ตอนที่ 198 คนธรรมดาผู้นี้จะบอกอะไรท่านสักหน่อย
“…การดูโหงวเฮ้งก็เป็นเพียงการทำนายโชคลาภ โชคร้าย ความมั่งคั่ง และชีวิตจากลักษณะใบหน้า จะดูได้แม่นยำหรือไม่ต้องเริ่มจากการดูรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก่อน เหมือนกับนักต้มตุ๋นบนถนนที่เอ่ยเพียงไม่กี่คำก็สามารถทำให้ป้าๆ เหล่านั้นเชื่อได้แล้ว ความสามารถที่เก่งที่สุดของพวกเขาความจริงแล้วเป็นการดูจากรายละเอียดเล็กๆ อย่างเช่นซิ่วไฉเมื่อครู่นี้ ท่านก็เห็นว่าเขามีรอยปะบนเสื้อผ้า แสดงว่าฐานะครอบครัวไม่ดี บนตัวยังมีกลิ่นยา หากเขาไม่ป่วยก็ต้องเป็นคนในครอบครัว เขาเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ พูดจาชัดถ้อยชัดคำ ร่างกายไม่ได้เจ็บป่วย เช่นนั้นก็เป็นคนในครอบครัวเขาแล้ว”
ฉินหลิวซีค่อยๆ เอ่ยต่อว่า “จากโหงวเฮ้งของเขารวมกันแล้ว เมื่อเอ่ยถูกต้องค่อยดูสีหน้าของเขา ก็นับว่าตรงไปแปดถึงเก้าส่วนแล้ว”
อวี้ฉังคงนึกถึงสีหน้าของหลินอันในตอนนั้น เป็นเช่นนั้นจริงๆ บัณฑิตหนุ่มผู้นี้ยังห่างไกลในเรื่องการฝึกควบคุมสีหน้าเมื่อเจอเรื่องตกใจ ซ้ำเมื่อเกี่ยวกับอนาคตของตัวเองและคนในครอบครัว เมื่อได้ยินคำพูดไม่ดีเช่นนั้น ย่อมตื่นตระหนกเป็นธรรมดา เมื่อตื่นตระหนกก็จะเปิดเผยให้เห็น
เขายิ้มเล็กน้อย เอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าการทำนายโหงวเฮ้งก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ไม่ใช่เพียงการดูใบหน้า ซ้ำยังต้องสังเกตรายละเอียด แล้วนำทั้งสองอย่างมารวมกัน”
“เป็นเช่นนั้น” ฉินหลิวซีพยักหน้าพลางหัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “แต่ว่าโหงวเฮ้งเป็นเพียงข้อมูลอ้างอิงเท่านั้น การดูโหงวเฮ้งมีตัวแปรมากมาย จะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ จะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับตัวเอง ดังนั้นจึงมีคำเอ่ยที่ว่าโชคชะตาอยู่ในมือของตัวเอง ขึ้นอยู่กับว่าจะตัดสินใจอย่างไร”
“ชะตาชีวิตของข้า ข้าเป็นคนลิขิตเอง” อวี้ฉังคงเอ่ยพึมพำ
เมื่อฉินหลิวซีได้ยินเข้า ลึกๆ นางเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน
อวี้ฉังคงเอ่ยอีกว่า “เมื่อครู่ข้าเห็นไอสีดำเทาลอยอยู่เหนือหัวของหลินอันผู้นั้น หรือว่าเป็นเพราะเขาประสบโชคร้าย?”
ฉินหลิวซีเอียงศีรษะมอง เอ่ยว่า “ข้าลืมไปเลยว่าตอนนี้ท่านมีดวงตาสวรรค์คู่หนึ่ง สามารถมองเห็นไอของผู้คนได้ ท่านเอ่ยไม่ผิด เป็นจังหวะดวงตก จะส่งผลต่อโชคชะตาของคนโดยธรรมชาติ ดวงของเขากำลังตกต่ำ ดังนั้นรัศมีรอบตัวย่อมไม่เป็นมงคล”
เหมือนว่าอวี้ฉังคงตระหนักบางอย่างได้ เขากวาดสายตามอง หรี่ตาลงเล็กน้อย มองไปทางหน้าต่างบนชั้นสอง ที่นั่นมีบัณฑิตอยู่สี่คน แต่ละคนมีไอแตกต่างกัน แต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีไอสีแดงจางๆ บนตัวของเขา อีกสองคนเป็นสีเทาขาว หนึ่งในนั้นมีคนที่สีดำดั่งหมึก เขาอดตกใจไม่ได้
“ไอบนตัวของคนผู้นั้นเป็นสีดำ หรือว่าเขาจะประสบเคราะห์ร้ายรุนแรง”
ฉินหลิวซีมองไปตามสายตาของเขา พยักหน้าพลางเอ่ยว่า “จุดหว่างคิ้วของเขาเป็นสีดำ จุดสมรสมีสีเขียวหม่นซ้ำยังมีริ้วรอย ต้นสันจมูกมีไฝ ดวงตาเจ้าชู้ ไม่เอาการเอางาน เร็วๆ นี้จะถูกจำคุก”
นางเพียงแค่เหลือบมองแล้วละสายตาไป โหงวเฮ้งเช่นนี้ไม่เป็นที่น่าพอใจจริงๆ
อวี้ฉังคงกำลังจะมองดูอย่างละเอียด แต่กลับรู้สึกปวดดวงตาทั้งสองข้างเล็กน้อย เมื่อหลับตา น้ำตาก็ไหลออกมา เขาบ่นออกมาเบาๆ
เมื่อฉินหลิวซีเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยว่า “ดวงตาสวรรค์ของท่านพึ่งได้มาทีหลัง ซ้ำยังไม่ใช่คนบำเพ็ญวิชาเต๋า อย่าใช้มันเพื่อเจตนาดูไอของคน อย่างไรเสียก็เป็นการสอดแนมความลับสวรรค์ หากใช้มากไปจะเป็นผลเสีย แม้ว่าจะไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเต๋า แต่ก็ต้องแบกรับห้าโทษสามวิบัติ จะไม่เป็นผลดีต่อท่าน”
อวี้ฉังคงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ยกมือคำนับด้วยความขอบคุณ มองไปรอบๆ อีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “ที่นี่ค่อนข้างสะอาด”
ความสะอาดที่เขาพูดนั้นก็คือ ไม่มีสหายตัวดีที่ลอยไปลอยมาเหล่านั้น
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ยว่า “ร้านหนังสือเป็นสถานที่ที่มีดาวเหวินฉวี่[1]คอยดูแล ย่อมมีพลังคุณธรรมที่น่าเกรงขาม วิญญาณสัมภเวสีผีเร่ร่อนทั่วไปไม่กล้าเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ หนังสืออย่างคัมภีร์หลุนอวี่[2]กับชุนชิว มีพลังคุณธรรมในตัวเอง สามารถปัดเป่าวิญญาณร้ายได้”
อวี้ฉังคงเอ่ย “แต่ข้าก็เคยอ่านหนังสือบันทึกที่ถูกเขียนอย่างไม่เป็นทางการ บอกไว้ว่ามีนักปราชญ์บางคนถูกผีสาวเหล่านั้นล่อลวง…อะแฮ่ม”
เขาลืมไปชั่วขณะว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนธรรมดา การพูดเรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสม
เมื่อกำลังจะเอ่ยแก้ตัว ฉินหลิวซีก็ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ขึ้นอยู่กับดวง ไม่ได้หมายความว่านักปราชญ์ที่มีคุณธรรมในตัว วิญญาณร้ายจะไม่รุกราน แต่เมื่อดวงตกก็จะสามารถพบเห็นได้ หากจิตไม่แข็งก็จะถูกล่อลวงวิญญาณ”
ดังนั้นสิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับตัวเอง
ทั้งสองกระซิบกระซาบเรื่องโหงวเฮ้ง เทพเจ้า และผีที่นี่ โดยคาดไม่ถึงว่าบรรดาบัณฑิตเหล่านั้นสังเกตเห็นพวกเขาทั้งสองคนแล้ว ไม่รู้ว่าเอ่ยอะไรแต่ก็ได้เดินไปหาพวกเขาแล้ว
ต่อหน้าคนนอก อวี้ฉังคงไม่ได้มีสีหน้าอ่อนโยนเช่นนั้น มือหนึ่งข้างไพล่หลัง ท่าทางเย็นชาห่างเหิน มีความสูงศักดิ์อย่างคุณชายชั้นสูงที่เข้าถึงได้ยาก ทำให้คนไม่กล้าดูถูก
บุคลิกท่าทางของทั้งสองแบบของเขาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา ขยับคิ้วเล็กน้อย
ผู้ที่เดินนำมาคือชายหนุ่มที่ถูกฉินหลิวซีทำนายไว้ว่าจะถูกจำคุก เขาเดินมาอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน ยกมือคำนับพลางเอ่ยว่า “สหายร่วมชั้นทั้งสอง ดูจากท่าทางของทั้งสองท่าน ก็เป็นบัณฑิตที่เตรียมจะสอบในปีหน้าเช่นกันใช่หรือไม่ ไม่รู้ว่าควรเรียกอย่างไร จริงสิ ข้าแซ่ตู้ ส่วนอีกสองสามท่านคือสหายเหนียน สหายเหอ สหายลู่ พวกเราทั้งหมดเป็นซิ่วไฉที่เตรียมตัวเข้าร่วมการสอบราชการในปีหน้า”
อวี้ฉังคงเอ่ยเพียงสั้นๆ “อวิ๋น”
ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย “ข้าแซ่ฉิน”
“สหายอวิ๋น สหายฉิน” ตู้ซิ่วไฉผู้นั้นยกมือคำนับอีกครั้ง “ไม่สู้พวกเราย้ายไปหารือความรู้ที่ชั้นสามดีหรือไม่”
สายตาของเขามองสำรวจไปที่บนตัวของฉินหลิวซี ก่อนที่สายตาจะไปตกอยู่บนตัวอวี้ฉังคง แล้วหยุดมองใบหน้าของเขาอยู่ครู่หนึ่ง สายตาชะงักไปเล็กน้อยแล้วจ้องมองเขาไม่วางตา
อวี้ฉังคงนึกถึงคำพูดของฉินหลิวซี และเมื่อมองไปที่ดวงตาของอีกฝ่ายที่ดูนุ่มนวลเล็กน้อย จู่ๆ เขาก็ขนลุกซู่ รู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่างกาย
“ไม่เป็นไร พวกเราไม่ใช่ซิ่วไฉ และไม่ได้จะสอบ” หลังจากที่เอ่ยจบก็หันไปมองฉินหลิวซี “พวกเราไปกันเถิด”
“ได้”
เมื่อตู้ซิ่วไฉได้ยินเขาบอกว่าไม่ใช่ซิ่วไฉก็ประหลาดใจเล็กน้อย ดูจากการแต่งกายก็ไม่เหมือนคนที่ไม่มีวุฒิการศึกษา แต่เขากลับบอกว่าไม่ใช่ซิ่วไฉ หรือว่าครอบครัวของเขาเป็นตระกูลชนชั้นสูงที่ร่ำรวย ไม่จำเป็นต้องอาศัยการสอบ
มีร่องรอยความอิจฉาและความไม่พอใจพาดผ่านเข้ามาในสายตาของตู้ซิ่วไฉ ยื่นมือไปคิดที่จะหยุดไว้ “เดี๋ยว อย่าพึ่งไป…”
อวี้ฉังคงสีหน้าเคร่งขรึม เหลือบมองด้วยสายตาเย็นชา แฝงไว้ด้วยความเกรี้ยวกราดเล็กน้อย
มือของตู้ซิ่วไฉหยุดค้างอยู่กลางอากาศ ในใจรู้สึกหวาดกลัว
ครอบครัวของเขามีรายได้เพียงเล็กน้อย เพราะติดตามอาจารย์จึงได้เคยเห็นโลกมาบ้าง รู้ว่ามีบางคนที่ไม่ต้องพูดอะไรสักคำ เพียงแค่วางท่าที ก็สามารถทำให้คนรู้ว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งกับเขา
ตอนนี้อวี้ฉังคงคือคนที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วยผู้นั้น
ตู้ซิ่วไฉโกรธมาก เอ่ยว่า “สหายอวิ๋น ข้าและคนอื่นๆ เพียงอยากจะเป็นเพื่อนกับพวกท่านอย่างจริงใจก็เท่านั้น”
“หากเรามีความคิดและความสนใจที่แตกต่างกัน ก็ไม่สามารถร่วมทางกันได้” อวี้ฉังคงเอ่ยอย่างเย็นชา จากนั้นก็ดึงแขนเสื้อของฉินหลิวซีเบาๆ แล้วจากไป
ตู้ซิ่วไฉอดกลั้นไม่ได้ เม้มริมฝีปาก หางตาของเขาเห็นว่าสายตาของสองสามคนที่อยู่รอบตัวดูเหมือนจะยินดีกับความโชคร้ายของเขาจึงโมโหยิ่งกว่าเดิม โพล่งประโยคหนึ่งออกมา “แค่คนธรรมดา มีอะไรให้ต้องเกรง”
ฉินหลิวซีนึกสนุกขึ้นมาทันที หันกลับมามองเขาพลางเอ่ยว่า “แค่คนธรรมดาแน่นอนว่าไม่มีอะไรให้ต้องเกรง แต่อยากจะบอกอะไรท่านสักหน่อย ท่านกำลังจะมีเคราะห์ร้ายรุนแรง ถนอมวันดีๆ เช่นนี้เอาไว้อย่าให้สูญเปล่า มิเช่นนั้นข้าเกรงว่าหลังจากนี้ท่านจะลุกขึ้นยืนไม่ได้อีกแล้ว!”
สีหน้าของตู้ซิ่วไฉเปลี่ยนไป
ฉินหลิวซีเอ่ยกับซิ่วไฉแซ่เหนียนผู้นั้นอีกว่า “งานเลี้ยงที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไป ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจึงเป็นหนทางที่ถูกต้อง ขอให้ท่านสอบติดในปีหน้า!”
เมื่อคนเหล่านั้นได้ฟังเช่นนี้พลันหน้าเปลี่ยนสี
[1]ดาวเหวินฉวี่ ชื่อของดวงดาวอันดับที่สี่ในกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ (กลุ่มดาวจระเข้) เชื่อว่าเป็นดวงดาวแห่งการศึกษา สติปัญญา ศาสตร์ต่างๆ
[2]คัมภีร์หลุนอวี่ เป็นคัมภีร์พื้นฐานของสำนักปรัชญาขงจื่อ
**************************************