คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 233 คร้านจะสนใจ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 233 คร้านจะสนใจ

มาก็มาแล้ว ไม่มีทางที่ฉินหลิวซีจะถามเพียงไม่กี่ประโยคแล้วไป นางเดินนำควงซานและราชาผีตงฟางขึ้นไปบนยอดเขาเกิงต้ง

น่าสงสารควงซาน วันแต่งงานยังไม่ทันแม้แต่เข้าหอ ต้องพาทั้งสองขึ้นไปบนยอดเขาทั้งใบหน้าที่บวมช้ำ ทั้งเกรงว่าการฝึกของตนจะไม่ดีพอ และคิดถึงความสัมพันธ์ของคนผู้นี้ มองผู้อาวุโสอย่างราชาผีตงฟางนอบน้อมต่อฉินหลิวซีราวกับสุนัขรับใช้ คนเหี้ยมโหดคนนั้นนางก็แสดงออกต่อเขาราวกับญาติเช่นกัน

ทว่าตนเอง ควงซานลูบใบหน้า อดซีดปากไม่ได้

เขาตายมากว่าพันปี หากเป็นการต่อยทั่วไปไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวด แต่เมื่อฉินหลิวซีเด็กคนนี้ต่อยมา หมัดนั้นกลับมีพลังมาด้วย ดังนั้นแม้จะเป็นร่างวิญญาณก็ยังรู้สึกถึงความเจ็บปวด

ไม่รู้ว่าคนผู้นี้มีที่มาอย่างไร ดูอายุของนางก็คงเพียงสิบห้าสิบหกปี เด็กบนโลกมนุษย์ในตอนนี้เหี้ยมโหดเพียงนี้แล้วหรือ

“คิดอันใดอยู่ ใต้เท้ากำลังถามเจ้าอยู่นะ” ราชาผีตงฟางจ้องเขาเขม็ง

ควงซานส่งเสียงอ่า ก่อนจะเอ่ยว่า “อะไรนะขอรับ”

ฉินหลิวซีเอ่ยถาม “นับตั้งแต่คืนพระจันทร์สีเลือด เจ้าก็ไม่เจอโจวเล่ออีกเลยหรือ”

“แน่นอนว่าไม่เลยขอรับ มิเช่นนั้นไหนเลยข้าจะกล้าสังหารขุนพลของเขา อยู่ในที่พำนักของเขาเล่า แน่นอนว่าต้องคิดว่าเขาตายไปแล้ว ถึงได้ทำ แม้ข้าจะบ้าคลั่งกับการฝึก แต่ก็พอมีสมองอยู่บ้าง” ควงซานภาคภูมิใจ

ฉินหลิวซีปรายตามองเขาเล็กน้อย หัวเราะ “คิดว่าหรือ เจ้ายังกล้าเอ่ย ไม่ลองคิดดู เกิดว่าเขาอาจถูกสิ่งใดจับตัวกักขังเอาไว้ ไม่อาจออกมาได้ชั่วขณะเล่า เกิดเขาหลุดออกมาได้ เจ้าจะทำเยี่ยงไร”

ควงซานชะงักไป ก่อนจะกลืนน้ำลาย “เป็น เป็นไปไม่ได้กระมัง”

“เรื่องยังไม่ถึงที่สุด เจ้าเองก็ไม่เห็นกับตาว่าวิญญาณของเขาดับสลายใช่หรือไม่”

ควงซานถูมือไปมา เอ่ย “หากเขากลับมา คงต่อสู้กันสักตั้ง สู้ไม่ได้ก็ตายอีกสักครั้ง”

“เจ้าช่างไม่กลัวตาย เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากเจ้าตายอีกครั้ง วิญญาณของเจ้าก็จะดับสลาย” ฉินหลิวซียิ้มขัน

ควงซานสองมือกำแน่น “คนตายครั้งเดียว บางทีตายอีก…”

“ไปตายที่อื่นไป” ราชาผีตงฟางถีบเขาออกไป ก่อนจะเบียดมาอยู่ตรงหน้าฉินหลิวซี เอ่ย “ใต้เท้า เจ้านี่คือคนโง่เขลาคนหนึ่งเท่านั้น พูดคุยกับเขาไปก็เสียเวลาเปล่าๆ”

ควงซาน “!”

เขาจะซื่อสัตย์ไปทำไมกันเล่า

หนึ่งคนสองผีขึ้นสู่ยอดเขา ยืนอยู่บนก้อนหินเกลี้ยงเกลามองไปรอบๆ

โชคดีวันนี้ก็เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง พระจันทร์ส่องสว่าง มองเห็นรายละเอียดได้ชัดเจน โดยเฉพาะดวงตาคู่นี้ของฉินหลิวซี ความมืดสำหรับนางคือยามกลางวัน ยามนี้กลับมองความมืดอึมครึมของป่าได้อย่างชัดเจน

ที่แห่งนี้สะอาดสะอ้าน

ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “พวกเจ้ามีสิ่งของของโจวเล่ออยู่หรือไม่ ข้าจะลองเรียกวิญญาณดู”

ราชาผีตงฟางส่ายศีรษะ

ควงซานลังเลอยู่ชั่วครู่ แกะผ้าผูกเอวสีแดงออกมาอย่างเขินอายยื่นออกไปให้

ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว “นี่คืออะไร สิ่งที่ข้าต้องการคือของใช้ส่วนตัวของโจวเล่อ เจ้าเอาผ้าคลุมศีรษะของภรรยาเจ้ามาให้ข้าทำไมกัน”

“นี่แหละ” ควงซานเอ่ย “นี่คือผ้าเช็ดเหงื่อของโจวเล่อ”

ฉินหลิวซี “!”

ราชาผีตงฟาง “?”

ทั้งสองมองควงซานด้วยสายตาครุ่นคิด นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีความชอบเยี่ยงนี้ ถ่อยเสียจริง

ควงซานเอ่ยแก้ตัวด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “ข้าเคยเห็นเขาแขวนผ้าแดงไว้ที่เอวบ่อยๆ ดูแล้วช่างน่าเกรงขาม อีกทั้งยังบ่งบอกถึงฐานะ จึงหยิบออกมาจากตู้เสื้อผ้าของเขาหนึ่งผืน พวกท่านอย่ามองว่ามันธรรมดา ความจริงแล้วมันถูกปักด้วยลายเมฆมงคลเลยหนา”

เหอะๆ เมฆมงคล มีคุณค่ามากจริงๆ

ฉินหลิวซีรังเกียจเล็กน้อย ให้ราชาผีตงฟางถือเอาไว้ นางกลับควานหากระดาษเหลืองออกมาจากแขนเสื้อหนึ่งแผ่น กัดปลายนิ้ว ใช้เลือดวาดยันต์เรียกวิญญาณ

ควงซานมองตาไม่กะพริบ วาดออกมาอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีพลัง คนผู้นี้มีความสามารถจริงๆ

ก็จริง หากไม่มีความสามารถ ก็คงไม่มีประกายแสงสีทองของคุณธรรมความดีเพียงนี้

ฉินหลิวซีเหยียบอยู่บนหินก้อนใหญ่พึมพำบทสวด “สวรรค์เปิดวิญญาณปฐพี วิญญาณปฐพีสวรรค์เปิด เก้ายมโลกใต้ธรณี สามพันโลกา ด้วยนามของข้า เรียกวิญญาณของท่าน ศิษย์ฉินหลิวซีขอเชิญวิญญาณโจวเล่อกลับมา ท่านปรมาจารย์เบื้องบนได้โปรดบัญชา!”

นางสะบัดมือ ยันต์ร่วงลงไปยังผ้าเช็ดเหงื่อที่ราชาผีตงฟางถืออยู่ ไฟลุกไหม้ขึ้น ราชาผีตงฟางรีบปล่อยมือด้วยความตกใจ

ผ้าเช็ดเหงื่อที่ถูกไฟเผาไหม้จนร่วงลงไปบนพื้น ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นฝุ่นผงในเวลาเพียงชั่วครู่ แล้วจึงล่องลอยไปตามสายลม

ควงซานตื่นเต้นไม่น้อย คงไม่อาจเรียกโจวเล่อกลับมาได้จริงๆ กระมัง

ทว่าหนึ่งคนสองผีรออยู่สักพักแล้วก็ไม่เห็นว่าวิญญาณของโจวเล่อจะปรากฏตัว แม้เศษเสี้ยวของวิญญาณก็ยังไม่มี

สีหน้าของฉินหลิวซีดูไม่ดีนัก

โจวเล่อไม่เหมือนควงซานที่ไม่รู้จักนาง ทุกครั้งที่นางเรียกหา เขาจะมา ยามนี้แม้แต่สถานที่ที่เขาสูญหายไปล่าสุดก็ยังไม่ปรากฏตัว เกรงว่าผีตนนี้คงวิญญาณดับสลายไปแล้วจริงๆ

ราชาผีตงฟางเองก็มีความรู้สึกสิ้นหวังและเจ็บปวด เม้มริมฝีปากไม่เอ่ยออกมาแม้เพียงคำเดียว

ควงซานเห็นสีหน้าตึงเครียดของทั้งสอง และโจวเล่อไม่ได้ปรากฏตัว แม้จะพรูลมหายใจออกมา แต่ในใจกลับไม่อาจวางใจได้จนถึงที่สุด กลับยิ่งหวาดกลัวกว่าเดิม

เป็นเรื่องใหญ่แล้วจริงๆ ใช่หรือไม่

มิเช่นนั้นจะไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของวิญญาณได้อย่างไร

“ใต้เท้า”

ฉินหลิวซีเขียนยันต์เชิญเทพอีกหนึ่งแผ่น แต่ครั้งนี้ไม่ได้เรียกโจวเล่อแต่เป็นวิญญาณตนอื่น อีกทั้งยังเป็น…

เฮยอู๋ฉัง

พรึบ

ราชาผีตงฟางและควงซานก้าวถอยหลังไปหลายก้าว คุกเข่าทำความเคารพ “ข้าน้อยคารวะท่านเฮยอู๋ฉัง”

เฮยอู๋ฉังกวาดตามองพวกเขา ส่งเสียงตอบรับอืมเบาๆ ก่อนจะหันมายังฉินหลิวซี ยกมือขึ้นประสานโค้งคำนับ “นานแล้วที่ไม่ได้เจอท่าน”

“ได้ยินว่าผีร้ายหนีออกมา เหล่าเฮยพวกเจ้าหาร่องรอยเจอหรือไม่” ฉินหลิวซีเอ่ยถาม

เฮยอู๋ฉังถอนหายใจ เอ่ย “พวกเราเองก็ตามมาจนถึงภูเขาอวี๋แต่ก็ไร้ร่องรอยแล้ว เหลี่ยมจัดเช่นนี้หากจะตามหาให้เจอ เกรงว่าคงต้องกำหนดระยะเวลาสักหน่อย”

“เป็นซื่อหลัวหรือ”

สีหน้าของเฮยอู๋ฉังพลันเปลี่ยน “ท่านรู้ได้อย่าง…”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

“การทำนายของตาเฒ่าบ้านข้า เพราะเหตุนี้ยังทำให้อาการบาดเจ็บเดิมกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง” ฉินหลิวซีสีหน้าไม่พอใจ

เฮยอู๋ฉังรีบเอ่ย “ท่านนักพรตไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

“มีข้าอยู่” ฉินหลิวซีเอ่ย “แต่เจ้าซื่อหลัวนี่ ขวางหูขวางตาข้านัก”

ตาเฒ่าต้องมาบาดเจ็บเพราะเขา

เฮยอู๋ฉังเอ่ยอย่างระมัดระวัง “พวกเราเองก็กำลังตามหา กระจายกำลังคนออกไปมากมาย หากหาเจอแล้วจะรายงานท่านอย่างแน่นอนขอรับ”

ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ระหว่างนี้เกรงว่าเจ้าต้องรายงานต่อเบื้องบนของเจ้า ราชาผีเป่ยฟางไม่อยู่แล้ว ข้าเรียกวิญญาณแล้ว แต่แม้แต่เศษเสี้ยววิญญาณก็ยังไม่มี ข้าสงสัยว่าเขาจะเจอเข้ากับผีร้าย”

เฮยอู๋ฉังสูดหายใจเข้าลึก “ท่านหมายความว่า”

“ถูกกลืนกินไปแล้ว”

เมื่อเฮยอู๋ฉังได้ยิน เช่นนี้ผีทั้งหมดคงไม่ดีแล้ว ซื่อหลัวหนีออกมากลืนกินวิญญาณผีไปไม่น้อย ยามนี้เมื่อหนีออกมาได้ก็ยังกลืนกินวิญญาณของราชาผีไปตนหนึ่ง กำลังฝึกฝนเฝ้าบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ใดสักแห่ง เมื่อกลับมาเป็นปกติ คงเกิดเรื่องใหญ่แน่แล้ว

ถึงตอนนั้นเจ้าหน้าที่โลกผีทั้งหมด คงมีโทษไปตามๆ กัน

“ใต้เท้า ท่านว่าจะสามารถ…”

“ไม่ได้” ฉินหลิวซีมือไพล่หลัง เอ่ย “ข้าคิดว่าพุทธศาสนาจัดการได้ หลายปีมานี้แสงเทียนของพวกเขารุ่งโรจน์เสียยิ่งกว่าลัทธิเต๋ามาก ในเมื่อได้รับความศรัทธาจากผู้มีจิตศรัทธามากมายก็ควรทำเพื่ออาณาประชาราษฎร์บ้างกระมัง ไหนเลยจะมีการรับเงินไม่ทำงานกันเล่า ส่วนลัทธิเต๋าของเรา กำลังยุ่งอยู่กับการฟื้นฟูและดึงดูดผู้มีจิตศรัทธาอยู่”

หากไม่ใช่เพราะอยากเอาคืนให้ชายชรา นางก็คร้านจะมาด้วยซ้ำ ใครสนใจเล่าว่าผู้ใดจะเป็นราชาผี อย่างไรก็ต้องถูกนางจัดการทั้งนั้น

เฮยอู๋ฉัง “…”

นี่กำลังไม่สนใจหรือไม่

“เจ้ากลับไปลองหาดูสักหน่อยว่าในยมโลกมีเศษดวงวิญญาณของโจวเล่อหรือไม่ หากไม่มี เช่นนั้นเขาก็คงจะ…ผู้ใดอยู่ตรงนั้น” ดวงตาของฉินหลิวซีเฉียบคม ถีบเท้าแล้วลอยตัวออกไปทันใด

————————–

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท