คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 217 เติบโตมาด้วยตนเอง

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 217 เติบโตมาด้วยตนเอง

ในตอนที่ฉินหลิวซีและนักพรตเฒ่าชื่อหยวนกำลังถกเถียงกัน ซือถูสองพ่อลูกก็กำลังพูดคุยสะอึกสะอื้น อ้อ โดยเฉพาะคนเป็นบิดาที่กำลังร้องไห้ ส่วนคนเป็นบุตรสาวนั้นกำลังปลอบโยน

“ท่านพ่อ ท่านอย่าร้องไห้เลยเจ้าค่ะ ข้าปวดหัวยิ่งนัก” ซือเหลิ่งเย่ว์ล้างหน้าล้างตาแล้ว ใบหน้าซีดขาวดูอ่อนแรง

เสียงร้องไห้ของซือถูหยุดลงทันใด จับจ้องมองนาง เอ่ยถาม “ปวดหัวหรือ ต้องให้นักพรตน้อยผู้นั้นมาตรวจชีพจรให้เจ้าหรือไม่ เจ้าอาวาสชิงหลานบอกว่าการแพทย์ของเขาเยี่ยมยอดยิ่งนัก”

ดวงตาของซือเหลิ่งเย่ว์อ่อนโยนลง เอ่ย “ท่านไม่ร้องไห้ ข้าก็ไม่ปวดหัวแล้ว”

ซือถูอยากร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้ากำลังรังเกียจที่พ่อไร้ความสามารถหรือ ก็ใช่ ข้าผู้เป็นบิดามิได้มีประโยชน์อันใดนัก เอาแต่ร้องไห้ แต่พ่อไม่อาจควบคุมดวงตาคู่นี้ได้ เจ้าว่าหากเจ้าเป็นอะไรไป พ่อจะทำเช่นไร หากตายไป จะไปบอกกับมารดาเจ้าอย่างไร”

“ท่านพ่อ ลูกเพียงวิญญาณออกจากร่างธรรมดา…”

“เจ้าอย่ามาบอกว่านี่เป็นเรื่องธรรมดา ปกติเจ้าวิญญาณออกจากร่างก็ไม่เห็นจะมีวิญญาณร้ายมาสิงร่างอย่างเช่นครั้งนี้” ซือถูนึกย้อนไปถึงท่าทางดุร้ายของเติ้งสือเหนียงพลันใจสั่นขึ้นมา เอ่ย “โชคดีที่นักพรตน้อยผู้นั้นมีความสามารถ ไล่ผีชั่วตนนั้นออกไปได้ มิเช่นนั้นร่างกายของเจ้าคงถูกยึดเอาไปแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไร เจ้าก็คงจะกลับมาไม่ได้”

ซือเหลิ่งเย่ว์นึกขึ้นได้ยกมือขึ้นลูบลำคอ บริเวณตรงนั้นว่างเปล่า เครื่องรางหยกที่ไม่เคยห่างกายยามนี้ไม่มีแล้ว เมื่อครู่ตอนอาบน้ำนางได้ยินที่เหล่าบ่าวรับใช้เล่าถึงความเป็นมาให้ฟัง ช่างอันตรายมากจริงๆ

“คุณหนู ยามาแล้วเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้ยกยาร้อนเข้ามา เอ่ย “ดื่มตอนร้อนๆ เถิดเจ้าค่ะ จะได้ไม่อันตรายต่อกระเพาะเจ้าค่ะ”

“จริงแล้วๆ รีบดื่มเถิด” ซือถูเองก็เร่ง ทั้งยังออกคำสั่งกับบ่าวรับใช้ เอ่ย “ช่วงนี้อาหารการกินของคุณหนูต้องระมัดระวังสักหน่อย อย่าได้มีน้ำมัน ต้องเบาๆ น้ำมันที่ลอยอยู่ต้องตักออกให้หมด อย่าให้คุณหนูกินแล้วคลื่นไส้”

“เจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้รีบตอบรับ

ซือเหลิ่งเย่ว์ดื่มยา รู้สึกสบายท้องขึ้นมา จึงเอ่ย “ท่านพ่อ เขาช่วยข้า ข้าเองต้องไปขอบคุณสักหน่อยเจ้าค่ะ”

“ข้าไปก็พอ ยามนี้ดึกแล้ว เจ้ายังผ่านเรื่องร้ายมา ต้องพักผ่อนให้ดี เจ้าวางใจ พ่อจะจัดการให้เรียบร้อย ไม่ละเลยต่อพวกเขา” ซือถูกดนางเอาไว้

ซือเหลิ่งเย่ว์ส่ายศีรษะ “ท่านไม่เข้าใจ ตอนที่วิญญาณของข้าออกจากร่าง แม่นางฉินผู้นั้น อ้อ คือลูกศิษย์ของนักพรตชื่อหยวนผู้นั้น นักพรตหญิงผู้นั้นเก็บลูกมาจากเส้นทางหยิน หากไม่ใช่เพราะความเมตตาของนาง ลูกเกรงว่าคงไม่อาจกลับมาได้อีกแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะดึกเพียงใดก็ต้องไปขอบคุณด้วยตนเองเจ้าค่ะ”

ซือถูแปลกใจ “นางเป็นนักพรตหญิงหรือ”

นึกย้อนไปถึงลักษณะท่าทางของฉินหลิวซี คิดในใจว่าคนในลัทธิเต๋าอิสระเพียงนี้เลยหรือ

ซือถูเพียงครุ่นคิดเล็กน้อย รู้นิสัยของบุตรสาวดี คงไม่อาจเกลี้ยกล่อมนางได้ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยอย่างระมัดระวัง “เย่ว์เอ๋อร์ พ่อดูแล้วว่านักพรตหญิงผู้นั้นมีความสามารถยิ่งนัก เก่งกาจกว่าเจ้าอาวาสชิงหลานหลายเท่า เจ้าว่า นางจะทำลายคำสาปของตระกูลซือได้หรือไม่”

ซือเหลิ่งเย่ว์ชะงัก เม้มริมฝีปากแน่น

ดวงตาคู่สวยของซือถูมีความเจ็บปวดพาดผ่าน จับมือเย็นเฉียบของนางเอาไว้ เอ่ย “เย่ว์เอ๋อร์ ปีนี้เจ้าอายุสิบหกแล้ว ห่างจากเส้นขีดจำกัดนั้นไม่ถึงสิบปี พ่อคงทนไม่ได้ หากเจ้าตามแม่เจ้าไปเล่า ข้ามีชีวิตอยู่คนเดียวจะมีความหมายอะไร”

“ท่านพ่อ”

ซือถูสะอึกสะอื้นอย่างไม่ปิดบัง เอ่ย “แม่ของเจ้า มีอายุไม่ถึงยี่สิบห้าด้วยซ้ำ ยี่สิบเอ็ดก็จากไปแล้ว พ่อเกรงว่าเจ้าจะน้อยกว่านางด้วยซ้ำ เจ้าอาวาสชิงหลานก็ยังหาวิธีทำลายคำสาปนี้ไม่ได้ นักพรตหญิงผู้นั้นเล่า”

“ท่านพ่อ นางอายุยังน้อยมากนะเจ้าคะ” อายุน้อยกว่าตนด้วยซ้ำ

“คนในลัทธิเต๋าพูดคุยเรื่องความสามารถ ไหนเลยจะเอ่ยถึงอายุยังน้อย ไม่ใช่อายุมากก็จะได้เป็นผู้อาวุโส แต่เป็นความสามารถ พูดถึงว่าหมัดผู้ใดจะแข็งแกร่งกว่ากัน” ซือถูไม่ยอมแพ้

ซือเหลิ่งเย่ว์ยิ้ม เอ่ย “ท่านก็เพิ่งเจอนางครั้งแรก ไยจึงนับถือนางไม่ลืมหูลืมตาแล้วเล่า”

“นางช่วยเจ้ากลับมานะ” ซือถูเอ่ย “เย่ว์เอ๋อร์ พ่อไม่ทำอะไรเลยไม่ได้ เฝ้ามองดูวันที่เจ้าจะจากไป นั่นย่อมไม่ยุติธรรม ต่อให้มีความเป็นไปได้เพียงเล็กน้อย พวกเราก็ต้องลอง ยื้อเจ้าเอาไว้ได้ จ่ายเงินหลายแสนแล้วจะอย่างไร เจ้ายังอยู่ก็พอแล้ว”

ซือเหลิ่งเย่ว์นิ่งเงียบ เอ่ย “ยังไม่เอ่ยเรื่องนี้ เราไปขอบคุณพวกเขากันก่อนเถิดเจ้าค่ะ”

ซือถูมุ่งมั่นอยู่ในใจ รอเย่ว์เอ๋อร์พักผ่อนแล้ว เขาจะไปขอร้องนักพรตหญิงผู้นั้นที่เรือนด้านหน้าโนเวลพีดีเอฟ

“ช่างเถิด เห็นแก่เจ้าที่มีใจกตัญญูมารับอาจารย์ กลับไปก็ได้” นักพรตเฒ่าเอ่ยอย่างวางท่า

ฉินหลิวซีมองปราดเดียวก็รู้ว่าตาเฒ่าแสร้งทำเป็นวางท่า เอ่ยเสียงเย็น “ไม่ต้องฝืนใจ ท่องเที่ยวมากๆ ก็ดี ท่องไปทั่วหล้านั้นอิสระเพียงใด…”

“ศิษย์เนรคุณอย่าได้เอ่ยเหลวไหล” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนตำหนิ “อาจารย์อายุเพียงนี้ ไหนเลยจะท่องไปทั่วหล้าได้”

“อ้อ เช่นนั้นก็ดี หลังจากนี้ก็บำเพ็ญเพียรอยู่ในวัดเถิด”

ศิษย์อาจารย์มองหน้าจ้องตากันเขม็ง สายตาไม่ยอมกัน

ในที่สุดนักพรตชื่อหยวนก็เมินเฉยต่อศิษย์เหลวไหลผู้นี้ ยอมประนีประนอม กลับก็กลับ เปลี่ยนร่างทองท่านปรมาจารย์เป็นเรื่องใหญ่ ต้องกลับไปจัดการ

จริงๆ นะ ไม่ได้เกรงกลัวต่อศิษย์เนรคุณแม้เพียงนิด

เหอหมิงมองศิษย์อาจารย์สองคนที่ถกเถียงกันไปมา นิ่งอึ้งไปนานแล้ว เอ่ยเสียงเบากับอาจารย์ปู่ของตน “อาจารย์ปู่ อาจารย์อาปู้ฉิวอารมณ์รุนแรงมาก ยังกล้าบีบบังคับอาจารย์ นักพรตชื่อหยวนใจดีกับนางแล้ว”

น่าอิจฉาจัง

เจ้าอาวาสชิงหลานปรายตามองเขาเล็กน้อย ยิ้มใจดี “หากเจ้ามีความสามารถมากมายอย่างอาจารย์อาปู้ฉิวของเจ้า เติบโตมาด้วยตนเอง ต่อให้เจ้ามาฉี่รดบนหัวอาจารย์ปู่ข้าก็ยอมเจ้า”

เหอหมิงตกใจหน้าซีด “!”

เติบโตมาด้วยตนเองทั้งหมด นั่นลำบากเกินไปหรือไม่

ลำบากเป็นแน่หากไร้ฝีมือ อ่า คนมีความสามารถทำอะไรได้มากมายใช่หรือไม่

รู้สึกหมดความอิจฉาขึ้นมาทันใด

เจ้าอาวาสชิงหลานส่งเสียงหึเบาๆ มองไปยังฉินหลิวซีอีกครั้ง ชื่อหยวนเจ้านักพรตเฒ่าผู้นี้ได้ของล้ำค่ามาแล้วจริงๆ

“ท่านนักพรตทั้งหลายยังไม่ดื่มกันหรือ” ซือถูและซือเหลิ่งเย่ว์เดินเข้ามา มีผู้ดูแลเดินตามหลังเข้ามา ถือถาดรองด้วยผ้าไหมสีแดงเข้ามาด้วย

เจ้าอาวาสชิงหลานยกมือขึ้นประสานคารวะ เอ่ย “อีกไม่กี่ชั่วยามฟ้าก็สว่างแล้ว คงต้องบอกลาท่านซือถูแล้ว”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

“จะไปแล้วหรือ” ซือถูตกใจ ไม่มองเขา รีบเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าฉินหลิวซี เอ่ย “ท่านนักพรตน้อย ท่านก็จะไปหรือ”

“ท่านพ่อ” ซือเหลิ่งเย่ว์เห็นว่าบิดาของตนนั้นไม่อาจควบคุมตัวเองได้ รีบเข้าไปดึงเขาเอาไว้ มองไปยังฉินหลิวซี คารวะพลางเอ่ย “ไม่รู้ว่าต้องเรียกท่านว่าแม่นางฉินหรือนักพรตฉินดีหรือ”

“การเรียกขานเท่านั้น แล้วแต่เจ้าเถิด”

“แม่นางฉิน” ซือเหลิ่งเย่ว์คารวะอีกครั้ง เอ่ย “ระหว่างทางได้ท่านช่วยเหลือข้า ยังช่วยข้าจากวิญญาณเร่ร่อนเหล่านั้น บุญคุณใหญ่หลวง ข้าซือเหลิ่งเย่ว์จะจดจำเอาไว้”

ฉินหลิวซียิ้มบาง “เป็นโชคชะตาแล้ว”

ใครจะไปคิดว่าวิญญาณที่เก็บมา จะเกี่ยวข้องกับเจ้าอาวาสชิงหลานกับท่านอาจารย์เล่า โชคชะตาทั้งนั้น

ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ย “เป็นโชคชะตา แต่ต้องขอบคุณท่านแล้ว เหล่าติง”

ผู้ดูแลยกถาดขึ้นมา ซือเหลิ่งเย่ว์ดึงผ้าแดงออก หยิบตั๋วเงินปึกหนึ่งด้วยสองมือออกมาจากถาด “ข้าเป็นสามัญชนธรรมดา นี่เป็นน้ำใจของข้า ถือว่าช่วยอารามของท่านเติมน้ำมันตะเกียง ขออย่าได้รังเกียจ”

ดวงตาของฉินหลิวซีและนักพรตชื่อหยวนมองไปยังตั๋วเงิน หนังตากระตุก ตั๋วร้อยตำลึงปึกหนึ่ง ต้องมีมากกว่าสองพันตำลึงอย่างแน่นอน

ศิษย์อาจารย์มองสบตา โชคลาภที่ไม่คาดคิด รวยแล้ว

***********************

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท