ตอนที่ 221 มองพวกเราราวกับมองตัวปัญหา
ท่าทางสบายๆ ของฉินหลิวซี ทำให้ทุกคนแข็งทื่อไปแล้ว
เมื่อกลับมาอยู่บ้านเดิม แม้จะไม่เรียกว่าฉินหลิวซีมีความสัมพันธ์สนิทสนมใกล้ชิดกับครอบครัวนี้ แต่การแสดงออกยังคงนอบน้อมและเกรงใจ ก่อนหน้านี้อยู่ร่วมกันแม้จะหยั่งเชิงกันอยู่บ้าง แต่ก็พยายามปรับตัวให้เข้ากัน
แต่ตอนนี้ฉินหลิวซีได้ทำลายความนอบน้อมเกรงอกเกรงใจนี้แล้ว ฉีกหน้ากันตรงๆ แสดงความไม่พอใจออกมาชัดเจน
การฉีกหน้าครั้งนี้ ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็กต่างก็สัมผัสได้ คนอายุน้อยต่างตกใจอยู่ในใจ หันมองสีหน้าผู้ใหญ่ ยิ่งไม่สงบขึ้นมา
คนก่อเรื่องอย่างฉินหมิงเย่ว์สองพี่น้อง กำลังคิดว่าฉินหลิวซีบ้าไปแล้วหรือไม่ หรือผู้ใดไปเหยียบหางนางเข้า ทำให้นางคายหนามแหลมคมออกมา พุ่งพล่านเสียจนใครเข้ามาก็แทงผู้นั้น
ฉินหมิงฉุนและฉินหมิงเป่าที่มีความกล้าสักหน่อย คิดในใจว่าพี่หญิงใหญ่แสดงอำนาจและบ้าดีเดือดเพียงนี้ ช่างมีความสามารถยิ่งนัก
ไม่ผิดเลยที่ในสายตาของพวกเขาจะเห็นว่าต้องเป็นคนที่มีความสามารถเท่านั้นจึงจะมีอำนาจบ้าดีเดือดได้ คนไร้ความสามารถแน่นอนว่าต้องหดตัวดังเช่นลูกไก่ อย่างเช่นพวกเขา
สะใภ้หวังด่าพวกสะใภ้เซี่ยคนโง่อยู่ในใจ พูดไม่เป็นก็ไม่ต้องเสนอหน้ามาแสดงตัว ทำให้นางพองขนแล้ว มันดีต่อตัวพวกเขาหรือ
เมื่อหันมองไปทางนายฉินผู้เฒ่า เห็นใบหน้าของนางมีความโกรธจางๆ ใบหน้าเหี่ยวย่นแทบยู่เข้าหากัน น่าปวดหัวยิ่งนัก
“ซีเอ๋อร์ ดูเจ้าสิ น้องๆ ไม่รู้ความ พูดไม่เป็น เจ้าเป็นพี่สาวคนโต ชี้แนะไม่กี่ประโยคก็เป็นวาสนาพวกเขาแล้ว ไยต้องโกรธด้วยเล่า” สะใภ้หวังบ่น “วาจาของเจ้านี้ คงทำให้พวกเขาตกใจกลัวจนไม่กล้าพูดคุยกับเจ้าแล้ว”
ฉินหลิวซีรู้ สะใภ้หวังพูดเป็น ตอนนี้ก็ใช่ วาจานี้กำลังบอกว่าน้องๆ ไม่รู้ความ แต่มีหรือจะไม่ใช้กำลังไกล่เกลี่ย
กับสะใภ้หวังนั้น หากเป็นเมื่อก่อนฉินหลิวซียินดีไว้หน้านาง ปล่อยไปทั้งแบบนี้
แต่วันนี้ เพราะเรื่องของตาเฒ่าทำให้นางอารมณ์ขุ่นมัว คนเหล่านี้ยังมาชี้ไม้ชี้มือ เช่นนั้นก็เป็นการรนหาที่แล้ว
ฉินหลิวซีไม่ยอม
“ท่านแม่ ความหมายของท่านเกรงว่าพวกเขาไม่เข้าใจไม่พอ ในใจคงคิดว่าท่านเรื่องมาก” ฉินหลิวซีเอ่ย “ตัวข้านี้ เกลียดที่สุดคือคนที่ปากบอกว่าหวังดีกับข้าทว่าใจมุ่งร้าย ดังนั้นวาจาไม่น่าฟังก็ต้องพูดก่อน คราวหน้าคราวหลังจะได้รู้จักผิดถูกบ้าง”
“ข้าไม่ต้องการความหวังดีจากพวกเจ้า พวกเจ้ายังไม่มีความสามารถมากพอที่จะไปหวังดีกับผู้ใด ตระกูลฉินกำลังตกต่ำแพ้พ่าย ตัวพวกเจ้าเองก็มิได้ดีไปมากกว่าผู้ใด อย่าได้มาชี้ไม้ชี้มือสั่งการผู้อื่น มิเช่นนั้นคงได้สร้างความเบื่อหน่ายและขายหน้าตนเองแล้ว เช่นเจ้า ฉินหมิงฉี สี่ตำราห้าคัมภีร์เจ้าอ่านแล้วหรือ เอาแต่อ่านหนังสือเอาแต่กินข้าวรู้หรือไม่เงินตระกูลฉินมาจากที่ใด เงินมาจากที่ใดให้เจ้าได้เล่าเรียนสวมชุดดีๆ มีข้าวกิน สิ่งเหล่านี้เจ้าเองยังไม่เข้าใจ ยังมาเอ่ยชื่อเสียงสตรีอะไรกับข้า เจ้าอ่านหนังสือปรัชญา แต่จำเอาไว้ว่าเจ้ามิใช่นักปราชญ์ เจ้าก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่กินข้าวเหมือนกันเท่านั้น”
ฉินหมิงฉีขายหน้าจนแทบอยากเอาหน้ามุดดินหนี มองพลางมือกำแน่น
“และเจ้า ฉินหมิงเย่ว์ เจ้าเอาอะไรมาหวังดีกับข้า มีสิ่งใดมาชี้แนะพี่หญิงใหญ่ของเจ้า มาสิ เจ้าลองว่ามาสักอย่างสองอย่าง ข้าจะฟังเอาไว้”
ฉินหมิงเย่ว์ไม่คิดว่าฉินหลิวซีจะเอ่ยตรงๆ เช่นนี้ นางอายจนหน้าแดงก่ำ น้ำตาคลออยู่ในกระบอกตา
ฉินหมิงซินที่อยู่ข้างนางเห็นสายตาของฉินหลิวซีมาหยุดอยู่ที่ตน ศีรษะมึนชาขึ้นมา รีบหลบไปอยู่ด้านหลังญาติผู้พี่ นางไม่อยากถูกเอ่ยชื่อ
ฉินหลิวซีมองไปยังซ่งอวี่เยียนสองพี่น้อง สองคนนั้นกำลังก้มหน้าก้มตามองเสื้อผ้าที่สวมใส่ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตากับนาง
ยังมีเด็กอีกสองคน พวกเขากลับไม่กลัว สบตากับนางตรงๆ ฉินหมิงเป่าเอ่ยขึ้น “พี่หญิงใหญ่เอ่ยถูกแล้วทั้งหมด”
ฉินหมิงฉุน ประจบประแจงยิ่งนัก
เขาลอบมองฉินหลิวซี เม้มริมฝีปากเล็ก ไม่เอ่ยสิ่งใด
อนุวั่นเคยบอกแล้ว ตอนที่ปากของตนยังหาคำดีๆ ไม่ได้ก็หุบปากเป็นคนใบ้ไป ยอมเสียเปรียบดีกว่าเอ่ยผิดพลาดหาเรื่องให้ตนโดนตี
ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ก็คือสิ่งที่อนุวั่นบอกกระมัง
ฉินหลิวซีส่งเสียงหยัน ปรายตามองตัวสร้างสถานการณ์ในห้อง ไม่พูดแล้วหรือ เมื่อครู่มิใช่พูดเก่งนักหรือ
ฉินหมิงเย่ว์ทั้งโกรธทั้งอาย มองไปยังน้องชายตนเอง รู้สึกเหมือนสายตาที่พี่หญิงใหญ่มองมาที่เราสองคนนั้นราวกับมองตัวปัญหา
ฉินหมิงฉี กล้าๆ หน่อย ทิ้งความรู้สึกไป นางมองพวกเราเป็นตัวปัญหาจริงๆ
แม้ในใจจะคิดเช่นนั้นแต่กลับไม่กล้าส่งเสียงหยันออกมาแม้เพียงนิด
สะใภ้หวังเห็นว่าฉินหลิวซีเอาเด็กๆ อยู่หมัดแล้ว ทั้งขำและถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจ
หากเด็กๆ เหล่านี้เติบโตได้เพราะเรื่องในครั้งนี้ สามารถทำให้ฉินหลิวซีช่วยจัดแจงความวุ่นวายให้กลับมาถูกต้อง ไม่แน่ว่าคงไม่ต้องมาคอยกังวลเกี่ยวกับคนรุ่นนี้ของตระกูลฉินแล้ว
เป็นรัง (นก) ที่แข็งแรงขึ้น
สะใภ้หวังเกิดความหวังขึ้นมาเล็กๆ ในใจ
สะใภ้เซี่ยกลับเจ็บใจยิ่งนัก ลอบก่นด่าบุตรชายบุตรสาวอยู่ในใจ ไม่ได้เรื่องสักคน เอาแต่มองแล้วปล่อยให้ฉินหลิวซีข่มขวัญ
นางมองไปยังนางฉินผู้เฒ่า สายตาของอีกฝ่ายไหววูบไม่นิ่ง
สะใภ้เซี่ยอยากเอ่ยบางอย่าง ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ไยจึงไม่พูดแล้วเล่า หากไม่เอ่ยปากข้าก็จะคิดว่าพวกเจ้ายอมรับแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “จากนี้ต่อไป อย่าได้ชี้ไม้ชี้มือสั่งหรือวิจารณ์ผู้อื่น คิดก่อนว่าตนเองทำอะไรได้บ้าง อีกทั้ง คนอื่นข้าไม่สน พวกเจ้าคิดอย่างไรทำอย่างไรก็ทำไป แต่กับข้า ไม่ได้ ใครก็อย่าได้มาคิดชี้ไม้ชี้มือสั่งการข้า เพราะพวกเจ้าไม่มีคุณสมบัตินั้น”
“ต่อให้เห็นเจ้าเดินไปในเส้นทางที่ผิด ก็ต้องหุบปากไม่เอ่ยวาจาหรือ นี่ยังเป็นพี่น้องอยู่หรือไม่ รู้ทั้งรู้ว่าเจ้าผิด แต่ก็ได้เพียงดูเจ้า เจ้าจะสงบเงียบหรือ” ในที่สุดนางฉินผู้เฒ่าก็เอ่ยปาก
ทุกคนพ่นลมหายใจออกมา ในที่สุดบรรพบุรุษก็เคลื่อนไหวแล้ว
สะใภ้หวังขมวดคิ้ว “ท่านแม่…”
“ให้นางพูดเอง” นางฉินผู้เฒ่าหันมองด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ทุกคนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง การเผชิญหน้านี้ หายใจลำบากกว่าเมื่อครู่เสียอีก
ฉินหลิวซีก้มหน้าหัวเราะเบาๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตากับนางฉินผู้เฒ่า เอ่ยเสียงเรียบ “ท่านย่า ชีวิตของข้า ถูกกำหนดมาตั้งแต่ห้าขวบแล้วมิใช่หรือ ในเมื่อกำหนดแล้ว ยังมีสิ่งใดต้องเอ่ยอีกเล่า”
ชีวิตนี้ เป็นตระกูลฉินที่กำหนด
เหตุผลของ ‘นาง’ และตระกูลฉิน ชัดเจนมาตั้งแต่ห้าขวบแล้ว ที่เหลือ คือตัวเองและตัวของ ‘นาง’ เอง เพราะว่า ร่างกายนี้เป็นของ ‘นาง’ ดังนั้นนางมีครอบครัวในนามนี้ ทั้งหมดเป็นกรรม
แต่ก็เช่นนี้ นางให้พวกเขาอาศัย กินอยู่สุขสบาย ปกป้องเอาไว้ได้ นี่ก็เพียงพอแล้ว อย่างอื่น รักกันดังเลือดเนื้อเชื้อไข นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
จะบอกว่านางเลือดเย็นก็ช่าง เย็นชาก็ช่าง ตระกูลฉินได้อยู่ดีมีสุขทุกวันนี้ ก็เพราะสิ่งที่ ‘นาง’ ในตอนนั้นทิ้งเอาไว้
นางผู้เฒ่าหัวใจกระตุก สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน พูดไม่ออกขึ้นมากะทันหัน
เนิ่นนาน นางจึงถอนหายใจออกมา เอ่ย “ช่างเถิด เด็กๆ ออกไปเถิด สะใภ้ใหญ่สะใภ้รองพวกเจ้าอยู่ก่อน”
ทุกคนมองสบตากันทว่าไม่กล้าต่อต้าน ค่อยๆ ทยอยถอยออกไป
ฉินหลิวซีเหมือนคนไม่ได้ทำอะไร คารวะอย่างสง่างาม เดินออกไปไม่แม้จะหันกลับมามอง
นางผู้เฒ่ามองแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่หายลับไปหน้าประตู รู้สึกจุกอยู่ในใจ แน่นหน้าอกขึ้นมา