คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 205 ชวนไปอารามชิงผิง

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 205 ชวนไปอารามชิงผิง

ในตอนที่ครึ่งเซียนเถี่ยนำร่างของผู้เฒ่ากวนลงในโลงศพ ในใจยังรู้สึกงุนงง ไยเขาจึงหน้ามืดตามัวพุ่งเข้าหาเรือโจรอย่างฉินหลิวซีได้นะ

เขาจัดผ้าไหมสีขาวบนใบหน้าของผู้เฒ่ากวนให้เรียบร้อย สวดมนต์ส่งวิญญาณอยู่ในใจอย่างเงียบๆ จัดด้านในโรงศพให้เรียบร้อย

หลังจากจัดเรียบร้อย เขาก็หันกลับมา กลับเห็นฉินหลิวซีแขวนโคมสีขาวสองดวงไว้ที่ประตูร้านด้วยตนเอง ตัวอักษร ‘เตี้ยน[1]’ ที่เขียนไว้นั้นสว่างไสวเสียดตา มองไปยังร้านโลงศพแห่งนี้ก่อนจะมองไปยังผู้เฒ่ากวน

ช่างเถิด

ครึ่งเซียนเถี่ยถอนหายใจ

เห็นว่าอวี้ฉังคงและผู้คนรอบตัวเขาได้จัดห้องไว้ทุกข์เล็กๆ อย่างเรียบง่ายเอาไว้ ครึ่งเซียนเถี่ยจึงจุดธูปเทียนและเตรียมทำพิธี

มีคนมาถึงแล้ว

ฉินหลิวซีเชิญเข้ามา ส่งสัญญาณทางสายตาให้เฉินผี อีกคนจึงหยิบธูปและมอบให้กับผู้ที่มาแสดงความเสียใจ

ผู้ที่มาล้วนเป็นคนที่มีร้านอยู่ในถนนเส้นนี้ หรือเป็นคนในตรอกโซ่วสี่ที่คุ้นเคยกับผู้เฒ่ากวน เมื่อได้ข่าวก็มาจุดธูปให้กับผู้เฒ่ากวน ส่งเขาเป็นครั้งสุดท้าย

ซื่อฟังยืนอยู่ที่หน้าประตูตามคำสั่งของฉินหลิวซี มอบเข็มผนึกขับไล่วิญญาณชั่วร้ายให้กับผู้มาไว้อาลัยแสดงความเสียใจนำกลับไปด้วย

นี่คือธรรมเนียมของการจัดงานศพ

ระหว่างที่ครึ่งเซียนเถี่ยเตรียมตัว เขาก็ได้ยินเรื่องของผู้เฒ่ากวนจากแขกในงานว่าตายหมดแล้วทั้งครอบครัว ฉินหลิวซีเพียงมาช่วยจัดพิธี แน่นอน ค่าตอบแทนก็คือร้านโลงศพร้านนี้

ครึ่งเซียนเถี่ยมองสำรวจร้านโลงศพเก่าและโทรมแห่งนี้ พูดตามตรง ก็เป็นเพียงร้านร้านหนึ่งเท่านั้น ยังเปิดในตรอกโซ่วสี่ ที่ซึ่งมีร้านค้าทำกิจการงานศพมากมาย หลังจากกลับมาเปิดอีกก็คงจะเป็นประเภทนี้แบบเดิมกระมัง

“เริ่มเถิด” ฉินหลิวซีเห็นว่าเวลาผ่านไปพอสมควรแล้วจึงเอ่ยกับครึ่งเซียนเถี่ย

ครึ่งเซียนเถี่ยรีบสวมชุดลัทธิเต๋าที่ขาดรุ่งริ่ง เมื่อสัมผัสได้ถึงการจ้องมองด้วยสายตารังเกียจของฉินหลิวซี ใบหน้าของเขาจึงขมขื่น ก่อนจะเอ่ยอย่างอึกอัก “หากข้ารวย ข้าก็คงไม่พุ่งมาหาท่านหรอก…”

มิใช่เพราะเขาจนหรอกหรือ ถึงได้มาเป็นนักต้มตุ๋นอยู่นี่อย่างไร

เมื่อเห็นว่าฉินหลิวซีเริ่มใจร้อน เขากระแอมไอและเริ่มสวดพระสูตร เหยียบบนเสาเหล็ก เผายันต์ และสวดมนต์

ฉินหลิวซีเฝ้าดูอยู่ด้านข้าง เห็นว่าเขาดูเข้าท่าและทำตามขั้นตอนพิธีกรรมได้ถูกต้อง จึงนั่งลงขัดสมาธิ

อวี้ฉังคงยื่นแก้วน้ำส่งให้แล้วคุกเข่าลงด้านข้างฉินหลิวซี

ฉินหลิวซีขอบคุณเขาด้วยรอยยิ้ม เอ่ย “ไยท่านถึงมาที่นี่ด้วย”

“ท่านเองก็บอกว่าการพบกันคือโชคชะตา”

