คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 216 พวกเราแยกย้ายเถิด เหนื่อยแล้ว

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 216 พวกเราแยกย้ายเถิด เหนื่อยแล้ว

ร่างกายของซือเหลิ่งเย่ว์ถูกผีแก่นักกินสิงร่างแล้วยัดของกินเข้าไปมากมาย ท้องรับไม่ไหว อาเจียนออกมามากมาย จนซือถูบิดาของนางตกใจร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง

ฉินหลิวซีก้าวเข้ามา ตรวจชีพจรให้นาง เอ่ย “กินอิ่มเกินไป อีกทั้งยังเป็นอาหารมัน อาเจียนออกมาก็ดีแล้ว แต่เพื่อไม่ให้หลอดอาหารและกระเพาะเสียหาย กินยาเพื่อรักษาอาการสักหน่อยเถิด”

ซือถูถามพลางสะอึกสะอื้น “ท่าน ท่านก็เป็นนักพรตมิใช่หรือ รู้วิชาการแพทย์หรือ”

เจ้าอาวาสชิงหลานเดินเข้ามาในเวลานี้ เอ่ย “สิบนักพรตเก้าหมอ นี่คือลูกศิษย์ของนักพรตชื่อหยวน ฉายาปู้ฉิว วิชาการแพทย์ของเขาดียิ่งนัก”

“ดีกว่าท่านอีกหรือ” ซือถูมองเขาทั้งน้ำตา เจ้าอาวาสชิงหลานผู้นี้ก็มีวิชาการแพทย์เช่นกัน

เจ้าอาวาสชิงหลานก็ไม่โกรธ พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ดีกว่าข้า”

“ก็จริง แม้แต่วิญญาณผีบ้านั่นท่านยังจัดการไม่ได้ ยังเป็นนางที่จัดการ” ซือถูเอ่ยตามตรง

เป็นการล่วงเกินเขาไปแล้ว

รอยยิ้มของเจ้าอาวาสชิงหลานแข็งค้าง

ซือเหลิ่งเย่ว์ไม่สนใจอาเจียนแล้ว เอ่ยขึ้นเสียงแหบอย่างร้อนใจแทน “ท่านพ่อ” ลุกขึ้นโดยมีสาวใช้คอยประคอง ย่อตัวเคารพต่อเจ้าอาวาสชิงหลาน เอ่ย “เจ้าอาวาส บิดาของข้าปากไวไม่ได้มีเจตนาว่าร้าย ขอท่านให้อภัยด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

ซือถูท่าทางน่าสงสาร อายุปูนนี้แล้วเอ่ยความจริงไม่ได้หรือ

ฉินหลิวซียิ้มตาหยี บิดาเช่นนี้ คงจะน่าเป็นห่วงมากทีเดียว

ชื่อหยวนถลึงตาใส่นาง อย่าได้ยิ้มเกินงาม เจ้าเองก็เป็นเหมือนกัน

เจ้าอาวาสชิงหลานเองก็รู้จักซือถูมาหลายปี รู้ว่าเขาเป็นคนตรงๆ ทั้งยังชอบร้องไห้จึงไม่คิดถือโทษอะไร หัวเราะออกมา “ศิษย์หลานปู้ฉิวมีวิชาความรู้ล้ำลึก เหนือฟ้าอย่างไรก็ต้องมีฟ้า”

ชื่อหยวนแสร้งถ่อมตัว “อย่าได้ยกยอนาง เดี๋ยวนางได้ลอยขึ้นฟ้า” เขามองซือเหลิ่งเย่ว์ เอ่ยวางท่าอาจารย์ต่อฉินหลิวซี “ช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้จบ ในเมื่อเจ้าตรวจชีพจรแล้ว ให้ใบสั่งยาแก่แม่นางเถิด ถือเป็นบุญกุศล นอกจากนี้แม่นางซือออกจากร่างไปนาน สติยังไม่นิ่ง เจ้าเขียนยันต์สะกดวิญญาณให้นางเถิด”

“เช่นนั้นก็เอากระดาษกับปากกามาเถิด” ฉินหลิวซีไม่อิดออด อย่างไรซือเหลิ่งเย่ว์ก็เป็นคนที่นางช่วยมาระหว่างทาง ยามนี้แสงโคมไฟส่องสว่างราวกับตอนกลางวัน

ซือเหลิ่งเย่ว์ถูกสาวใช้ประคองกลับไปพักผ่อน

ทุกคนเองก็มีขอบเขต นางไม่ได้ตามหญิงสาวกลับไปที่ห้องนอน เพียงนั่งอยู่ในห้องโถงรับแขกเรือนหน้า

