ตอนที่ 222 ไม่บังคับ
ฉินหลิวซีเดินออกมาจากเรือนนางฉินผู้เฒ่า ก่อนจะหยุดแล้วหมุนตัวหันกลับมา เด็กๆ ที่เดินตามหลังก็หยุดเท้าตามไปด้วย แต่ละคนหดมือหดเท้ามองนางท่าทางห่อเหี่ยว
ไม่รู้ทำไม ตอนเพิ่งกลับมาพวกเขายังรู้สึกยิ่งใหญ่กว่าที่เติบโตมาในเมืองหลวง มองฉินหลิวซีราวกับมองตะพาบน้ำ แต่ตลอดสองเดือนมานี้ กับข้าวน้ำชาเสื้อผ้าที่หยาบกระด้าง ได้ลบความเหนือกว่าของพวกเขาไปทีละน้อย
ยามนี้มองฉินหลิวซีอีกครั้ง โดยเฉพาะหลังจากผ่านสถานการณ์เมื่อครู่มา พวกเขาไม่กล้าบุ่มบ่ามแล้ว
พี่หญิงใหญ่ผู้นี้ เป็นคนที่ยังไม่เห็นแม้แต่ท่านย่าอยู่ในสายตา
พวกเขาหาเรื่องได้หรือ
ไม่ได้ สายตาของฉินหลิวซีมองผ่านมา แต่ละคนต่างก็หดหัว แม้แต่ฉินหมิงซินที่ดื้อรั้นที่สุดก็ยังไม่กล้าโผล่หัวออกมา
เห็นท่าทางว่าง่ายของพวกเขา ฉินหลิวซียิ้มหยัน “ถ้าเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก ก็คงไม่ต้องให้ข้าร้ายกาจแล้ว”
ทุกคน “!”
ถ้ารู้ว่าเจ้า ‘ร้าย’ ตั้งแต่แรก พวกเราคงหมอบไปแล้ว
ฉินหลิวซีหมุนตัวเดินหนีไป เดินไปเอ่ยกับฉีหวงไปพลาง “ควรเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก ข้าจะได้ไม่ต้องกลับไปเป็นคนโหดร้าย ข้าเป็นคนนิสัยดีอยู่แท้ๆ ตอนนี้ทำให้ข้าเหมือนเป็นอันธพาลไปแล้ว น่าเบื่อจริงๆ”
ทุกคน “…”
เป็นความผิดของพวกเขาหรือ
ในห้องของนางฉินผู้เฒ่า บรรยากาศอึมครึม
สะใภ้หวังจำต้องเอ่ยปากออกหน้าแทนฉินหลิวซี “ท่านแม่ ซีเอ๋อร์อายุยังน้อย แต่ก่อนลูกกับท่านพ่อของนางก็ไม่ได้เลี้ยงดูอยู่ข้างกาย คงจะอารมณ์ร้ายไปบ้างเล็กน้อย ต่อไปลูกจะสั่งสอนนางให้ดีเจ้าค่ะ”
สะใภ้เซี่ยยิ้มเย็น “พี่สะใภ้ใหญ่ แบบนี้ยังเรียกนางว่าขี้โมโหเล็กน้อยได้อีกหรือ นิสัยแบบนี้ข้านึกว่าเจอบรรพบุรุษท่านใดแล้ว ท่าทางข่มขู่นั่นเปิดโลกให้ข้าแล้วจริงๆ”
สะใภ้หวังเอ่ยเสียงเรียบ “หากไม่ใช่เพราะพวกน้องสะใภ้ที่หาเรื่องนาง นางจะเอ่ยเช่นนั้นหรือ”
สะใภ้เซี่ยใบหน้าเขียวขึ้นมา เอ่ย “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านเอ่ยเยี่ยงนี้ก็ไม่ถูก ข้าไปหาเรื่องนางตั้งแต่เมื่อใด เพียงเอ่ยไม่กี่ประโยคเท่านั้น แต่ท่านดูนางสิ ปากอย่างกับคมมีด พูดไม่หยุด เจอผู้ใดก็เชือดเฉือนผู้นั้น”
“เจ้าเอ่ยหนึ่งประโยค ฉีเอ๋อร์ก็เอ่ยหนึ่งประโยค เย่ว์เอ๋อร์ยังเอ่ยอีกหนึ่งประโยค ดูเหมือนพวกเจ้าแม่ลูกกำลังโจมตีนางอยู่” สะใภ้หวังเอ่ยเสียงเย็น “ข้าออกปากช่วยนาง นับว่าไว้หน้าน้องสะใภ้รองแล้ว หากเอ่ยต่อหน้าคนรุ่นหลังเหล่านั้น เช่นนั้นน้องสะใภ้รองก็คงไม่มีทางลงแล้ว ดังนั้นเจ้าว่ามีประโยคใดที่ข้าเอ่ยไม่ถูกต้องหรือ”
ฉินหลิวซีสั่งสอนน้องชายน้องสาวอายุน้อยกว่า นับว่าเป็นรุ่นเดียวกัน หากนางลงไปร่วม คงเกิดความขัดแย้งแล้ว
“ท่าน พี่สะใภ้ใหญ่ท่านกำลังเอ่ยแก้ตัว” สะใภ้เซี่ยโกรธไม่น้อย
สะใภ้หวังกำลังจะเอ่ยบางอย่างต่อ นางฉินผู้เฒ่าจึงตบโต๊ะเสียงดัง ตำหนิ “พอแล้ว พวกเจ้าเห็นว่าข้าแก่ไม่ตายสักทีหรืออย่างไร ถึงได้สร้างเรื่องมากมายให้คนแก่อย่างข้า อยู่ดีๆ กันมิได้หรือ”
ไฟโทสะของนางประทุขึ้น แน่นหน้าอก หายใจไม่ทันขึ้นมา
สะใภ้หวังและสะใภ้เซี่ยตกใจจนหน้าซีด คุกเข่าลงทั้งคู่ เอ่ย “ท่านแม่อย่าได้โกรธเลยเจ้าค่ะ ลูกผิดไปแล้ว”
ทำให้แม่สามีโกรธจนตายนี่ไม่ใช่ชื่อเสียงที่ดีนัก ให้พวกนางมีความกล้าเต็มสิบก็ไม่อาจยอมรับได้
ติงหมัวหมัวที่อยู่ด้านหลังนางฉินผู้เฒ่าเองก็ตกใจไม่น้อย
นางฉินผู้เฒ่าสูดลมหายใจลึกอยู่หลายครั้ง จ้องทั้งสองเขม็งเนิ่นนานกว่าจะสงบลงได้ จิบชาที่ติงหมัวหมัวส่งมาให้หนึ่งอึกแล้วจึงพ่นลมหายใจยาวออกมา ก่อนจะเอ่ย “พวกเจ้าก็มีอายุกันแล้ว อยู่ต่อหน้าแม่สามียังด่าทอสาดใส่กันเยี่ยงนี้ สมควรแล้วหรือ”
“ลูกผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ในบ้านมีเรื่องมากมาย ตระกูลฉินเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเจ้าที่เป็นลูกสะใภ้ยังไม่รวมใจกัน แต่ละคนต่างมีความคิดของตนเอง กลัวตระกูลฉินยังแตกแยกไม่พอหรือ ไม่รวมใจกันสร้างครอบครัว ตระกูลฉินจะกลับมาโงหัวขึ้นได้อีกเมื่อใดกัน” นางฉินผู้เฒ่าโมโหมาก หัวใจยิ่งเต้นเร็วขึ้น
สะใภ้หวังที่คุกเข่าอยู่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ เอ่ย “ท่านแม่ ลูกผิดไปแล้ว ขอท่านแม่อย่าได้โกรธ ต้องดูแลสุขภาพตนเองเจ้าค่ะ”
นางฉินผู้เฒ่ายิ้มเย็น “ดูแลสุขภาพอย่างนั้นหรือ แต่ละคนไม่ให้ข้าวางใจสักคน ข้ามีชีวิตอยู่ได้อีกสองปีก็นับว่าพระโพธิสัตว์คุ้มครองแล้ว”
สะใภ้หวังเงียบ
สะใภ้เซี่ยมีความสุขที่เห็นคนอื่นเป็นทุกข์
นางฉินผู้เฒ่าเห็นท่าทางของนาง ก็รู้ว่านางกำลังคิดอะไร เอ่ย “เจ้าเองก็อย่าได้ใจไป เจ้าใกล้จะเป็นแม่สามีอยู่แล้ว ไม่รู้จักล่าถอย ไม่รู้จักโต มีประโยชน์อันใดกัน”
“ท่านแม่ ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ” สะใภ้เซี่ยก้มหน้าพลางเอ่ย
นางผู้เฒ่าตำหนิทั้งสองจบถึงรู้สึกว่าความโกรธในใจนั้นหายไปบ้างแล้ว ทว่ายังไม่เรียกทั้งสองให้ลุกขึ้น
“คำของเจ้าเด็กซีพวกเจ้าสองคนก็ได้ยินแล้ว สะใภ้รองเจ้ากลับไปบอกกับพวกฉีเอ๋อร์ หลังจากนี้เจอเจ้าเด็กซี อย่าได้ไม่มีตาไปหาเรื่องนางอีก หากพวกเขาพี่น้องไม่มีวาสนาต่อกัน อยู่ให้ห่างกันก็พอแล้ว”
สะใภ้เซี่ยตกใจ “ท่านแม่”
สะใภ้หวังเองก็ขมวดคิ้ว นี่คือไม่บังคับ หรือทอดทิ้งฉินหลิวซีกัน
แต่นึกถึงนิสัยของฉินหลิวซี หัวใจนางก็สงบลง ไม่ว่าจะเป็นการไม่บังคับ หรือว่าปล่อยวาง ฉินหลิวซีก็ไม่มีทางอ่อนแอ
หากไม่บีบบังคับ ฉินหลิวซีก็จะเป็นอิสระสักหน่อย และไม่ต้องแสร้งแสดงท่าทางเป็นมิตร หากทอดทิ้ง ถ้าเกิดเป็นตระกูลอื่น สตรีถูกครอบครัวทอดทิ้งบางทีอาจลำบากและทุกข์ตรมที่สุด
แต่ฉินหลิวซีเล่า ต่อให้นางไม่มีชาติตระกูล เบื้องหลังก็ยังมีลัทธิเต๋า ตัวนางเองก็ยิ่งมีความสามารถไม่ด้อย
สะใภ้หวังรู้สึกสงบอยู่ในใจ ใบหน้ากลับไม่ได้แสดงออกมา
“อย่างไรก็เป็นวาสนา พ่อแม่พี่น้องก็เช่นกัน ไม่ใช่ทุกคนจะมีวาสนาต่อกัน วาสนาเบาบางก็คงไปกันไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปบังคับแล้ว” ในตอนที่นางฉินผู้เฒ่าเอ่ยเรื่องนี้ น้ำเสียงโศกเศร้ายิ่ง และไม่รู้ว่าถอนหายใจเพราะผู้ใด
เอ่ยมาถึงตรงนี้ สะใภ้เซี่ยไหนเลยจะกล้าเอ่ยสิ่งใดอีก ทำได้เพียงส่งเสียงตอบรับ กลับไปคงต้องจัดการเด็กพวกนั้น ไม่ให้มาขวางหูขวางตาฉินหลิวซี
ระหว่างที่เอ่ยยังเหลือบมองสะใภ้หวัง
นางผู้เฒ่าหันมามองสะใภ้หวัง เอ่ย “นางดูเหมือนอารมณ์ร้าย และเป็นคนมีความคิดเป็นของตนเอง พวกเราจะใครก็ไม่อาจควบคุมนางได้ และไม่มีความสามารถที่จะทำได้ เจ้าเป็นแม่ใหญ่สั่งสอนได้ก็สั่งสอน หากไม่ได้…ก็ช่างเถิด”
คิ้วสวยของสะใภ้หวังเลิกขึ้น เอ่ย “ท่านแม่ ซีเอ๋อร์นางปากร้ายจิตใจดี อีกทั้งยังเติบโตขึ้นมาในลัทธิเต๋า หากจะให้อยู่แต่บ้านอย่างเช่นสตรีในห้องหอทั่วไปคงยาก อย่างที่ท่านเอ่ย นางเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตนเองและรู้ขอบเขต รู้ว่าอะไรควรไม่ควร เพราะไม่มีใครที่ลัทธิเต๋าให้ความสำคัญเช่นเดียวกับนาง ลูกเชื่อ เส้นทางที่นางเดิน อย่างไรก็ถูกต้องเจ้าค่ะ”
นางสูดหายใจเข้าลึก เอ่ยต่อ “หากไม่เช่นนั้น ตระกูลของเรา ไหนเลยจะเป็นอย่างตอนนี้ มีบ่าวรับใช้ มีอาหารสามมื้อไม่ขาด กำลังจะทำกิจการ ยกฐานะของตระกูลขึ้นมาอีกครั้งได้ ดังนั้น ลูกเชื่อนาง ขอท่านโปรดเอ็นดูเด็กคนนี้บ้างเถิดเจ้าค่ะ”
คิ้วของนางฉินผู้เฒ่าไม่ขยับ เนิ่นนานก่อนจะเอ่ย “ข้าเหนื่อยแล้ว พวกเจ้าออกไปเถิด”
“เจ้าค่ะ”
พวกสะใภ้หวังทั้งสองคนลุกขึ้นก่อนจะขอตัวลาออกไป
เมื่อเดินออกมาแล้ว สะใภ้เซี่ยก็เอ่ยขึ้นว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ช่างปกป้องนางดุจบุตรีแท้ๆ”
สะใภ้หวังเอ่ยเสียงเรียบ “ข้ามีบุตรีเพียงคนเดียว แน่นอนว่าต้องปกป้อง ดังนั้นน้องสะใภ้รองต่อไปอย่าได้ทำร้ายจิตใจแม่ไก่ที่ปกป้องลูกอย่างข้า มิเช่นนั้นข้าคงกลัวว่าจะดูแลบ้านนี้มิได้อีกต่อไป ความเป็นอยู่คงได้แย่ลงแล้ว”
นางไม่สนใจสะใภ้เซี่ยที่ราวกับถูกบีบคอเอาไว้ไม่อาจกลืนน้ำลายได้ หมุนตัวเดินออกไป