ถ้าเป็นเรื่องของรูปลักษณ์ ท่านเจ้าสำนักดูเหมือนจะยอมรับเจ้าจิ้งจอกอยู่ในที
เขาคอยหรี่ตามองดูอีกฝ่ายอยู่เสมอ
“ดื่มสิ” ท่านเจ้าสำนักเทสุราลงมาจอกหนึ่ง ปัดเบาๆจอกสุรานั้นก็ไปหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าจิ้งจอก
“ตระกูลซูของข้า ไม่ดื่มสุรา” เจ้าจิ้งจอกไม่แม้แต่จะมองดู ตั้งแต่ต้นจนจบเอาแต่จ้องมาที่เขา “เจ้าไม่จำเป็นจะต้องมอมเหล้าข้า อยากรู้อะไร ข้าจะบอกเจ้าเอง”
เปิดอกคุยกันตรงๆ จึงจะเป็นรูปแบบของเขา
เขาไม่ชอบการพูดจาอ้อมค้อมวกวนไปมา
ท่านเจ้าสำนักไม่เปลี่ยนสีหน้า ข้างแก้มยังคงมีสีแดงระเรื่อ
“มีตระกูลซูด้วย….” เขาทบทวนแซ่นี้เบาๆ “ข้าเคยได้ยินว่าพวกจิ้งจอกล้วนมาจากชิงชิว[1]และถูซาน[2]เป็นหลัก ไม่เคยได้ยินแซ่ซูมาก่อน”
อยู่ในดินแดนจิ่วโจวมานานถึงครึ่งปีแล้ว กับเรื่องของเผ่ามารและปีศาจต่างๆจะมากจะน้อยเขาก็พอจะรู้มาอยู่บ้าง
เพียงแต่ยามปกติมิได้ใส่ใจเท่าไร
เจ้าจิ้งจอกถึงกับกรอกตามองบน เอ่ยเสียงเย็นว่า “สายตระกูลลึกลับที่มีอยู่มาแต่โบราณ ซุกงำประกายอยู่เสมอ ลูกหลานสายตระกูลซูมีแต่คนงาม พี่สาวของข้าคือพระสนมต๋าจี่ รู้จักหรือไม่?”
“ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย” ท่านเจ้าสำนักแกว่งจอกสุราเบาๆ น้ำสุราในจอกกระทบแสงจันทร์เป็นประกยระยิบระยับ
เจ้าจิ้งจอก “……” ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่งดงามเย้ายวนไปแล้ว แต่ยามที่พูดคุย คนผู้นี้ก็ยังสามารถยั่วโทสะผู้อื่นได้อยู่ดี
“สรุปว่า ตระกูลซูของข้านอกจากจะเป็นสายตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าปีศาจแล้ว ยังเป็นเผ่าปีศาจที่งดงามที่สุดอีกด้วย เจ้ารู้แค่นี้ก็พอแล้ว” ปลายนิ้วของท่านเจ้าสำนักกระตุกน้อยๆ เขายักคิ้วขึ้นมา ในดวงตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยประกายจากแสงจันทร์ “งดงามเหมือนศิษย์น้อยหรือ?”
เจ้าจิ้งจอกชะงักไปเล็กน้อย ในอ้อมแขนของเขายังคงตระกองกอดบุปผาวิญญาณเอาไว้ พักใหญ่ค่อยตอบว่า “งดงามคนละแบบกัน”
คนหนึ่งคือผู้ที่งดงามที่สุดในเผ่าปีศาจ อีกคนคือคนที่งดงามที่สุดในใจของเขา นั่นย่อมไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
ยังดีที่ท่านเจ้าสำนักมิได้สนใจในตระกูลซูของเขาเท่าไรนัก ดังนั้นจึงเป็นฝ่ายหันเหหัวข้อสนทนา
“ซื่อมั่ว คืออาจารย์ในอีกดินแดนหนึ่งของศิษย์น้อย”
เขาเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาสั้นๆด้วยความมั่นใจ และตรงประเด็น
ถึงแม้ว่าชื่อของซื่อมั่วที่เอ่ยออกมาจากปากของศิษย์จะไม่บ่อยครั้งเท่าชื่อของจีเฉวียน
แต่เขาก็เชื่อว่า ซื่อมั่วผู้นี้เป็นคนสำคัญสำหรับศิษย์น้อยอย่างยิ่ง
พอได้ยินเขาเอ่ยขึ้นมา เจ้าจิ้งจอกก็หรี่ตาลงอีกครั้ง พลางหัวเราะออกมาอย่างเ**้ยมเกรียมอยู่บ้าง
“ใช่แล้ว เขายังเป็น….”
พอพูดถึงตรงนี้ เจ้าจิ้งจอกก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ในแววตาปรากฏแสงเย็นยะเยือกที่เข้มข้นขึ้นมา ร่างท่อนบนของเขาโน้มเขาไป ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นจ้องเขม็งไปที่ท่านเจ้าสำนัก
หางจิ้งจอกสีแดงทั้งเก้าเส้นเคลื่อนไหวอย่างคึกคักและรวดเร็ว
“เป็นคู่แค้นที่สังหารข้าอีกด้วย….”
พลังที่พวยพุ่งออกมาจากร่างกำจายออกมาจนเป่าเสื้อผ้าและเส้นผมของท่านเจ้าสำนักพลิ้วออกไปด้านหลัง
แต่ว่าตัวเขาก็ยังคงนั่งนิ่งอย่างผ่าเผย แม้แต่ขนตาก็ไม่กระพริบ
เพียงเอ่ยอย่างเอาเหตุเอาผลว่า “เจ้าเป็นบุรุษที่เหมือนกับสตรี นิสัยก็ออดอ้อนออเซาะ ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าขัดนัยตา”
เจ้าจิ้งจอกเงียบไปครู่หนึ่ง “ข้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังด่าข้า”
ท่านเจ้าสำนัก “จิ้งจอกขี้อ่อย อย่าได้คิดว่าเป็นความรู้สึก มันใช่อยู่แล้ว”
เจ้าจิ้งจอกที่งดงามและเย้ายวนถึงกับพูดไม่ออก หมัดของเขาส่งเสียงดังกรอบแกรบออกมา
แทบจะอยากยกหมัดชกใส่คนผู้นี้สักครั้งในทันที ต่อยมันให้ตายไปเลย!
แต่พอคิดถึงคนผู้นั้น ก็ได้แต่สะกดอารมณ์ ลงไปก่อน
“เห็นแก่อาหลัน ข้าจะไม่ถือสาเอาความกับเจ้า แต่ว่าเรื่องที่ตอนนั้นเจ้าทำให้ข้าต้องพบความทุกข์จากการตาย วันนี้เจ้าจะต้องได้รับผลตอนแทนนับสิบเท่า!”
เจ้าจิ้งจอกพูดแล้วก็มองดูเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง “ยังมี ข้าเรียกว่า ซูเยา”
เขาไม่ชอบให้มาเรียกว่าจิ้งจอกขี้อ่อยอะไรนั่น เพราะว่าเขาไม่ได้อ่อยใครสักหน่อย หากว่าเขาอ่อยได้สำเร็จ ไหนเลยอาหลันจะยังมีบุรุษอื่นในหัวใจได้อีก?
“ซูเยา….” ท่านเจ้าสำนักทวนชื่อของเขาช้าๆ พลางส่ายศีรษะ “ชื่อของเจ้านี้ ยังไม่น่าฟังเท่ากับ จีต้าฉุยของข้า”
ซูเยา “….”
ไม่ถูกแล้ว เมื่อครู่ตอนที่ปีศาจน้อยมารายงานเขา ยังบอกว่าเมื่อกลางวันนี้เจ้านี้ประกาศออกมาว่าตนเองมีนามว่า ตู๋กูต้าฉุย ทำไมถึงได้เปลี่ยนเป็นจีต้าฉุยเสียแล้วละ?
แล้วชื่อนี้พอได้ยินแล้ว ทำไมมันถึงได้รู้สึกแปลกอย่างไรก็ไม่รู้
ว่าแล้ว ท่านเจ้าสำนักก็ใคร่ครวญอย่างจริงจังครู่หนึ่ง “ที่จริงแล้ว ศิษย์ของข้ามีพรสวรรค์ในการตั้งชื่อระดับปรมาจารย์ เอาไว้วันไหนให้นางตั้งชื่อให้กับเจ้าใหม่ ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นบุรุษที่ดูเหมือนสตรี แต่ก็ยังนับว่าเข้าตาอยู่บ้าง ชื่อนี้ไม่เหมาะกับเจ้าเท่าไหร่”
ซูเยาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าวิธีการเลือกประเด็นหลักของเขาจะแปลกประหลาดเช่นนี้
ไม่เพียงไม่ได้ถามเรื่องของซื่อมั่ว หรือว่าเรื่องของตนให้มากๆ กลับเอาแต่สนใจเรื่องชื่อ มีอะไรสนุกนักหรือ?
“อ้อจริงสิ ดังนั้นเจ้าจึงคิดว่าข้าก็คือซื่อมั่ว?” วิชาอ่านใจของท่านเจ้าสำนักย่อมไร้เทียมทานอยู่แล้ว
สายตาของซูเยาเข้มข้นขึ้นมา ขณะที่กำลังจะพูดออกไป ก็ได้ยินท่านเจ้าสำนักเอ่ยอีกว่า “ศิษย์น้อยกับเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนต่างก็คิดว่าข้าคือจีเฉวียน เช่นนั้นเจ้าลองบอกมาซิ ว่าข้าคือผู้ใดกันแน่?”
เขาคือใครกันแน่ คำถามนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน
แต่เพราะว่าในสมองตอนนี้อยู่ก็เกิดมีภาพความทรงจำที่พร่ามัว ทำให้เขาเกือบจะเชื่อว่าตนเองคือจีเฉวียนไปแล้ว
แต่พออยู่ๆเจ้าจิ้งจอกเก้าหางตัวนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นมา และบอกว่าเขาคือซื่อมัว
เขารู้จักวิชาอ่านใจ ทั้งยังรู้ว่าเจ้าจิ้งจอกนี่พูดแต่ความจริง
“ตอนนั้นเจ้าเหวี่ยงข้าลงไปในวงล้อวัฏสงสาร ทำให้ข้าต้องสูญเสียความทรงจำ และร่างที่แท้จริง ต้องเป็นชายแต่งหญิงอยู่ในต้าโจวหลายต่อหลายปี รับความทุกข์ยากมากมาย ต่อให้เจ้ากลายเป็นขี้เถ้า ข้าก็ยังจดจำเจ้าได้”
ซูเยาเอ่ยอย่างมั่นใจ ตอนที่เกิดระเบิดครั้งใหญ่ที่ก้นทะเลนั้น ความทรงจำทั้งหมดของเขาก็ฟื้นคืนมา พร้อมกับความความจำเรื่องชาติที่แล้วด้วย
หลังจากนั้น ก็มีคนในตระกูลซูมาตามหาเขา พาเขากลับไปยังสถานที่ที่ควรจะอยู่
แต่ตลอดระยะเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยหยุดตามหาอาหลันเลย
และในที่สุด ก็ตามหานางจนเจอแล้ว
แต่ว่าเขาก็ไม่กล้าไปเจอกับนางโดยง่าย ….ตัวเขาในตอนนี้ กลายเป็นปีศาจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไปแล้ว
และนางก็คือยอดปรามาจารย์คุณไสยที่ปราบปรามเหล่าภูติผีปีศาจ เขาและนางยืนอยู่กันคนละขั้วแต่แรกแล้ว
สิ่งที่เขาสามารถทำได้เพื่อนาง ก็คือนำผู้คนที่นางให้ความสำคัญกลับคืนสู่ข้างกายของนาง
ถึงแม้ว่า เขาจะเกลียดเจ้าคนผู้นี้อย่างที่สุด
แต่ว่าของเพียงเป็นสิ่งที่อาหลันชอบ สำหรับเขาแล้ว ก็มีแต่จะสนับสนุนเท่านั้น
พี่สาวเคยหัวเราะเยาะเขา ว่าเขามันชอบเป็นตัวสำรอง
แต่ว่าตัวสำรองก็มีข้อดีของตัวสำรองมิใช่หรือ?
การรักชอบคนผู้หนึ่ง ก็คือการมีนางอยู่ในหัวใจ เมื่อได้เห็นนางมีความสุข ตนเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย
เขาไม่เคยคิดจะบีบบังคับแย่งชิงมาก่อนเลย
พอท่านเจ้าสำนักได้ยินคำพูดของเขา สมองก็ครุ่นคิดทบทวนดูอยู่ครู่หนึ่ง แต่ว่าก็ไม่มีภาพใดที่เกี่ยวข้องกัน
พอศิษย์น้อยไม่อยู่ข้างกาย สมองของเขาก็เหมือนจะแจ่มใสขึ้นมามาก
ความเจ็บปวดก็เบาลงไปไม่น้อย
เห็นเขาไม่พูดอะไร ซูเยาก็วางบุปผาวิญญาณลงไปบนโต๊ะเตี้ย “ดอกไม้ดอกนี้มอบให้อาหลัน อย่าได้บอกนางว่าข้าหมอบให้”
ท่านเจ้าสำนัก “ตัวสำรองคืออะไร?”
ซูเยา “! ! !”
เขาอยากจะต่อยกับคนผู้นี้จริงๆ
เจ้ามัน…เจ้าแอบอ่านใจของผู้อื่นได้ก็แล้วไปเถอะ แต่ว่าอย่าได้สาดเกลือลงมาในปากแผลของผู้อื่นได้หรือไม่ นี่มันเท่ากับการเหยียบย่ำจิตใจของผู้อื่นชัดๆ
ตัวสำรองก็คือ คนที่ข้ารัก นางไม่ได้รักข้า แต่ข้าก็ยังยินดีจะเฝ้ารอเฝ้าปกป้องทนุถนอม เป็นสุนัขต่ำต้อยที่เชื่อฟัง พอใจแล้วหรือไม่?
พอได้รับคำตอบจากความในใจของเขา ท่านเจ้าสำนักก็ถามกลับไปอีกว่า “แล้วศิษย์น้อยชมชอบผู้ใดกัน? ซื่อมั่ว จีเฉวียน หรือว่าตัวข้า?”
…………………
[1] 青丘 ชิงชิว :ชื่อดินแดนในแผนที่ของเผ่นดินจีนยุคโบราณ ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตซานตงของจีน ได้ชื่อว่ามีอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี (มีแต่ฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง)
[2] 涂山หุบเขาถูซาน:หุบเขาโบราณที่ถูกอ้างอิงอยู่ในแผ่นที่โบราณของจีน มีข้อมูลหลายสาย เช่น ตั้งอยู่ในอันหุยเป็นที่อยู่ของชนกลุ่มน้อยเผ่าจิง ซึ่งเป็นชมกลุ่มน้อยที่อพยพมาจากตอนบนของเวียดนามอีกที หรือหุบเขาในเจียงหนาน, เจ๋อเจียงและฉงชิ่ง