ฉินหลิวซีเหลือบมองโลงศพแล้วถอนหายใจ “มีคุณชายฉังคงสกุลอวี้มาช่วยในพิธีศพ ชายชรานับว่าได้รับเกียรติแล้ว”

อวี้ฉังคงเอ่ย “สิ่งที่น่ายกย่องที่สุดสำหรับเขา คือท่านอยู่ที่นี่”

ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ

อวี้ฉังคงไม่ได้พูดอะไรอีก นั่งอยู่กับอีกฝ่าย ดูครึ่งเซียนเถี่ยทำพิธีกรรม เอ่ย “สิ่งที่เขาทำ ดูคล้ายกับลัทธิเต๋าอยู่บ้าง ไม่เหมือนคนหลอกลวง”

“สิ่งที่เขาทำดูไม่สุภาพอยู่บ้าง แต่เบื้องหน้านั้นถูกต้องแล้ว ไม่ทำอันตรายคนและไม่เคยทำชั่วใดๆ ในฐานะคนเร่ร่อนนับว่าไม่เป็นไร ยิ่งกว่านั้นเขายังมีคุณธรรมหยินอยู่บ้างเล็กน้อยบนหน้าของเขา แม้ไม่รู้เขาเคยทำอะไรไปบ้าง แต่สิ่งเหล่านี้ก็พอแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ย “การทำพิธีไม่นับว่าเรียบร้อยนัก หากเขาสนใจ ข้าอยากจะเชิญเขามาเป็นนักพรตเต๋าในอารามเต๋า”

“เพราะท่านได้ยินนักพรตชิงหย่วนบอกว่ากำลังคนขาดแคลนอย่างนั้นหรือ จึงได้คิดรับคนที่มีความสามารถ”

“เขานับว่ามีพรสวรรค์ที่ใดเล่า เมื่อครู่เขาท่องคำสวดผิดสองคำแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างรังเกียจ “แต่ในอารามมีนักพรตเต๋าไม่เพียงพอจริงๆ อีกทั้งจะเข้าฤดูหนาวแล้วในอารามมีเรื่องมากมาย นักพรตเพียงสามคน ไม่เพียงพอ”

ถ้าคนไม่พอก็ต้องให้นางมา แค่คิดก็น่ากลัวและรู้สึกเหนื่อยแล้ว

ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรับนักพรตเต๋าผู้มีคุณธรรม ครึ่งเซียนเถี่ยผู้นี้เข้าใจวิชาเต๋า ที่สำคัญคือทำพิธีได้ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ต่อไปหากมีงานเต๋า อาจถูกส่งออกไปทำหน้าที่ได้

ครึ่งเซียนเถี่ยบีบนิ้วกดเข้าที่มือของเขา รู้สึกหนาวที่หลัง มีลางสังหรณ์ว่ากำลังตกเป็นเป้าหมาย

คงไม่ใช่ว่าเทพอสูรน้อยผู้นี้จะทำอะไรไม่ดีกับตนหรือไม่

ความฟุ้งซ่านครั้งนี้ทำให้เขาท่องมนต์ผิดอีกครั้ง

ฉินหลิวซีดุ “ท่องดีๆ อย่าได้เสียสมาธิ”

ครึ่งเซียนเถี่ยย่นคอของเขา ให้ตายเถอะ เมื่อเรื่องนี้จบลง เขาจะหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากหนีไม่ได้ หลบซ่อนก็คงทำได้กระมัง

“หากอารามเต๋าหาคนไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้นหรือ” อวี้ฉังคงเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ในปีผ่านๆ มา ล้วนอาศัยผู้ศรัทธาและฆราวาสเพื่อช่วยเรา ช่วยก็คือการให้ข้าวต้มและยา ที่เหลือเช่นการเก็บค่าเช่าที่ดินต่างๆ ทำได้เพียงพึ่งชิงหย่วนไปจัดการด้วยตนเองแล้ว”

“อารามชิงผิงยังมีที่อื่นอยู่อีกหรือ”

ฉินหลิวซียิ้มเอ่ย “ทำไมหรือ ท่านคิดว่าประตูที่ว่างเปล่านั้นว่างเปล่าจริงๆ หรือ”

ไม่รอเขาเอ่ยตอบก็เอ่ยต่อว่า “ต่างบอกว่าออกบวชคือการเข้าสู่ประตูแห่งความว่างเปล่า แต่ความว่างเปล่าก็มิใช่ประตูหรือ ที่นั่นมีหลังคาคลุมศีรษะและอยู่อาศัยได้ เข้าสู่ประตูแห่งความว่างเปล่านั้นแล้วก็ยังต้องกิน ดื่ม ถ่ายอุจจาระ อาศัยการถือศีลก็อยู่ได้ไม่นานแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ต้องการแหล่งทรัพยากร ไม่อย่างนั้นไยพุทธศาสนาและลัทธิเต๋าถึงต้องจุดธูปกราบไหว้ควันขโมง ยังต้องการน้ำมันเพื่อจุดตะเกียงด้วยเล่า สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ขับเคลื่อนประตูแห่งความว่างเปล่านี้ หากอยากทำบุญครั้งใหญ่ เช่นนั้นก็ยิ่งต้องการมากแล้ว”

