คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 202 พี่หญิงใหญ่ของเจ้าเอ่ยถูกแล้ว ตอนที่ 203

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 202 พี่หญิงใหญ่ของเจ้าเอ่ยถูกแล้ว / ตอนที่ 203 นักต้มตุ๋นผู้โชคร้าย

ตอนที่ 202 พี่หญิงใหญ่ของเจ้าเอ่ยถูกแล้ว

ฉินหมิงฉุนกลับมาเรือนหลักด้วยใบหน้าหงอยเหงา ไปคารวะแม่ใหญ่ก่อน สะใภ้หวังกำลังพูดคุยอยู่กับคนจากบ้านมารดา เห็นเขาก้มหน้าคอตก จึงกวักมือเรียกด้วยรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้

“ไยจึงซึมเช่นนี้เล่า เรียนไม่เข้าใจอะไรหรือไม่”

ฉินหมิงฉุนส่ายศีรษะ เอ่ย “พี่หญิงใหญ่สั่งสอนข้าขอรับ”

สะใภ้หวังตกใจเล็กน้อย “พี่หญิงใหญ่เจ้ากลับมาแล้วหรือ”

“ขอรับ”

“นางสั่งสอนอันใดเจ้า” สะใภ้หวังเอ่ยถามอย่างนึกสงสัย

ฉินหลิวซีผู้นี้ ปกติแล้วไม่ยุ่งเรื่องผู้อื่น สั่งสอนฉินหมิงฉุนได้ คิดว่าเด็กคนนี้คงทำสิ่งใดไม่ดีเข้า ทำให้นางไม่พอใจ

ฉินหมิงฉุนเงยหน้ามองนางเล็กน้อย เห็นริมฝีปากของแม่ใหญ่ยังยิ้มอยู่ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เอ่ยสิ่งที่ฉินหลิวซีสั่งสอนเขาให้ฟัง เมื่อจบแล้วจึงเอ่ย “ท่านแม่ ไม่ใช่ข้าไม่อยากเรียนหนังสือ แต่ได้ยินพี่สี่เอาแต่บอกว่าเรียนหนังสือไปเป็นขุนนางอยู่ทุกวัน ข้าจึงได้ถาม”

“พี่ใหญ่ของเจ้ากล่าวถูกแล้ว พวกเราเรียนหนังสือ อย่าพึ่งเอ่ยถึงว่าต่อไปจะได้เป็นขุนนางหรือไม่ เป็นคนมีความรู้ ก็ต้องร่ำเรียนหนังสือ” สะใภ้หวังลูบใบหน้าเขาเบาๆ เอ่ย “ตระกูลฉินสืบทอดผ่านบทกวีและตัวอักษร แม้จะล่มไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นที่เจ้าจะไม่ได้เรียนหนังสือ ดังคำของพี่หญิงใหญ่ของเจ้า คำนวณ เจ้าก็ต้องรู้จักตัวอักษรบ้างใช่หรือไม่ พี่หญิงใหญ่ของเจ้า วาจาโหดร้าย เจ้าอย่าได้โกรธนาง”

ฉินหมิงฉุนเอ่ยพึมพำเสียงเบา “ข้ามีหรือจะกล้า ไม่กลัวนางก็ตีข้าสิขอรับ”

สะใภ้หวังหัวเราะ เอ่ย “ไปคุยกับอี๋เหนียงของเจ้าเถิด”

ฉินหมิงฉุนคารวะหนึ่งครั้ง ก้าวถอยออกไป

จังเฉวียนจยาจึงเอ่ย “นายหญิงใหญ่ท่านดีกับคุณชายห้าเหลือเกิน กับคุณหนูใหญ่ก็เช่นกัน”

สะใภ้หวังยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ เอ่ย “แม้เด็กจะไม่ลูกของข้า แต่ข้าก็เลี้ยงจนเติบใหญ่ ทั้งยังเป็นเด็กดี สะใภ้วั่นมารดาของพวกเขาก็เป็นคนที่ดูออกภายในปราดเดียว ไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมมากมาย นางเป็นอี๋เหนียง นับตั้งแต่เข้าเรือนยกน้ำชาก็เอ่ยชัดเจนแล้ว มาเพราะความสุขสบาย นางยังให้กำเนิดบุตรชายบุตรสาว ให้กำเนิดมาได้อย่างดี”

จังเฉวียนจยานั่งฟังเงียบๆ

“ครอบครัวของเรานี้ มีเพียงหนึ่งภรรยาเอกหนึ่งอนุ เรื่องแย่งชิงความโปรดปรานนั้น เจ้าก็รู้จักข้า นับตั้งแต่แต่งงาน ก็ไม่คิดอยากได้ใจผู้ใด เพียงเลือกใช้ชีวิตตัวคนเดียวไปเท่านั้น ส่วนสะใภ้วั่น ในสายตามีเพียงความร่ำรวยและงดงามดุจบุปผา มีอิสระกว่าข้าที่เป็นมารดาเชื้อสายหลัก เรื่องที่ต้องมาแก่งแย่งกันนั้นจึงกลับดูสงบกว่าบ้านอื่นเป็นไหนๆ”

จังเฉวียนจยานึกไปถึงอนุวั่น ก็เข้าใจสิ่งที่สะใภ้หวังเอ่ย เพียงไม่ได้เอ่ยว่านั่นคือสตรีที่สวยงามไปเท่านั้น

เพียงแต่อีกฝ่ายกลับวาสนาดี ให้กำเนิดบุตรชายบุตรสาว บุตรสาวผู้นั้นดูแล้วแข็งแกร่ง สะใภ้วั่นผู้นี้มีโชคดี มารดาเชื้อสายหลักดี บุตรสาวก็ไม่เลว โชคดีจริงๆ

“ลูกคนโตมิได้เจริญรุ่งเรือง ข้าไม่มีวาสนา เก็บคนที่สองเอาไว้ไม่ได้ เก็บไว้ได้เพียงคนที่หนึ่งและสาม ยามนี้ยังเรียกได้ว่าแม่ลูกแยกจาก” สะใภ้หวังลูบถ้วยชา เอ่ย “ยามนี้กลับมาอยู่บ้านเดิมแห่งนี้ ดูเด็กสองคนนี้ อย่างน้อยก็คอยปลอบประโลมจิตใจได้บ้าง เอ่ยแล้วก็เป็นเพียงความเห็นแก่ตัวของข้าเท่านั้น”

จังเฉวียนจยารีบเอ่ย “นายหญิงใหญ่คิดเช่นนี้มิได้นะเจ้าคะ ท่านจิตใจดี มิได้ทำให้บุตรอนุต้องเป็นทุกข์ เป็นโชคดีของพวกเขา”

สะใภ้หวังยิ้มอ่อนโยน “หากเอ่ยว่าจิตใจดี เรียกว่าช่วยเหลือซึ่งกันและกันจะดีกว่า”

“รอคุณชายรองกลับมาพร้อมหน้าพร้อมตา ท่านก็มีความสุขแล้วเจ้าค่ะ” จังเฉวียนจยาเอ่ย

“ขอให้เป็นเช่นนั้น”

ยามนี้เมื่อฉินหลิวซีเข้ามาคารวะ อยู่พูดคุยไม่กี่ประโยค เอ่ยข้ออ้างที่ไม่ได้มาคารวะเช้าเย็น จากนั้นนางก็กลับไปพักผ่อนต่อเล็กน้อย และเมื่อเห็นว่ากำลังจะมืดก็พาเฉินผีออกไปอีกครั้ง ตรงไปยังร้านโรงศพ

ตอนที่ 203 นักต้มตุ๋นผู้โชคร้าย

ครึ่งเซียนเถี่ยรู้สึกว่าวันนี้โชคร้ายจริงๆ ไม่มีลูกค้าแต่กลับได้เจอเข้ากับเทพอสูรน้อยที่ไม่รู้ที่มาที่ไปชัดเจน ไม่สิ ก็นับว่ายังมีลูกค้า แต่เทพอสูรน้อยก็คงให้เขาเพียงเศษเงินเท่านั้น ชั่งน้ำหนักดูแล้วคงห้าหกเฉียนเท่านั้น

ทว่าจะให้เศษเงินเขากลับยังมีข้อแม้ ก็คือให้เขาไปที่ร้านโลงศพ

นี่เป็นเคราะห์ร้ายเกินไปแล้ว

หากเขาไม่ไปแล้วจะตามหาเขาเจอจริงๆ น่ะหรือ

ครึ่งเซียนเถี่ยบีบเงินในมือ เมื่อความคิดนี้เกิดขึ้นมา ในหัวของเขาพลันนึกถึงคำพูดของฉินหลิวซี หากท่านไม่ปรากฏตัว ท่านจะโดนห้าโทษสามวิบัติทั้งหมด

ซวย ซวยจริงๆ

ห้าโทษสามวิบัติเชียวนะ คนที่เข้าสู่เต๋าต่างก็รู้ว่ามันคืออะไร เทพอสูรน้อยผู้นั้นข่มขู่ว่าจะให้ตนโดนทั้งหมดเลยหรือ

ครึ่งเซียนเถี่ยอยากหัวเราะ แต่เขาก็ไม่กล้า

ต้มตุ๋นมาแล้ว เอ๊ย ท่องไปทั่วยุทธภพมาแล้วหลายปีเพียงนี้ จนถึงตอนนี้เขายังไม่ถูกตีจนตาย เพราะมีความสามารถรับรู้ถึงอันตราย และเมื่อตอนกลางวันเทพอสูรน้อยผู้นั้นก็ทำให้เขารู้สึกถึงอันตราย

เสี่ยงไม่ได้

ครึ่งเซียนเถี่ยเลียริมฝีปาก คิดในใจ ข้าไปดูสักหน่อย หากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เขาไม่มาข้าค่อยหนี