ฉินหลิวซีเขียนใบสั่งยาสองใบ ยื่นให้หญิงรับใช้ที่ตามมาด้านข้าง เอ่ยเสียงเบา “ใบหนึ่งคือบำรุงกระเพาะ กินไปสองขนานก็พอ ส่วนอีกใบก็รอให้นางกินใบแรกครบแล้วค่อยกิน นี่คือยารักษามดลูก”

หญิงรับใช้ตกใจ มองไปยังฉินหลิวซี ใบหน้าตกตะลึง รีบขอบคุณแล้วเดินออกไปยังเรือนหลังโดยไว

ซือถูยังพูดคุยอยู่กับเจ้าอาวาสชิงหลาน เพียงแต่ดวงตาคู่นั้นมองไปข้างนอกอยู่บ่อยครั้งอย่างอดไม่ได้ ความกังวลในสายตายากจะปกปิดไว้

เจ้าอาวาสชิงหลานจึงเอ่ย “หากท่านซือถูเป็นห่วงแม่นาง จะไปดูก็ได้ พอดีพวกข้าและศิษย์หลานปู้ฉิวได้คุยกันไปด้วย”

ซือถูนั่งไม่ติดมานานแล้ว เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ เอ่ย “เช่นนั้นข้าไปดูบุตรสาว เหล่าติง เจ้าคอยดูแลท่านนักพรตให้ดี ให้คนจัดห้องพักให้ท่านนักพรตได้พักผ่อน อ้อ เตรียมอาหารและสุรามาด้วย”

“ขอรับ นายท่าน”

ซือถูจึงหันมายกมือประสานแล้วโค้งให้พวกเจ้าอาวาสชิงหลาน “เช่นนั้นข้าต้องขอเสียมารยาทแล้ว”

เจ้าอาวาสชิงหลานเองก็แสดงความเคารพตอบกลับ “เชิญเถิด”

ซือถูเดินพร้อมวิ่งออกไป หายไปจากสายตาของทุกคนอย่างรวดเร็ว บนโลกใบนี้ใครก็ไม่อาจสำคัญไปกว่าเย่ว์เอ๋อร์ของเขา

คนจากไปแล้ว ฉินหลิวซีจึงปรายตามองไปทางนักพรตเฒ่าชื่อหยวน เอ่ย “พักผ่อนนั้นไม่ต้องแล้ว ข้าตั้งใจมารับท่านกลับไปเป็นเจ้าอาวาสอารามชิงผิง นี่ก็ดึกมากแล้ว ไปเลยหรือไม่”

สายตาของนักพรตชราชื่อหยวนไหววูบไม่นิ่ง เอ่ย “ข้ามีเรื่องต้องคุยกับอาจารย์ลุงชิงหลานของเจ้า…”

“อย่าได้หาข้ออ้างมากนัก” ฉินหลิวซีตบโต๊ะ เอ่ย “ท่านออกจากอารามมานานเพียงใดแล้ว ต่อให้มีเรื่องต้องหารือก็คงหารือจบไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าท่านไม่อยากกลับไป”

นางตบโต๊ะ ถ้วยชาบนโต๊ะต่างลอยหวือขึ้นมา เหอหมิงตกใจใบหน้าซีดขาว รีบหลบไปอยู่ด้านหลังอาจารย์ปู่ของตน

อารมณ์ของอาจารย์อาปู้ชิวผู้นี้นั้น ดูจะไม่ค่อยดีนัก

นางกล้าตะโกนใส่อาจารย์ด้วยแบบนี้ ไม่กตัญญูแล้วยังไม่ถูกขับไล่ออกจากสำนักอีก อารามชิงผิงหละหลวมเพียงนี้เลยหรือ

นักพรตชื่อหยวนแก้ตัว “สิบปีมานี้ ออกจากวัดมากี่ครั้งกัน ยามนี้เจ้าโตแล้ว ชิงหย่วนก็อยู่ ยังต้องให้อาจารย์คอยเลี้ยงดูให้นมเป็นแม่ของพวกเจ้าอีกหรือ ถึงตาพวกเจ้าเฝ้าอาราม ให้อาจารย์ท่องเที่ยวได้แล้ว”

ฉินหลิวซียิ้มเย็น “เอ่ยเสียน่าฟัง ท่านมีนมหรือ”

นักพรตเฒ่าชื่อหยวน “…”

เจ้าอาวาสชิงหลานและเหอหมิง “!”

นี่เป็นสิ่งที่นักบวชอย่างพวกเขาฟังได้หรือ

“เหลวไหล” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนสีหน้าบึ้งตึง เอ่ย “เจ้าเองก็เป็นอาจารย์อาแล้ว อย่าได้เอ่ยอะไรน่าขันต่อหน้าผู้น้อย”

เขาเหลือบมองเหอหมิง

ฉินหลิวซีเองก็หันไปมอง เหอหมิงหลบอยู่หลังอาจารย์ปู่ ไม่ต่อต้าน คิดเสียว่าเขาเป็นผีที่มองไม่เห็นเถิด เขาไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น

ฉินหลิวซีส่งเสียงหยัน เอ่ย “ท่านว่ามาเถิด จะกลับไปกับข้าหรือไม่”

เจ้าอาวาสชิงหลานเห็นทั้งสองจ้องกันเขม็ง เอ่ยไกล่เกลี่ยด้วยรอยยิ้ม “นานๆ ครั้งศิษย์หลานจะได้มาชิงโจว พักที่นี่สักวันสองวันดีหรือไม่ ศิษย์พี่ศิษย์น้องของเจ้าในอารามชิงหลานเองก็อยากพูดคุยกับเจ้า”

ฉินหลิวซีคิดในใจ ข้ามิกล้าหรอก อยู่ที่อารามชิงหลานสักวันสองวัน นางคงอารมณ์ไม่นิ่ง ถูกบีบให้เจริญก้าวหน้า คงได้ตายเป็นแน่

“อาจารย์ลุงชิงหลาน มิใช่หลานไม่ไว้หน้าท่าน แต่ช่วงนี้ที่อารามกำลังยุ่ง และผู้แสวงบุญที่วัดมีจำนวนมากขึ้น นักพรตในวัดกลับมีไม่มาก ไม่อาจปลีกตัวได้ ข้าถึงได้มารับอาจารย์กลับไปจัดการงานใหญ่”

นักพรตชราชื่อหยวน ข้าบอกแล้ว ไหนเลยศิษย์เนรคุณจะมารับเขากลับไปเพราะคิดถึงเขา เห็นๆ กันอยู่ว่าต้องการให้เขากลับไปทำงาน

“เจริญรุ่งเรืองเป็นเรื่องดี น่ายินดี” เจ้าอาวาสชิงหลานวางท่ามีมารยาท เอ่ย “แต่ก็คงเสียเวลาไม่เกินวันสองวันหรอกหรือไม่”

“หากท่านปรมาจารย์ลัทธิเต๋าไม่เปลี่ยนร่างทองก็คงได้ อย่างไรก็ตามอีกสองวันท่านปรมาจารย์ลัทธิเต๋าในอารามก็จะเปลี่ยนเป็นร่างทองส่องสว่างแล้ว เหล่าผู้แสวงบุญจะมาคารวะที่อาราม ท่านว่าเขาเป็นถึงเจ้าอาวาสไม่อยู่ในอาราม เหมาะสมหรือไม่ ได้หรือไม่” ฉินหลิวซีปรายตามองนักพรตชื่อหยวน ส่งสัญญาณบางอย่างไปให้

ห๊า รูปหล่อทองหรือ

ดวงตานักพรตเฒ่าชื่อหยวนวาวขึ้น รีบเอ่ยถาม “ไยจึงมีรูปหล่อทองแล้ว ผู้จิตใจดีผู้ใดบริจาคหรือ”

“เรื่องนี้ท่านกลับไปก็จะรู้ แต่ข้าว่าท่านก็คงไม่ได้ใส่ใจ เอาอย่างนี้ อย่างไรท่านก็ไม่อยู่ พวกเราก็แยกย้ายกันไปเถิด กลับไปข้าจะให้ชิงหย่วนบอกลาเหล่านักพรตในอาราม ปิดประตูหุบเขา จากนี้ไปท่านก็ไปท่องเที่ยวของท่าน ข้าก็จะเป็นคุณหนูตระกูลฉิน เป็นอย่างไร”

เหอหมิง “…”

คุณหนูอะไรนะ

อาจารย์อาเป็นผู้หญิงหรือ

เขายื่นศีรษะออกมาครึ่งหนึ่ง มองสำรวจฉินหลิวซี ผู้หญิงหรือ

นักพรตเฒ่าชื่อหยวนได้ยินคำว่าแยกย้ายก็โพล่งขึ้นมา “แยกย้ายอะไร เจ้าเลิกคิดไปเสีย”

แยกย้ายแยกไม่ได้ ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่ได้ นอกจากเขาตาย ไม่สิ ต่อให้เขาตาย ก็แยกไม่ได้

***********************

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท