผู้ที่อ่านหนังสือย่อมรู้ได้ด้วยตัวเอง
“ฉังคงกำลังหาหนังสืออะไรหรือ หนังสือที่เก็บสะสมไว้ในจวนท่านคงจะเยอะกว่าที่นี่อีกกระมัง” ฉินหลิวซีเอ่ย
อวี้ฉังคงพยักหน้า “ในตระกูลยังมีหอตำราแห่งหนึ่ง ใช่ว่าทุกคนจะสามารถไปที่นั่นได้ จะต้องได้รับป้ายคำสั่งจากหัวหน้าตระกูลหรือผู้อาวุโสเสียก่อน และยังมีกฎบังคับเกี่ยวกับเวลาในการอ่าน บรรดาหนังสือที่มีเพียงเล่มเดียวก็อาจไม่ได้อ่าน”
“คนอื่นทำไม่ได้ แต่ท่านทำได้อย่างแน่นอน เพราะท่านคืออวี้ฉังคง” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างเชื่อมั่น
อวี้ฉังคงเพียงแต่ยิ้มไม่ได้เอ่ยอะไร เขาเป็นหลานชายคนโตของหัวหน้าตระกูล เข้าหอตำราก็เหมือนกับเดินเข้าเรือนตัวเอง แต่เขาเพียงแค่รู้ว่าในหอตำรามีหนังสืออะไรบ้าง ด้วยเหตุนี้เขาจึงถูกบุตรหลานในตระกูลไม่น้อยวิพากษ์วิจารย์และดูหมิ่น หัวเราะเยาะที่เขาเฝ้าภูเขาสมบัติโดยเปล่าประโยชน์
เป็นเพราะเขาตาบอด ไม่สามารถอ่านเนื้อหาของหนังสือได้จึงเป็นการเฝ้าภูเขาสมบัติโดยเปล่าประโยชน์
ฉินหลิวซีกับเขาเดินเข้าไปข้างใน ผ่านตู้หนังสือไปทีละแถว กำลังจะขึ้นไปชั้นสอง แต่ถูกใครบางคนถือหนังสือมาชนเข้า หนังสือหล่นกระจายอยู่บนพื้น
“ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ” เป็นบัณฑิตคนหนึ่ง เขาสวมเสื้อผ้ามีรอยปะเย็บแต่สะอาดเรียบร้อย โพกผ้าสี่เหลี่ยมบนศีรษะ สีหน้าซีดเซียวเล็กน้อย นิ้วของเขามีรอยหยาบกร้าน รอบดวงตาคล้ำ หว่างคิ้วของเขาค่อนข้างมีความกังวล
ฉินหลิวซีช่วยเขาเก็บหนังสือบนพื้น เห็นว่าเป็นพวกหนังสือคัมภีร์หลุนอวี่[2]ก่อนจะยื่นส่งให้ เอ่ย “ซิ่วไฉ[3]เตรียมจะสอบราชการปีหน้าหรือ”
เมื่ออวี้ฉังคงได้ยินนางเรียกว่าซิ่วไฉ ก็อดหันไปมองไม่ได้
บัณฑิตผู้นั้นก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ถามอย่างสงสัยว่า “คุณชายรู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นซิ่วไฉ”
“การแต่งกายของเจ้าก็บอกชัดแล้วไม่ใช่หรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าคือซิ่วไฉ และรู้ด้วยว่าเจ้าจะตกรอบ สอบไม่ผ่าน เช่นนั้นเจ้ายังจะสอบหรือไม่”
เมื่อบัณฑิตได้ยินเช่นนั้นก็สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก
ตอนที่ 197 ทำนายถูกต้องทั้งหมด
หลังจากศึกษาเล่าเรียนอย่างหนักมาสิบปี ใครบ้างที่จะไม่อยากประสบความสำเร็จ เปล่งประกายเจิดจรัสโบยบินไปบนท้องฟ้า
บัณฑิตบางคนเตรียมตัวสำหรับสิ่งนี้มาเป็นเวลานาน คาดหวังที่จะประสบความสำเร็จ แต่ในขณะที่กำลังมุ่งมั่น จู่ๆ ก็มีคนมาบอกว่าอย่างทุ่มเทพยายามเลย เจ้าสอบไม่ผ่านหรอก ไม่ใช่เป็นการนำน้ำเย็นมาราดใส่หัวจนเย็นเข้าไปจนถึงขั้วหัวใจหรอกหรือ
ซิ่วไฉผู้มีนามว่าหลินอันที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉินหลิวซีก็คิดเช่นนั้น ใบหน้าเคร่งขรึมในทันที รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก ในใจคิดว่าช่างอัปมงคลนัก
เขาเหลือบมองฉินหลิวซี จากนั้นก็หันไปมองอวี้ฉังคงที่อยู่ข้างๆ มือที่หยาบกร้านและมีรอยแตกของเขากำเล็กน้อย พยายามปกปิดความรู้สึก
สองคนที่อยู่ตรงหน้า เพียงแค่การแต่งกายก็ไม่ใช่คนที่ตัวเองสามารถเทียบได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงท่าทางที่ดูดี มีความสูงส่ง พวกเขาไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน และไม่ใช่บัณฑิตยากจนเหมือนตน
เช่นนั้นคุณชายน้อยผู้นี้คงเย้ยหยันเขาเพราะความเบื่อหน่าย เพียงหยอกล้อเขาเล่นเช่นนั้นหรือไม่
หลินอันหวั่นเกรงต่อสถานะของทั้งสองจึงไม่กล้าเสียงดังโวยวาย พยายามระงับความโกรธ เอ่ยว่า “คุณชายน้อยอย่าได้เอาเรื่องของข้ามาล้อเล่นเลย หากโกรธที่ข้าไม่ดูตาม้าตาเรือมาขวางทางท่าน เช่นนั้นข้าน้อยก็ขออภัยด้วย”โนเวลพีดีเอฟ
ขณะที่เขาพูดก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วโค้งคำนับให้ฉินหลิวซีอย่างเป็นทางการ
ฉินหลิวซีรู้สึกสนุก เอ่ยกับฉังคงว่า “เขาคิดว่าพวกเราเป็นพวกเสเพล คิดไม่ถึงว่าข้าก็มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นพวกเสเพลด้วย”
อวี้ฉังคง ‘ไม่ใช่ข้าหากแต่เป็นท่าน’
อีกอย่าง ท่าทางภูมิใจของเด็กคนนี้หมายความว่าอย่างไร
หลินอันอดกลั้นไม่ได้อีกต่อไปจึงเดินอ้อมอีกฝ่ายออกไป ในยามนี้เองที่ฉินหลิวซีได้เอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าไม่ได้โกรธที่เจ้ามาขวางทางข้าแล้วเลยตั้งใจพูดจาอัปมงคลเช่นนั้น”
หลินอันหยุดฝีเท้า
“แม้ว่าเจ้าจะสอบผ่านซิ่วไฉ แต่ก็มาจากครอบครัวที่ยากจนและมีภูมิหลังต่ำต้อย ข้าเห็นว่านิ้วของเจ้ามีความหยาบกร้าน คาดว่าปกติคงจะคัดลอกหนังสือเพื่อหาเงินเล็กๆ น้อยๆ ตามหลักแล้ว เจ้ามีวุฒิการศึกษา การคัดลอกหนังสือเพื่อหารายได้เล็กๆ น้อยๆ ก็พอประทังชีวิตได้ แต่บนตัวเจ้ามีกลิ่นยา หว่างคิ้วมีความทุกข์ยาก ตำแหน่งฟู่มู่บนหน้าผากของเจ้าเผยให้เห็นถึงเคราะห์ร้าย สิ่งนี้แสดงว่าบิดามารดาเจ้าเจ็บป่วย จุดดวงอาทิตย์ของเจ้าตกลง หมายความว่าบิดาเจ้าเสียแล้ว ดังนั้นผู้ที่ป่วยอยู่ตอนนี้คือมารดาของเจ้า ข้าเอ่ยถูกต้องหรือไม่”
หลินอันหน้าซีดลง ปลายนิ้วสั่นเล็กน้อย
“กลิ่นยาบนตัวของเจ้าคงจะติดมาเพราะเจ้าต้มยาให้มารดา เงินที่ได้จากการคัดลอกหนังสือ ก็ยังห่างไกลกับค่ายาของท่านแม่เจ้า เงินมีไม่พอ ซ้ำยังกังวลเรื่องสุขภาพของมารดา ดังนั้นหว่างคิ้วของเจ้าจึงมีความทุกข์ร้อน ที่ข้าบอกว่าเจ้าสอบไม่ผ่านเป็นเพราะจุดฟู่มู่บนหน้าผากของเจ้าเผยให้เห็นเคราะห์ร้ายว่าจะได้จัดงานศพ เกรงว่าท่านแม่ของเจ้าจะไม่มีวาสนาได้เห็นเจ้าก้าวไปสู่จุดสูงสุด”
ขณะที่ฟัง อวี้ฉังคงมองไปยังคนตรงข้าม สายตาแฝงไว้ด้วยความเห็นอกเห็นใจแต่ก็หายไปในพริบตา
“บุตรอยากเลี้ยงดูบิดามารดา แต่บิดามารดาจากไปแล้ว ย่อมเป็นทุกข์ของคนเป็นลูก หากเจ้าสวมชุดไว้ทุกข์แล้วจะไปสอบได้อย่างไร หากไปสอบ ในใจก็มีแต่ความกังวล แล้วจะสอบผ่านได้อย่างไร”
เท้าของหลินอันเริ่มยืนไม่อยู่ เอ่ยด้วยริมฝีปากสั่นเทา “ขงจื้อไม่สอนเรื่องลี้ลับ ความคึกคะนอง การกบฏและภูติผีเทวดา เจ้า เจ้าพูดจาเหลวไหล หากเจ้าโกรธข้าก็แค่ทุบตีด่าทอข้า เหตุใดต้องลากท่านแม่ข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
“ข้าตั้งใจลากเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ และที่ข้าเอ่ยมาถูกต้องหรือไม่ ในใจเจ้ารู้ดี” ฉินหลิวซีหยิบยันต์แคล้วคลาดออกมาจากแขนเสื้อ มอบให้เขา “ท่านแม่ของเจ้าป่วยหนัก เหลือเวลาไม่มากแล้ว ยันต์แคล้วคลาดนี้เจ้าให้นางพกติดตัวไว้ จะช่วยให้วันสุดท้ายของนางสบายขึ้นบ้าง อย่างน้อยนางก็จะไม่เจ็บปวดทรมานมากเกินไป นับเป็นบุญที่เจ้าและข้าได้พบกัน”
หลินอันไม่ได้รับมา ฉินหลิวซีจึงวางยันต์ไว้บนหนังสือที่อยู่ด้านข้าง เอ่ย “ซิ่วไฉค่อยสอบอีกครั้งในอีกสามปี สอบผ่านแน่นอน ส่วนน้องสาวของเจ้า ในภายภาคหน้าจะได้แต่งงานไปอยู่แดนไกล โดยเฉพาะคนที่อยู่ใกล้น้ำ”
หลินอันตัวสั่นอีกครั้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น มองฉินหลิวซีอย่างพูดไม่ออก
ฉินหลิวซีกับอวี้ฉังคงเดินขึ้นบันไดไปแล้ว ไม่ช้าก็หายตัวไปจากมุมห้อง
หลินอันมองยันต์แคล้วคลาดบนหนังสือ ในตาร้อนระอุ สูดหายใจเข้าลึกๆ กำยันต์แคล้วคลาดแล้วเดินไปเอ่ยลาผู้เฒ่าหวังก่อนจะจากไป
อวี้ฉังคงเอ่ยกับฉินหลิวซีว่า “ท่านแม่ของซิ่วไฉเมื่อครู่นี้ ไม่สามารถรักษาได้หรือ”โนเวล-พีดีเอฟ
ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “จากกลิ่นยาบนตัวของเขา ข้าสามารถแยกแยะสมุนไพรได้หลายชนิด ล้วนเป็นยาที่ช่วยสงบจิต ใช้การรักษาแบบประคองโรคเป็นหลัก หนึ่งในนั้นยังมีโสมป่า เจ้าก็เห็นว่าเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่มีรอยปะ เห็นได้ว่าฐานะยากจน แม้ว่าโสมป่าจะไม่ได้ราคาแพงเหมือนโสมทั่วไป แต่ก็เป็นโสม ใช่ว่าคนธรรมดาจะมีกำลังซื้อได้”
นางค่อยๆ เดินขึ้นบันได เอ่ยต่อว่า “ตามหลักแล้ววัตถุดิบยาเช่นนั้น หากหามาไม่ได้ ก็เพียงแค่รอความตายเท่านั้น เจ้าถามว่ารักษาได้หรือไม่ หากยังไม่เห็นผู้ป่วยก็ยากที่จะบอกได้แต่ดูจากโหงวเฮ้งของเขา วันที่จะสูญเสียมารดาอยู่ไม่ไกลแล้ว เมืองหลีแห่งนี้ก็เริ่มเข้าฤดูหนาวแล้ว หญิงชราที่เดิมทีร่างกายอ่อนแออาศัยยาเพื่อความอยู่รอด เมื่ออากาศเปลี่ยน ยาก็ไม่มีก็เหลือเพียงความตายแล้ว”
ฉินหลิวซีหลุบสายตาลง เอ่ย “ชะตาชีวิตเช่นนี้ ชิงกลับคืนมาได้ก็มีชีวิตอยู่ได้ชั่วขณะ ใช่ว่าจะยาวนาน แล้วจะทรมานทำไม มนุษย์จะอยู่หรือตายก็ไม่ได้แตกต่าง และก็ไม่ได้ทรมานเช่นนั้น บางครั้งร่างกายที่ถูกทรมาน ไม่สู้จากไปยังดีเสียกว่า”
น้ำเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความเย็นชา คล้ายไม่แยแสกับความเป็นความตาย
อวี้ฉังคงถอนหายใจ
ว่ากันว่าหลินอันกอดหนังสือสองสามเล่มกลับไปที่บ้านของเขาด้วยความสิ้นหวัง เมื่อเห็นว่าในเรือนข้าวของเกลื่อนกลาดเล็กน้อยก็ตกใจ ตะโกนเสียงดังว่า “นีเอ๋อร์”
“ท่านพี่กลับมาแล้วหรือ” เด็กสาวร่างกายผอมบาง ผมหยาบกร้าน สวมชุดกระสอบเดินออกมาจากห้องด้านใน
“ทำไมข้าวของในเรือนเกลื่อนกลาดเช่นนี้ ท่านแม่เล่า”
หลินนีก้มหน้าลง เม้มริมฝีปาก เอ่ยว่า “นายท่านสามตระกูลจูและคนอื่นๆ มาที่บ้าน บอกว่าผลผลิตปีนี้รายได้ไม่มากนัก ท่านพี่จูก็จะแต่งงานแล้วจึงให้พวกเราคืนเงิน”
หลินอันได้ฟังดังนั้นก็เม้มริมฝีปาก มองสำรวจนาง ถามว่า “เจ็บตรงไหนหรือไม่”
หลินนีส่ายหน้า เอ่ยว่า “ท่านแม่มอบปิ่นปักผมเงินที่เก็บไว้ในกล่องให้ไปแล้ว”
“สิ่งนั้นเก็บไว้ให้เจ้าไม่ใช่หรือ” หลินอันกังวลเล็กน้อย
หลินนียิ้มอย่างขมขื่น “ท่านพี่ จะเก็บไว้ทำไมกัน ครอบครัวเราเป็นหนี้ ยาของท่านแม่ก็ต้องใช้เงิน” เมื่อนางเห็นว่าสีหน้าของหลินอันดูแย่จึงรีบเอ่ยว่า “ท่านพี่ก็ไม่ต้องคิดมาก ศึกษาร่ำเรียนอย่างสบายใจก็พอแล้ว ข้าขอให้ป้าเจียงที่อยู่ข้างบ้านหางานซักล้างให้ข้าแล้ว”
หลินอันก้มหน้ามองมือของน้องสาวที่หยาบกร้านกว่าเขาเสียอีก ในใจบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร
ในห้องมีเสียงสตรีผู้หนึ่งดังออกมา หลินอันรีบเดินเข้าไป เห็นหญิงชราร่างกายผอมแห้ง สีหน้าซีดเหลือง นอนอยู่บนเตียงในห้องมืด เมื่อเห็นเขาเข้ามานางก็จะลุกขึ้น
“ท่านแม่ไม่ต้องลุกหรอกขอรับ” หลินอันเข้าไปพยุงนาง
ป้าหลินไอสองสามครั้ง เอ่ยว่า “นายท่านสามจูมาที่นี่ ปิ่นปักผมอันนั้นตีเป็นเงินห้าตำลึง ข้ามอบให้เขาไปแล้ว แคร่กๆ…”
หลินอันรีบลูบหลังให้นาง เอ่ยว่า “ท่านแม่ไม่ต้องพูดแล้ว ให้ไปแล้วก็ให้ไป ข้าจะคัดลอกหนังสือเพิ่มแล้วรีบคืนเงินให้พวกเขาเร็วที่สุด”
ป้าหลินส่ายหน้า “ข้าคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ลำบากก็แต่เจ้ากับนีเอ๋อร์ นายท่านสามจูบอกว่าทางด้านน้องสาวปู่ของเขามีซิ่วไฉผู้หนึ่งอยู่ทางใต้ ปีนี้อายุสิบแปดปี หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา ปีหนึ่งก็หาได้ไม่กี่ตำลึง อยากให้นีเอ๋อร์ของพวกเราเชื่อมสัมพันธ์…”
ในหัวของหลินอันมึนไปหมด ‘แต่งงานไปแดนไกล เป็นคนหากินกับน้ำ’ ทำนายตรงทั้งหมด!
นั่นไม่ใช้ประเด็น ในเมื่อคุณชายน้อยผู้นั้นทำนายถูกต้อง เช่นนั้นที่บอกว่าตัวเองจะสูญเสียแม่ แสดงว่าท่านแม่ของเขา…
หลินอันเสียใจ คุกเข่าลงกับพื้น เขาจับมือท่านแม่ไว้ขณะที่น้ำตาไหลอาบแก้ม
[1] สิ่งล้ำค่าทั้งสี่ในห้องหนังสือ หมายถึงสิ่งสำคัญสี่อย่างที่เป็นอุปกรณ์สำคัญในห้องหนังสือ ได้แก่ พู่กัน หมึก กระดา และจานฝนหมึก
[2] คัมภีร์หลุนอวี่ เป็นคัมภีร์พื้นฐานของสำนักปรัชญาขงจื่อ
[3] ซิ่วไฉ ผู้ที่สอบผ่านจอหงวนระดับต่ำ
************************************