ท่านผู้นั้น……
ดวงตาทั้งคู่ของฟ่านอิงหรี่ลง ในสมองปรากฏเงาร่างที่ชัดเจนของคนผู้หนึ่งขึ้นมา
“คิดๆดูแล้ว ท่านผู้นั้นจะต้องไม่ยินดีที่จะเห็นท่านสนิทสนมใกล้ชิดกับนางมารผู้นั้นเป็นแน่ ต่อให้นางเป็นหลานสาวแท้ๆของท่าน ก็ต้องสั่งให้สังหารทิ้ง”
พอไม่มีหมอกสีดำของฟ่านอิงรายล้อมเอาไว้ น้ำเสียงของต้าซือมิ่งก็ยิ่งมั่นอกมั่นใจขึ้นมา
เขาจับจ้องไปที่ฟ่านอิง ราวกับว่าสามารถมองทะลุผ่านหมอกดำเหล่านั้นเข้าไปจนเห็นใบหน้าอัปลักษณ์ที่อยู่ภายใน
ก็แค่คนตายที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น……แค่หุ่นเชิดตัวหนึ่งเท่านั้นเอง…..
ที่ให้เขามีชีวิตอยู่มาจนถึงป่านนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นความเมตตาของท่านผู้นั้นแล้ว ยังจะมาคิดว่าตนเองเป็นเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนตัวจริงอีกหรือ?
เขายิ่งยิ้มอย่างเย็นชามากกว่าเดิม
ขณะที่รอยยิ้มที่มุมปากยิ่งเพิ่มขึ้น หัวใจของเขาก็พลันเย็นวาบขึ้นมา
ต้าซือมิ่งถลึงตาโต ก้มลงมองดูทรวงอกของตนเองแวบหนึ่ง อย่างไม่อยากจะเชื่อ
ตอนนี้ ทรวงอกของเขาถูกเหล็กแหลมสีดำชิ้นหนึ่งแทงทะลุหัวใจกลายเป็นโพรงขนาดใหญ่
ขณะที่ถูกแทงจนทะลุเข้าไปนั้น เลือดในกายทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นเย็นในชั่วแวบเดียว จากนั้นเลือดทั้งหมดก็ไหลออกมาจากหัวใจ ทลายลงมาราวกับน้ำหลากจากภูเขา
และในเลือดที่ทะลักออกมายังมีเศษชิ้นเนื้อภายในร่างกายอีกด้วย
หัวใจทั้งดวงถูกทะลวงจนแหลกเละ เสื้อผ้าของเขาก็ถูกย้อมเป็นสีแดงเลือด
ฟ่านอิงยืนห่างไปไม่ไกล มองดูเขาอย่างเย็นชา
“ท่าน….” ต้าซือมิ่งเงยหน้าขึ้นมา ชี้นิ้วออกไปทางเขา
“ข้าบอกเอาไว้แล้ว หากกล้าก้าวล่วง ก็ต้องตาย”
น้ำเสียงของเขาเย็นเฉียบและหยาบกระด้าง เพราะเกิดจากความทุกข์และความทรมานที่สะสมตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฟังแล้วเหมือนถูกถูลงไปบนกระดาษทราย
“ฆ่าข้าแล้ว …. ท่านผู้นั้นจะต้องไม่ยอมปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน….” ต้าซือมิ่งประคองหน้าอกเอาไว้ เขารีบล้วงเอายาในอกเสื้อออกมาสองเม็ดแล้วกลืนลงไป ระงับเลือดเอาไว้ก่อน
ผู้ที่ฝึกตน ต่อให้ร่างกายถูกแผดเผาไปแล้ว ก็ยังไม่ตายโดยง่าย
“ท่านผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้น…..สามารถให้ทุกอย่างกับเจ้า…..ก็สามารถเอาทั้งหมดกลับคืนไปได้เช่นกัน….”
ต้าซือมิ่งดวงตาแดงก่ำไปด้วยเลือด และเพราะเสียเลือดจำนวนมาก ร่างกายของเขาจึงเย็นลงจนสั่นสะท้าน
ต่อให้ฝันเขาก็คิดไม่ถึงว่า ฟ่านอิงจะฆ่าเขาจริงๆ
เขามันก็แค่ภูติผีที่เกิดจากมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น…..
ได้แต่วนเวียนอย่างไม่เป็นไม่ตายอยู่ในดินแดนจิ่วโจว กลับยังกล้าลงมือกับตนที่เป็นถึงตัวแทนส่งสารของท่านผู้นั้น
เสียงที่เขาพูดออกมาในตอนนี้มีแต่เสียงตะกุกตะกัก อย่างพยายามจะรักษาชีวิตเอาไว้
ตอนก่อนหน้านี้ เขาเตรียมคำพูดมาเต็มท้อง แต่ยังไม่ทันได้พูดออกมา รอบกายก็ถูกหมอกสีดำรายล้อมเอาไว้เสียก่อน
ภายในวงล้อมหมอกสีดำถอยห่างออกไป สิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขาก็คือใบหน้าที่ถูกแผดเผา ดวงหน้านั้นถูกไฟเผาผลาญ อัปลักษณ์เสียจนน่าเกลียดน่ากลัวอย่างที่สุด
แม้กระทั่งต้าซือมิ่งก็ยังต้องสะดุ้งโหยง
ตลอดหลายปีที่อยู่ในตำหนักซิวหลัวเตี้ยน เขายังไม่เคยเห็นโฉมหน้าของฟ่านอิงมาก่อนเลย
นี่มัน แตกต่างกับสิ่งที่เขาเคยคิดเอาไว้ราวฟ้ากับเหว
โดยเฉพาะรอยแผลตรงลำคอที่ถูกด้ายเย็บเอาไว้ ทำให้คนต้องขนลุกทั่วร่าง
ฟ่านอิงมองไปที่เขา ราวกับว่ามองดูคนที่ตายไปแล้ว
“เจ้าจงดูให้ชัดเจน ข้าคือคนที่ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ยังต้องเกรงกลัวจะตายเป็นครั้งที่สองอีกหรือ?”
พอเขาเอ่ยขึ้นมาด้วยใบหน้าที่จ้องมองมาเช่นนั้น แม้แต่ต้าซือมิ่งก็ยังรู้สึกว่าหวาดกลัวจนกระดูดหด
ทรวงอกของเขากลวงเป็นรูขนาดใหญ่ สร้างความเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกาย
“ศีรษะนี้ ถูกท่านผู้ยิ่งใหญ่ที่เจ้าเรียกขานอยู่กับปากเย็บกลับมาด้วยมือ ทีละเข็มๆลงบนร่าง ต่อให้อยากกระชากทิ้งก็ยังทำไม่ได้”
ตลอดหลายปีมานี้ สำหรับฟ่านอิงแล้ว นอกจากความต้องการแก้แค้น เขายังอยากที่จะตายมากกว่า
แต่มิว่าจะทำอย่างไรเขาก็ไม่ตายไปได้ นับตั้งแต่ที่หัวใจของเขามีแต่ความขุ่นแค้นมากล้นจนระเบิดขึ้นฟ้า ชีวิตของเขาก็ไม่อยู่ในการควบคุมของตนเองอีกต่อไปแล้ว
อะไรคืออยู่มิสู้ตาย สิ่งนั้นก็คือเขานั่นเอง
ทุกวันเมื่อยามจื่อ (เที่ยงคืน) มาเยือน เขาเป็นต้องได้รับความเจ็บปวดเช่นเดียวกับยามก่อนตายนั้นอีกครั้ง วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ทั้งหมดที่ได้รับมานี้ ต่อให้เป็นภูติผีก็ต้องถูกทรมานจนกลายร่างแล้ว
นี่คือค่าตอบแทนของการได้ ‘กลับมาเกิดใหม่’ ที่เขาต้องจ่ายออกไป
พอผ่านไปหลายสิบปีเข้า….ความเคียดแค้นของเขามิได้จางลง แต่ว่าความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่ได้รับกลับทำให้เขาอยากตายๆไปเสีย
ต้าซือมิ่งลืมตาโต ฟังคำพูดของเขา
มือข้างหนึ่งก็กดทรวงอกเอาไว้ ฝีเท้าก้าวถอยหลังออกไปอยู่ตลอดเวลา คนผู้นี้กลายเป็นคนบ้าไปแล้ว……
ทั้งที่เขามีความแค้นอยู่กับตัว แต่กลับคิดแต่จะอยากตายกระนั้นหรือ?
มีคำโบราณอยู่ว่าอยู่อย่างหมาก็ยังดีกว่าตายไปแล้ว ในโลกนี้ มีใครบ้างที่จะไม่กลัวตาย?
เขาไม่เชื่อหรอก
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อน ‘ตาย’ เขาต้องทนทรมานจนน่าอนาถ หากเปลี่ยนเป็นตนเอง ย่อมต้องเคียดแค้นชิงชังจนทำลายแม้แต่ลูกหลานของคู่แค้นให้หมดสิ้น
“ท่านเจ้าตำหนัก ท่านไม่อาจฆ่าข้า” ต้าซือมิ่งจะอย่างไรก็คิดจะรักษาชีวิตเอาไว้ก่อน ตอนนี้คนตรงหน้ากลายเป็นผีบ้าไปแล้ว กระทำเรื่องใดตามแต่ใจโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ทั้งสิ้น
เขาทำให้ฟ่านอิงโกรธขึ้นมาแล้วจริงๆ เกรงว่าไม่ว่าเรื่องใด คนบ้าผู้นี้ก็กระทำได้ทั้งสิ้น
เขาไม่ควรจะผลีผลามเช่นนี้เลย
“หากว่าข้าตายไป ท่านผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นจะต้องทราบในทันที ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่ท่าน แม้แต่ฮ่องเต้หญิงที่เป็นหลานสาวของเจ้า ก็ต้องตายไร้ที่กลบฝังไปด้วย”
“ท่านก็รู้ว่า ท่านผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นแข็งแกร่งเพียงใด”
เขายังคิดจะพูดต่อ แต่ว่าฝ่ามือของฟ่านอิงก็ตะครุบลงมาบนลำคอของเขาแล้ว
มือใหญ่ข้างนั้นกำลำคอของเขาแน่นขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นพอออกแรงเพิ่มขึ้นอีกนิด ก็ได้ยินเสียงหักดังกร๊อบออกมา ศีรษะของต้าซือมิ่งถึงกับถูกเขาหักทิ้งไป
หลังจากนั้นพอดึงอีกครั้ง ศีรษะทั้งหัวก็ถูกกระชากลงมาทั้งเนื้อและหนัง
เลือดสดๆของต้าซือมิ่งละเลงอยู่บนมือของเขา
เลือดที่ยังสดใหม่ อุ่นร้อนอยู่ในมือ
ศีรษะมนุษย์ศีรษะนั้นถูกเขาโยนทิ้งลงไปบนพื้น กลิ้งหลุนๆออกจากหอชมจันทร์ลงไปใต้ต้นไห่ถาง จากนั้นก็ตกลงไปในรูโบ๋ที่อยู่ตรงกลางเกาะลอยฟ้า หล่นลงไปยังพื้นล่าง
ด้วยระยะห่างที่สูงลิบลิ่ว พอตกลงมากระแทกเข้ากับพื้นหินบนพื้นล่าง ศีรษะของต้าซือมิ่งก็แหลกเหลว
เละเทะราวกับซากโคลน
เบื้องหน้าของฟ่านอิงเหลือเพียงศพที่ไร้ศีรษะของต้าซือมิ่ง ศพนั้นค่อยๆล้มลงตรงหน้าเขาอย่างช้าๆ
เขาเพียงเหลือบตามองดูแวบหนึ่งเท่านั้น
เมื่อฆ่าต้าซือมิ่งไปแล้ว ก็เท่ากับว่าเขาหาเรื่องวุ่นวายใส่ตัว
แต่แล้วจะอย่างไร
หากว่าอาเย่วยังมีชีวิตอยู่ นางจะต้องยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปกป้องลูกหลานของนางอย่างแน่นอน
…………..
ในหมู่ต้นไห่ถาง ตู๋กูซิงหลันรู้สึกตัวขึ้นมาก่อนว่ามีบางสิ่งบางอย่างตกลงไปจากเกาะลอยฟ้า
เพียงแต่ว่าฟ้ามืดมากแล้ว แสงสว่างมีเพียงน้อยนิด นางจึงมองเห็นไม่ชัดเจน
“พี่รอง ท่านเห็นหรือไม่ว่าอะไรตกลงไป?”
ตู๋กูเจวี๋ย “เหมือนจะเป็นอะไรกลมๆ”
ตู๋กูซิงหลัน “….” ดูคล้ายลูกบอลกลมๆอยู่เหมือนกัน
มันมาจากทางหอชมจันทร์
ฟ่านอิงชอบเล่นลูกบอลหรือ? นางอดที่จะส่ายศีรษะไม่ได้ ดูจากท่าทางของเขาแล้ว ไม่น่าจะเป็นไปได้
อย่าพึ่งสนใจลูกบอลนั่นแล้วกัน สายตาของนางมองไปที่กระถางติ่งใบน้อยอีกครั้ง
ตู๋กูซิงหลันลองคิดดูแล้ว ก็หยิบกริชเล่มหนึ่งออกมา กรีดลงไปบนฝ่ามือครั้งหนึ่ง ปล่อยให้เลือดของตนเองหยดลงไป
ฝีมือของนางรวดเร็ว จนตู๋กูเจวี๋ยไม่อาจยับยั้งได้ทัน
พอเลือดของนางหยดลงไปในกระถางติ่ง ก็กลายเป็นหมอกเลือดกลุ่มหนึ่ง ย้อมกระถางติ่งทั่วทั้งใบจนกลายเป็นสีแดง
ดาบกระดูกมังกรสีทองเล่มนั้นก็ซับเลือดเข้าไป จนกลายเป็นสีแดงเปล่งปลั่งขึ้นมา
มันหมุนวนอยู่รอบงูน้อยอย่างรวดเร็ว จากนั้นครู่หนึ่งก็มีเสียงดังสวบขึ้นมาเบาๆ มันแทงเข้าไปที่ด้านหลังของงูน้อย
ดวงตาของตู๋กูซิงหลันเปล่งประกายขึ้นมา “ดูท่า พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง”
ทันทีที่พูดจบ ก็เห็นว่าพี่รองที่ยืนอยู่ข้างๆ อยู่ๆก็กระอักเลือดคำโตออกมา
……………………