นี่ยังไม่ใช่เวลาใช่หรือไม่

ครึ่งเซียนเถี่ยตกลงอยู่ในใจ จากนั้นจึงแบกธงเรียกวิญญาณของตนตรงไปยังตรอกโซ่วสี่ เขาเมียงมองร้านต่างๆ ไปตลอดทาง มองเห็นร้านโลงศพของกวนจี้ ดวงตาของเขาสอดส่ายไปมา แสร้งทำเป็นเดินผ่าน เหลือบตามองเล็กน้อย

ประตูหน้าต่างร้านโลงศพปิดสนิท ด้านในเงียบสงบราวกับไม่มีคน

ครึ่งเซียนเถี่ยขมวดคิ้วมุ่น นั่งยองๆ หดตัวอยู่มุมกำแพง หยิบขนมปังแผ่นกลมออกมานั่งกิน พร้อมสอดส่ายสายตาสังเกตความเคลื่อนไหวด้านในร้านโลงศพ

อวี้ฉังคงมาในเวลานี้พอดี เขานึกถึงสิ่งที่ฉินหลิวซีบอก จึงเดินมาโดยไม่รู้ตัว ตอนมองเห็นครึ่งเซียนเถี่ย แม้แต่คิ้วก็ไม่ขยับเลิกขึ้น เขาพอคาดเดาได้ว่าฉินหลิวซีจะให้ครึ่งเซียนเถี่ยทำอะไร

ครึ่งเซียนเถี่ยมองเห็นคุณชายสูงศักดิ์อย่างอวี้ฉังคง สองสามคำก็กินขนมไปจนหมดก่อนจะเดินเข้ามา แล้วถูกต้าฉยงและซื่อฟังขวางเอาไว้

“คุณชาย สหายตัวน้อยผู้นั้นของท่านไปที่ใดแล้วเล่า พวกท่านให้ข้ามาที่นี่ทำไมกัน” ครึ่งเซียนเถี่ยถามด้วยรอยยิ้มเขินอาย

อวี้ฉังคงเอ่ย “รอดูก็รู้แล้ว”

ครึ่งเซียนเถี่ยถามอีก “ไม่รู้ว่าคุณชายน้อยผู้นั้นเป็นผู้มีความสามารถมาจากที่ใด อย่าได้หาว่าข้าไม่มีตาไปลบหลู่เข้า คุณชายท่านช่วยชี้แนะสักเล็กน้อยได้หรือไม่”

อวี้ฉังคงเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าลบหลู่ไปแล้ว และยังเป็นเจ้าที่เข้ามาเอง”

ดังนั้นเอ่ยได้ว่าเป็นข้าเองที่โชคร้าย

ครึ่งเซียนเถี่ยเบ้ปาก เห็นอวี้ฉังคงไม่เอ่ยมากความจึงไม่ประจบอีก เดินมาย่อตัวนั่งลงด้านข้าง

เพียงแต่คุณชายผู้นี้ ไยจึงเปลี่ยนเป็นชุดขาว กลางวันเขาสวมชุดสีดำมิใช่หรือ ดูจากลักษณะเนื้อผ้าแล้ว ช่างแพงจริงๆ

กำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย ทันใดก็มีคนถือของมา ครึ่งเซียนเถี่ยเหลือบมอง ของมีค่า เทียน กระดาษทองกระดาษเงินหรือ

ร้านงานศพนำของมาวางไว้หน้าประตู มองเข้าไปในร้านโลงศพ ถอนหายใจออกมา

มีคนมาเรื่อยๆ ต่างถือสิ่งของต่างๆ นานามา ครึ่งเซียนเถี่ยมองเห็นกระดาษตัดรูปเด็กชายเด็กหญิง ก็นั่งไม่อยู่แล้ว

ของเหล่านี้ ต่างก็ใช้ในงานศพงานหรือเทศกาลกินเจใช่หรือไม่

เขาเหมือนจะเดาอะไรบางอย่างได้ กำลังจะลุกขึ้นแต่กลับล้มลงไปนั่งกับพื้น

ขาชาแล้ว

ปลายยามเซิน พระอาทิตย์กำลังลาลับ ฉินหลิวซีเดินออกมาจากตรอกในตอนที่แสงกำลังจะหมดลง ในชุดสีคราม ผมใช้ไม้ไผ่ปักม้วนเอาไว้ ที่เอวมีน้ำเต้าขนาดเท่ามือเด็กทารก ดวงอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินสาดส่องร่างของนางราวกับสะท้อนแสงสีทองออกมา

เอ่อ

ครึ่งเซียนเถี่ยตกใจ หันกลับไปมอง ประตูร้านโลงศพถูกเปิดออก ชายชราร่างผอมที่สวมผ้าขาวห่อศพปรากฏขึ้นสู่สายตา

ฉินหลิวซีเดินมาอยู่หน้าประตู มองไปยังชายชรา สีหน้าเรียบนิ่ง เอ่ย “ข้ามาแล้ว มาส่งท่าน”

****************************

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท