ตอนที่ 201 ฉินห้าถูกพี่หญิงใหญ่สั่งสอน
ฉินหลิวซีพักที่อารามเต๋าหนึ่งคืน กลับเมืองแล้วก็เดินเที่ยวเล่นไปหนึ่งรอบ แม้จะต้องไปส่งศพชายชราในช่วงสุดท้ายของชีวิต แต่เห็นว่ายังไม่ถึงเวลา จึงโผล่หน้ากลับไปที่บ้านสักหน่อย
นางเดินเข้าประตูมุมหนึ่งมายังเรือนเล็กของตนเองขณะที่ฉีหวงกำลังนั่งปักผ้าอยู่ใต้ชายคา ด้านข้างมีโต๊ะเล็กๆ ของฉินหมิงฉุนที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ เพียงแต่เขามีท่าทางเหม่อลอย เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวในเรือนจึงผุดลุกขึ้นมา
“ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” ฉีหวงวางเข็มกับด้ายในมือลงบนตะกร้าด้วยรอยยิ้ม ลุกขึ้นมาต้อนรับ
ฉินหมิงฉุนเองก็ยกมือประสานหันไปหาฉินหลิวซี “คารวะพี่หญิงใหญ่”
“อืม” ฉินหลิวซีเดินเข้าไป หยิบหนังสือของเขาขึ้นมา ยังเป็นหนังสือกฎของผู้เป็นศิษย์[1] พลิกเปิดสองครั้งก่อนจะเอ่ย “ไยจึงไม่จดบันทึกไปด้วย ไม่เข้าใจหรือขี้เกียจ”
ฉินหมิงฉุนส่งเสียงอ่าเบาๆ “ข้าเพิ่งหยิบออกมา มิได้ขี้เกียจ ข้าเข้าใจ จดจำเอาไว้ในหัวแล้ว”
ฉินหลิวซีปลายตามองเขาเล็กน้อย เอ่ย “เข้าใจส่วนเข้าใจ แต่ต้องบันทึกสิ่งที่เจ้าเข้าใจเอาไว้ นั่นคือความคิดเห็นของเจ้า ต่อไปตำราเล่มนี้ไม่ว่าจะเป็นเจ้าอ่าน หรือส่งต่อ อีกฝ่ายก็จะเห็นความคิดเห็นของเจ้า สามารถเปรียบเทียบและหลอมรวมกับความคิดเห็นของเจ้าได้ ต่อให้ไม่ส่งต่อ ตำราเล่มนี้เจ้าก็เก็บเอาไว้เองได้ จากนี้กลับมาเปิดอ่านอีกครั้ง บางทีมุมมองอาจจะแตกต่างไปแล้ว นี่เรียกว่าประสบการณ์และอารมณ์ในแต่ละช่วงอายุ”
“อายุแตกต่าง มองโลกก็แตกต่าง เมื่อมีการจดบันทึกเจ้าถึงจะเปรียบเทียบความแตกต่างนี้ได้ เจ้าบอกว่าเจ้าจำได้แล้ว เช่นนั้นรอเจ้าเติบโต เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ทุกเรื่องเจ้าจะจำได้หมดเลยหรือ ความจำดีมิสู้การจดบันทึก เรียนหนังสือต้องจดบันทึก เข้าใจหรือไม่”
ฉินหมิงฉุนพยักหน้า เอ่ยอย่างขลาดกลัว “เข้าใจแล้วขอรับ” เขาก้มหน้าลง จากนั้นเงยหน้าขึ้นลอบมองไปยังฉินหลิวซี ท่าทางอึกอัก
“มีอันใดก็เอ่ยมาตามตรง บุรุษอย่าได้อ้ำๆ อึ้งๆ ดุจสตรี”
ฉินหมิงฉุนเอ่ยเสียงเบา “พี่หญิงใหญ่ บ้านของเราโดนยึดทรัพย์ไปแล้ว ท่านปู่และท่านพ่อยิ่งถูกเนรเทศแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็เป็นครอบครัวนักโทษหรือไม่”
“อือฮึ”
“ลูกหลานนักโทษ เป็นขุนนางได้หรือขอรับ” ฉินหมิงฉุนเอ่ยถาม
เข้าใจแล้ว เกรงว่าเจ้าเด็กคนนี้กำลังรู้สึกว่าลำบากเรียนหนังสือไปก็เป็นขุนนางไม่ได้ เหลวไหลสิ้นดี
“คิดว่าตนเองเป็นลูกหลานนักโทษ ต่อไปก็เป็นขุนนางไม่ได้ ดังนั้นลำบากไปก็ไร้ประโยชน์อย่างนั้นหรือ” ฉินหลิวซีหักนิ้วเบาๆ
ฉินหมิงฉุนได้ยินเสียงหักกระดูก กระดูกสันหลังของเขาพลันเย็นวาบ ลางสังหรณ์บอกกับเขา หากบอกว่าใช่ พี่หญิงใหญ่คงได้ตวาดใส่หน้าเขาแน่
“ข้า ข้าเพียงไม่เข้าใจ”
“ตีเจ้าสักทีก็จะเข้าใจแล้วกระมัง” ฉินหลิวซีหัวเราะพลางถกแขนเสื้อขึ้น
ฉินหมิงฉุนทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น “พี่หญิงใหญ่โปรดอภัยด้วย ขอพี่หญิงใหญ่ได้โปรดชี้แนะด้วย”
ฉินหลิวซี “…”
นางยังไม่ลงมือเลยนะ
ฉีหวงมองนางเล็กน้อย เอ่ย “ท่านอย่าทำให้เขาตกใจเลยเจ้าค่ะ เด็กเพิ่งอายุกี่ขวบเอง” นางเอ่ยพร้อมยื่นมือไปดึงฉินหมิงฉุน ก่อนจะเอ่ยต่อ “คุณชายห้า ท่านลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่แกล้งท่านเล่นเจ้าค่ะ”
นับตั้งแต่ฉินหมิงฉุนถูกฉินหลิวซีไล่ให้มาเรียนที่นี่ ฉีหวงก็ได้ใกล้ชิดเขามากขึ้น สำหรับเด็กน้อยใสซื่อและหน้าตาหล่อเหลาผู้นี้ นางรู้สึกเอ็นดูอยู่ในใจ
ยามนี้เห็นฉินหลิวซีทำเขาตกใจจึงทนไม่ได้
ฉินหมิงฉุนก็รู้ว่าฉีหวงดีกับเขาจึงซ่อนอยู่ที่ขาฉีหวง ดวงตากลมโตมองไปยังฉินหลิวซี
“ยืนดีๆ” ฉินหลิวซีจ้องเขาเขม็ง เอ่ยว่า “หลบๆ ซ่อนๆ อย่างกับสิ่งใด”
ฉินหมิงฉุนท่าทางน่าสงสาร ลอบบ่นอยู่ในใจ ก็มิใช่กลัวท่านตีข้าหรือ
“ลูกหลานนักโทษเป็นขุนนางไม่ได้จริงๆ แต่ฉินห้า เจ้าเพิ่งอายุเท่าใดกัน”
“ห้า ห้าขวบขอรับ”
“ใช่ ห้าขวบ อายุเท่านี้ฉี่รดที่นอน…”
“ข้ามิได้ฉี่” ฉินหมิงฉุนหน้าแดง ฆ่าได้หยามไม่ได้ บอกว่าเขาฉี่รดที่นอนเขาทนไม่ได้
ฉินหลิวซีคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้มมองไปที่เขา จนเขารู้สึกผิดอยู่ในใจ ก้มหน้าพลางเอ่ย “ตอนนี้ข้ามิได้ฉี่รดที่นอนแล้วจริงๆ ขอรับ”
ฉินหลิวซีส่งเสียงหึ เอ่ย “ลูกหลานนักโทษไม่อาจเป็นขุนนางได้ แต่เจ้าเพิ่งอายุห้าขวบ ยังอ่านกฎของผู้เป็นศิษย์อยู่เลย ยังไม่ต้องไปเอ่ยถึงเรื่องที่อยู่ไกลตัวแม้เจ้าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่พวกนั้น เจ้าจะมีชื่อเสียงที่ดีได้หรือไม่ยังบอกมิได้เลย ยังคิดอยากเป็นขุนนางหรือ เจ้าจะสอบจิงซิ่วหรือจวี่เหรินกันเล่า กล้าเอ่ยเรื่องไกลตัวเพียงนี้ ไยเจ้าจึงไม่ขึ้นสวรรค์ไปเลยเล่า”
ฉินหมิงฉุนโดนต่อว่าจนไม่กล้าตอบโต้
“เจ้าเพียงห้าขวบ แต่กลับคิดเรื่องไกลตัว ไยเจ้าจึงไม่คิดถึงเรื่องอนาคตที่คาดเดามิได้ หรือความเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ เจ้าเอาแต่คิดว่าตระกูลฉินล้มแล้ว ลูกหลานนักโทษไม่อาจเป็นขุนนางได้ เช่นนั้นไยจึงไม่นึกถึงวันที่ตระกูลฉินลุกขึ้นมาได้อีกครั้งเล่า ถึงตอนนั้นหากเจ้าไม่มีความรู้ จะเอาสิ่งใดไปเป็นขุนนางได้” ฉินหลิวซียื่นนิ้วมือออกมาหนึ่งนิ้วจิ้มไปที่หน้าผากของเขา “เด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ โอกาสมีไว้ให้ผู้ที่เตรียมพร้อมเท่านั้น”
ฉินหมิงฉุนเบะปาก น้ำตาคลอในกระบอกตา จะร่วงก็ไม่ร่วง
“เรียนหนังสือไม่มีทางไม่มีประโยชน์ เรียนหนังสือแล้วต่อให้เป็นขุนนางไม่ได้ เจ้าก็มีความรู้ เจ้ารู้จักแยกแยะถูกผิด ต่อให้ง่ายที่สุดเจ้าก็ยังสามารถคำนวณยามทำการค้าขายกับผู้คน เจ้าเขียนหนังสือได้คำนวณได้อ่านเนื้อหาทำความเข้าใจในสัญญาต่างๆ ได้ใช่หรือไม่ หากทำอะไรไม่เป็น เจ้าก็รอเป็นผู้เสียเปรียบ ถูกคนเอาเปรียบได้ ฉินห้า เด็กที่ลำบากบนโลกใบนี้มีจำนวนไม่น้อย คนที่ได้ร่ำเรียนนับว่าโชคดี เจ้าต้องรู้จักรักษาเอาไว้”
“ข้า ข้ารู้แล้วขอรับ ข้าเองก็มิใช่ไม่อยากเรียน เพียงถามดูเท่านั้น” ฉินหมิงฉุนเอ่ยสะอึกสะอื้น
“มีอะไรน่าถาม ผู้ใดกำหนดว่าลูกหลานนักโทษจะเรียนหนังสือไม่ได้ แล้วผู้ใดกำหนดว่าเรียนหนังสือแล้วต้องเป็นขุนนาง สมัยนี้ไม่มีคนที่สอบได้แล้วมิได้เป็นขุนนางเลยหรือ เรียนหนังสืออย่างแรกคือไม่เสียหายต่อเจ้า ยิ่งไม่เสียเปล่า สิ่งที่เจ้าได้จากการเรียนนั่นล้วนเป็นของเจ้า ไม่มีผู้ใดเอาไปจากเจ้าได้ อย่างง่ายที่สุด เจ้าควรอ่านหนังสือออก เขียนได้อ่านได้ ทำอะไรไม่เป็นเลย อาศัยใบหน้านี้ของเจ้า มันจะเขียนหนังสือแทนเจ้าได้หรือ”
“ต่อไปอย่าได้ถามเรื่องโง่เขลาเช่นนี้อีก ถามข้าก็จะไม่ตอบ ไม่รู้จักคิด ต่อไปเจ้าต้องตั้งใจเรียน ไม่ต้องสนใจเรื่องไกลตัวอย่างการเป็นขุนนาง เจ้ายังไม่เหมาะที่จะคิด เจ้าต้องตั้งใจเรียนเท่านั้น มิเช่นนั้นข้าจะต่อยเจ้า” ฉินหลิวซียกหมัดขึ้นมา
“อ้อ”
“กลับไปเถิด” ฉินหลิวซีก้าวเท้าเข้าในห้อง
ฉินหมิงฉุนยกมือขึ้นประสาน จัดโต๊ะเก้าอี้ให้ดี หยิบหนังสือของตนขึ้นมาแล้วหันไปเอ่ยลาฉีหวง
ฉีหวงป้อนลูกกวาดให้เขา เอ่ย “คุณชายห้า อย่าได้โกรธคุณหนูใหญ่เลยนะเจ้าคะ นางทำเพื่อท่าน เรียนหนังสือลำบาก แต่ก็มีแต่ข้อดีไร้ข้อเสีย”
“ข้ารู้แล้ว พี่ฉีหวง”
“บ่าวไปส่งท่านออกไปนะเจ้าคะ” ฉีหวงจูงมือเขาเดินออกมานอกเรือน มองเขาเดินกลับไปทางเรือนหลัก ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในเรือน เห็นฉินหลิวซีอยู่ในชุดธรรมดา จึงเอ่ย “เขาเป็นเพียงเด็กน้อย ไยท่านจึงเข้มงวดเพียงนี้”
“ข้าต้องเอาอกเอาใจเขาหรือ คิดดูสิพี่ชายเชื้อสายหลักของเขาลำบากเพียงใด ตัวเขาอยู่ในจวนไม่รู้ว่าตนเองโชคดี ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวก็ทำลายความสุขนี้จนแหลกละเอียด” ฉินหลิวซีเอ่ย “เจ้าก็อย่าได้ตามใจเขานัก เดิมทีเขาก็เป็นเชื้อสายรอง หากไม่ได้เรื่องก็ไร้ประโยชน์แล้ว”
“ได้เจ้าค่ะ ได้”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้าจะไปเรือนหลักสักหน่อย เดี๋ยวต้องออกไปอีก เจ้าเตรียมน้ำอุ่นให้ข้าอาบน้ำสักหน่อย”
“ทำไมหรือเจ้าคะ”
“ถึงเวลาสุดท้ายของตาเฒ่ากวนร้านโรงศพแล้ว”
ฉีหวงชะงัก ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
[1]กฎของผู้เป็นศิษย์ เขียนในราชวงศ์ชิงในรัชสมัยของจักรพรรดิ คังซี โดย Li Yuxiu หนังสือเล่มนี้มีพื้นฐานมาจากคำสอนโบราณของนักปรัชญาชาวจีน ขงจื๊อ ที่เน้นย้ำถึงความจำเป็นพื้นฐานในการเป็นคนดีและแนวทางในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
***************