อวี้ฉังคงครุ่นคิด “ประตูแห่งความว่างเปล่าก็เป็นโลกธรรมดาเช่นกัน”

“ท่านเอ่ยเช่นนี้ถูกต้องแล้ว” ฉินหลิวซียิ้มบาง “ไม่ว่าจะเป็นประตูแบบใดก็ตาม ต่างไม่สามารถหลบหนีจากโลกภายนอกได้ ไม่สามารถแยกตัวออกจากโลกมนุษย์นี้ได้ เพียงปรับตัวให้เหมือนเขา มีเพียงจบชีวิตลงเท่านั้นจึงจะออกจากโลกใบนี้ได้”

อวี้ฉังคงหันมองตามสายตาของนางไปยังโลงศพ

“อารามชิงผิงก็มีที่ดินเป็นของตัวเอง เนื่องจากลัทธิเต๋ามีเมตตาจึงมอบให้ชาวสวนเช่า เก็บค่าเช่าไม่แพง ในยามภัยพิบัติก็ยิ่งไม่เก็บเลย และในปีที่เกิดภัยพิบัติ อารามยิ่งต้องทำบุญมากขึ้น ยิ่งจำเป็นต้องใช้เงินน้ำมันตะเกียงมาซื้อของมากขึ้น” ฉินหลิวซีเอ่ย “ฤดูหนาวกำลังจะมาถึงแล้ว อารามเต๋าก็จะเริ่มแจกโจ๊กและยา ถึงตอนนั้นหากท่านยังไม่ไป จะมาช่วยด้วยก็ได้”

“ตกลง”

ดึกแล้ว ฉินหลิวซีไม่ได้กลับบ้าน แต่เฝ้าดูทั้งคืน จนกระทั่งรุ่งสางถึงยามประตูเมืองเปิดออก จึงพาครึ่งเซียนเถี่ยและเฉินผีขนโลงศพออกจากเมืองไปยังสุสาน

ครึ่งเซียนเถี่ยยุ่งตลอดทั้งคืน ง่วนจนเปลือกตาแทบปิดสนิท ยังต้องตามเฉินหลิวซีไปยังสุสานเพื่อเผาศพของผู้เฒ่ากวนจากนั้นรวมขี้เถ้าไว้ในโกศเล็กๆ ก่อนจะปิดผนึกด้วยยันต์สีเหลืองเรียบร้อยและถูกเฉินผีอุ้มเอาไว้อยู่

มีสุสานรวมอยู่ที่เนินเขาด้านหลังของอารามชิงผิง ผู้คนเช่นผู้เฒ่ากวนที่ไม่มีครอบครัวเหลืออยู่ หากถูกอารามชิงผิงเจอเข้า เขาจะถูกเผาศพและจะนำขี้เถ้ากลับไปฝังที่สุสาน แผ่นป้ายวิญญาณจะถูกวางไว้ในห้องโถงแห่งความตายที่ถูกจัดเอาไว้โดยเฉพาะ ในช่วงครบรอบจะมีการจุดธูปบูชาและเซ่นไหว้ นับว่าเป็นความเมตตาจากอารามชิงผิง

แน่นอน นี่ก็ต้องดูชีวิตของผู้ตาย หากทำความชั่ว อารามชิงผิงก็ทำเพียงโปรดสัตว์เท่านั้น

เมื่อเก็บขี้เถ้าแล้ว พิธีของผู้เฒ่ากวนนับว่าเสร็จสิ้นลง วิธีการเรียบง่ายทว่าดีงาม อย่างไรก็ดีกว่าถูกทิ้งอยู่เพียงลำพังหลายร้อยเท่า

“ข้าไปได้แล้วหรือไม่” ครึ่งเซียนเถี่ยเห็นว่าไม่มีธุระของเขาแล้วเลยคิดจะรีบหนี

ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา “เจ้าจะไปที่ใด”

ครึ่งเซียนเถี่ยเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก”

“ตอนนี้อารามชิงผิงกำลังรับนักพรตเต๋า หากเจ้าไม่มีที่ไป สามารถไปลงชื่อที่อารามชิงผิงได้ คอยทำพิธีในวันธรรมดา มีที่พัก อาหารสามมื้อ มีเสื้อผ้านักพรตตลอดสี่ฤดู จะไม่ดีกว่าที่เจ้าต้องหลอกลวงคนไปทั่วหรอกหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยสิ่งล่อตาล่อใจ เอ่ย “เป็นอย่างไร มาหรือไม่”

[1] เตี้ยน (奠) เซ่นไหว้ (ผู้ตาย) จะถูกเขียนเอาไว้ในงานศพเพื่อเซ่นไหว้แก่ผู้ตาย

************************

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท