ตอนที่ 245 ความเจ็บใจของอาจารย์ชิงหลานและศิษย์
เจ้าอาวาสชิงหลานกำลังเทศนาอยู่กับลูกศิษย์และศิษย์หลานของตนเอง อยู่ๆ พลันหยุดชะงัก แววตามีแววเสียดาย ทั้งมีแววยินดีอยู่บ้าง
“ไท่ชิง มีแขกมาแล้ว ไปต้อนรับที่หน้าประตูสักหน่อย”
ไท่ชิงแปลกใจเล็กน้อย “ตอนนี้ค่ำแล้ว ผู้ใดมาเวลานี้กันขอรับ”
“ศิษย์น้องปู้ฉิวของเจ้า”
อ๋า นางมาอีกแล้วหรือ
ดวงตาของเหอหมิงระยิบระยับ เอ่ย “อาจารย์ปู่ อาจารย์ ศิษย์จะไปรับอาจารย์อาปู้ฉิวขอรับ”
เขาไม่รอให้ทั้งสองตอบกลับ วิ่งออกไปทันที
ไท่ชิงเห็นว่าศิษย์ของตนเองวิ่งเร็วจนไม่เห็นเงา จึงเอ่ย “ไม่รู้ว่าครั้งที่แล้วศิษย์น้องปู้ฉิวผู้นั้นทำอันใดกระทบกระเทือนเขาแล้ว ช่วงนี้อารมณ์เด็กคนนี้เดี๋ยวซึมเศร้าเดี๋ยวร่าเริง”
เจ้าอาวาสชิงหลานนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านตระกูลซือคืนนั้น รอยยิ้มจางหาย “คงถูกความสามารถของนางกระทบเข้ากระมัง”
ไท่ชิง “?”
เหอหมิงเห็นการเขียนยันต์ของฉินหลิวซีเพียงครั้งเดียว ก็กลุ้มอกกลุ้มอยู่ในใจมาโดยตลอด โกรธตนเองที่ไม่มียันต์ของฉินหลิวซี มิเช่นนั้นเขาได้เอามาฝึกวาดก็คงดี
ยามนี้ฉินหลิวซีมาอีกแล้ว อย่างไรเขาก็ต้องขอให้ได้สักแผ่น
เขารีบวิ่งมายังประตูขึ้นเขา เห็นฉินหลิวซียืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ เหอหมิงจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก้าวเดินเข้าไปหา สองมือประสานทำความเคารพอย่างนอบน้อม “ศิษย์เหอหมิงคารวะอาจารย์อาปู้ฉิว”
ฉินหลิวซีมองเห็นเขาดวงตาก็โค้งเป็นดวงจันทร์เสี้ยว เอ่ย “เป็นเจ้าอีกแล้ว เหอหมิงน้อย”
เหอหมิง “…”
เรียกชื่อก็ช่างเถิด ไยต้องเติมคำว่าน้อยด้วยเล่า
“อาจารย์ปู่รู้ว่าอาจารย์อามา เลยให้ข้ามาต้อนรับขอรับ” เหอหมิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์อา เชิญทางนี้ขอรับ”
“มีน้ำใจแล้ว”
ฉินหลิวซีเดินเข้าประตู ก้าวเดินขึ้นบันไดทีละก้าว สายตาเหลือบมองไปยังเหอหมิงที่มีท่าทีอึกอัก เอ่ย “มีอะไรอยากถามข้าหรือ”
“เอ่อ ไม่มีอื่นใดขอรับ เพียงแต่ลูกอมที่ท่านให้เป็นของขวัญเมื่อครั้งก่อน หลานกินแล้วดีมาก ชุ่มคอมาก ขอบคุณอาจารย์อาขอรับ” เหอหมิงเอ่ยติดๆ ขัดๆ
เดิมทีคิดว่าลูกอมนั้นเอาไว้ปลอบเด็ก หลังจากนั้นจึงมารู้ประโยชน์ทีหลัง เป็นลูกอมเม็ดหวานที่ช่วยให้ชุ่มคอได้ดีจริงๆ
ฉินหลิวซีนึกว่าเขาอยากขออีกสักขวด จึงเอ่ย “วันนี้ข้าไม่ได้เอาลูกอมมาด้วย”
เหอหมิงเห็นว่านางเข้าใจผิด รีบโบกมือ เอ่ย “หลานไม่ได้อยากได้ลูกอมขอรับ เอ่อ หลานขอยันต์สักแผ่นได้หรือไม่ขอรับ”
“ยันต์หรือ”
“ขอรับ อาจารย์อาวาดออกมาได้ยอดเยี่ยม ข้าอยากขอสักแผ่นมาฝึกขอรับ” เหอหมิงรู้สึกเขินอาย
ฉินหลิวซีหยิบยันต์หนึ่งแผ่นออกมาจากแขนเสื้อ เอ่ย “ไม่จำเป็นต้องขอ วันนี้เป็นวันเบิกเนตรร่างทองปรมาจารย์ลัทธิเต๋าของเรา พอดีมีผู้แสวงบุญขอเอาไว้ ข้าจึงนำติดตัวมาด้วยหลายแผ่น ยันต์คุ้มภัยนี้ให้เจ้า ช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายได้”
เหอหมิงดีใจ สองมือยื่นมารับ เอ่ย “ของล้ำค่าเพียงนี้ ขอบคุณอาจารย์อาขอรับ”
ฉินหลิวซีเห็นสีหน้าเต็มไปด้วยความยินดีของเขา จึงเอ่ย “หากอยากวาดให้ดี ต้องฝึกฝนให้มาก ทำวัดเช้าเย็นก็ต้องทำ เพื่อบำเพ็ญเพียรให้ล้ำลึก ก็จะวาดยันต์ออกมาได้อย่างคล่องมือ ยังมีสิ่งที่สำคัญที่สุด หัวใจแห่งเต๋า จะตั้งมั่นคง มีเต๋าอยู่ในใจ สำเร็จลุล่วงทุกประการ”
มีเต๋าอยู่ในใจ
เหอหมิงคล้ายมีแสงสว่างส่องเข้ามาในหัวราวกับบรรลุธรรม เมื่อตั้งสติกลับมาได้ ฉินหลิวซีก็เดินไปไกลแล้วจึงรีบตามไป
ไท่ชิงเฝ้าปรนนิบัติอยู่นอกห้อง เห็นฉินหลิวซี ก็ยกมือขึ้นประสาน “ศิษย์น้องปู้ฉิว เจอกันอีกแล้ว”
“ศิษย์พี่ไท่ชิง ไม่เจอกันหลายวัน ท่านสมบูรณ์พูนสุขยิ่งขึ้นอีกแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยตอบ
เอ่อ จะบอกว่าเขาเอิบอิ่มและเต็มเปี่ยมหรือ
ไท่ชิงยิ้มพลางเอ่ย “อาจารย์รอเจ้าอยู่ด้านในแล้ว เชิญเถิด”
ฉินหลิวซีพยักหน้า ตามเข้ามาด้านใน เหอหมิงตามมาด้านหลัง
ทุกคนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าอาวาสชิงหลาน ต่างคนต่างคารวะและเข้านั่งประจำที่ของตนเอง เหอหมิงรีบยกน้ำชา
“พิธีเบิกเนตรวันนี้เรียบร้อยดีหรือไม่” เจ้าอาวาสชิงหลานเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ข้าเองก็อยากไปร่วมพิธี น่าเสียดายมีผู้แสวงบุญท่านหนึ่งไม่สบาย มาให้ข้าตรวจชีพจรหลายคืน จึงไม่อาจไปได้”
“ขอบคุณที่ใส่ใจเจ้าค่ะ ทุกอย่างราบรื่นดีเจ้าค่ะ” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยิ้ม
“ดี เช่นนั้นเจ้ามาในครั้งนี้เพื่อมอบเครื่องรางให้แก่แม่นางซือหรือ” เจ้าอาวาสชิงหลานเอ่ยถาม
ฉินหลิวซีพยักหน้า “รับจิตศรัทธามาแล้ว แน่นอนว่าต้องตอบแทน ในเมื่อมาแล้ว จึงได้แวะเข้ามาคารวะเจ้าค่ะ”
ระหว่างนางเอ่ยก็หยิบถุงผ้าเล็กๆ ออกมาจากเสื้อยื่นไปให้ “ให้ท่านดูเจ้าค่ะ อาจต้องตาก็เป็นได้”
เจ้าอาวาสชิงหลานรับไปเทไข่มุกออกมาด้านนอก เห็นไข่มุกที่ถูกสลักอักษรเต๋ามงคลอย่างประณีต ตกใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
การสลักอักษรบนไข่มุกนับว่าเป็นงานทดสอบฝีมือและความละเอียดอ่อน อารมณ์ก็ต้องมั่นคง อย่างไรสลักผิดไปหนึ่งขีด ตัวอักษรนี้ก็ใช้ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงไข่มุกที่กลมเล็ก ต้องถือเอาไว้ในมือให้นิ่ง
ตอนนี้อักษรที่สลักไม่เลวไม่พอ ยังไม่มีติดขัดแม้เพียงนิด เห็นได้ว่าตอนสลักต้องจิตใจมั่นคงเพียงใด
“ศิษย์น้องแกะสลักมาหลายปีแล้วหรือ” ไท่ชิงก็ไม่คิดว่าฉินหลิวซีกำลังโม้ เพราะเครื่องรางหนึ่งชิ้นเป็นของดีหรือไม่ ต้องดูถึงจิตวิญญาณความศักดิ์สิทธิ์ และชิ้นที่อยู่ในมือนี้ เพียงถือเอาไว้ในมือก็สัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณ ไม่มีทางที่วันสองวันจะทำสำเร็จได้
เช่นนั้นหลายปีก่อนนางเพิ่งอายุเท่าใด ได้ยินว่าปีนี้เพิ่งปักปิ่นมิใช่หรือ
เห็นฉินหลิวซีพยักหน้ายอมรับ ไท่ชิงพลันเข้าใจแล้วว่าความเจ็บใจของอาจารย์มาจากที่ใด เอ่ยตามตรง เขาเองก็เจ็บใจเช่นกันแล้ว
เขาลอบมองเหอหมิง จนมีลูกศิษย์แล้ว ไยจึงแตกต่างเพียงนี้เล่า
เหอหมิง “?”
ไท่ชิงไม่สนใจดวงตาเฝ้ารอคำชมของเหอหมิง เก็บไข่มุกไว้ในถุงผ้า ส่งให้ฉินหลิวซีอีกครั้ง
ไม่ดูแล้ว หากยังได้รับความกระทบกระเทือนเช่นนี้ เกรงว่าคงสิ้นหวังยิ่งกว่าที่เป็นอยู่
“ศิษย์น้องปู้ฉิวมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง” ไท่ชิงหัวเราะ เอ่ย “ความจริงทิวทัศน์ของอารามชิงหลานของเราไม่เลว ยังมีตำราหายากสมุนไพรหายากมากมายเก็บเอาไว้ หากศิษย์น้องปู้ฉิวไม่รังเกียจจะมาพักที่นี่ก็ได้ เจ้าจะต้องกลายเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของอาจารย์อย่างแน่นอน”
ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี “วาจานี้ หากท่านให้อาจารย์ของข้าได้ยินเข้า คิดว่าเคราที่อาจารย์ลุงชิงหลานรักษาเอาไว้คงถูกอาจารย์ข้าดึงไปหลายเส้น”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวน ไหนเลยจะไม่กี่เส้น กล้ามาแย่งชิง ต้องสู้กันสักตั้งดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เจ้าอาวาสชิงหลานลูบเคราตนเอง เอ่ย “ไม่มาพักที่อาราม ก็สามารถมาชี้แนะศิษย์พี่ศิษย์น้องของเจ้าได้บ่อยๆ จะได้สอนพวกเขาด้วยว่าสิ่งใดที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนก็ยังมีคน”
“และอารามชิงผิงมีข้าปู้ฉิวอย่างนั้นหรือ” ฉินหลิวซีรับคำ
เจ้าอาวาสชิงหลานหัวเราะเสียงดัง ชี้มาที่นาง เอ่ย “เครื่องรางนี้มีชื่อเสียงและล้ำค่ายิ่ง คืนนี้เจ้าพักที่นี่ พรุ่งนี้ข้าจะเข้าเมืองไปบ้านตระกูลซือกับเจ้า พอดีเจ้ามาแล้ว ช่วยอาจารย์ลุงสักอย่าง ช่วยตรวจอาการผู้แสวงบุญสักคนได้หรือไม่”
ไท่ชิงตกใจ มิใช่ผู้นั้นกระมัง