ตอนที่ 267 คุณหนูใหญ่ไม่เข้าข้างครอบครัวตนเอง
ฉินหลิวซีเปลี่ยนมาอยู่ในชุดกระโปรง ถือโจ๊กข้าวฟ่างพุทราแดงดื่มเบาๆ พลางถามฉีหวงว่าช่วงนี้เกิดเรื่องวุ่นวายอันใดในจวนหรือไม่
“นับตั้งแต่ที่ท่านไประเบิดอารมณ์ที่เรือนนายหญิงผู้เฒ่าครั้งนั้น คุณหนูคุณชายเหล่านั้นก็ไม่กล้ามาเที่ยวเล่นฝั่งนี้แล้วเจ้าค่ะ ต่อให้เดินมาถึงสวนแล้ว ก็ยังเลี่ยงออกไปไกล” ฉีหวงส่ายศีรษะ เอ่ย “อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรแล้ว นับว่าสงบดีเจ้าค่ะ อย่างมากก็เพียงบ่นว่าใช้ชีวิตลำบาก”
ฉินหลิวซีถือเสียว่าไม่ได้ยิน วันเวลาเช่นนี้ ดีกว่าครอบครัวยากจนที่แท้จริงอยู่มากโข เพียงบ่าวรับใช้ไม่ได้มีมากเท่าแต่ก่อน เพียงคนสองคนเท่านั้น
พวกเขาบ่นว่าใช้ชีวิตลำบาก มิสู้ลองไปดูในพื้นที่เหล่านั้น ฮูหยินในพื้นที่ยากจนเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่สวมเสื้อผ้าซักมือและต้มน้ำแกง ไหนเลยจะมีบ่าวรับใช้เหมือนในบ้านนี้
“ทว่าท่านป้าใหญ่เหมือนจะไม่ได้ทำงานผู้ช่วยในครัวแล้วเจ้าค่ะ หางานใหม่อีกที่ เพียงแต่งานนี้เป็นงานที่ทำเบ็ดเตล็ดให้เขาเจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีประหลาดใจ “ไยจึงไม่ได้ทำแล้วเล่า”
ฉีหวงเอ่ย “ได้ยินว่าท่านป้าใหญ่ทำงานผู้ช่วยคนครัวไปไม่เลว บางครั้งยังได้ช่วยทำอาหารบ้าง ได้รับคำชื่นชมจากแขกชั้นสูง เรียกนางออกไปคุย มีคนตระกูลติงจำได้ว่านางเป็นคนของตระกูลเรา เอ่ยไม่กี่ประโยค ร้านนั้นไม่รู้ว่ากลัวตระกูลติงหรือกลัวจะวุ่นวายถึงได้ไล่นางออกเจ้าค่ะ”
ตระกูลติงอีกแล้ว
ฉินหลิวซีย่นคิ้ว เอ่ย “ไม่ทำก็ไม่ทำสิ บ้านเราก็กำลังเตรียมจะเปิดกิจการมิใช่หรือ ถึงตอนนั้นให้นางไปช่วยงานที่ร้านก็พอแล้ว”
“บ่าวเองก็คิดเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีกินอาหารเช้าเสร็จ เสิ่นหมัวหมัวที่อยู่ข้างกายสะใภ้หวังมาเชิญด้วยตนเอง บอกว่านายหญิงผู้เฒ่าโมโหมาก อาการไม่ค่อยดี อยากเชิญนางไปดู
ฉีหวงรีบหยิบกล่องยาเล็ก ฉินหลิวซีเห็นเช่นนั้นก็ไม่เอ่ยอะไรมาก สาวเท้าออกไป เสิ่นหมัวหมัวติดตามอยู่ด้านข้าง เอ่ยบอกถึงฐานะของผู้มาใหม่ว่ามาทำอะไร ไยจึงทำให้นายหญิงผู้เฒ่าโมโหขึ้นมาได้อย่างรู้งาน
มิน่าแม้แต่ฉินหมิงฉุนเองยังรู้ว่ามาไม่เป็นมิตร ที่แท้ก็มาถอนหมั้นโนเวลพีดีเอฟ
ไม่ผิด ผู้มาใหม่คือคนตระกูลเวินจากเมืองหลวง มาเพราะเรื่องการแต่งงานของคุณหนูของตระกูลและคุณชายใหญ่ตระกูลฉิน ฉินหมิงมู่ บอกว่าคุณหนูตระกูลเวินป่วยหนัก ส่งไปพักรักษาที่สำนักแม่ชีจิ้ง ไม่อยากให้ฉินหมิงมู่ต้องเสียเวลา จึงตั้งใจมาถอนหมั้น
“อาการป่วยหนักที่ว่าคงเป็นเพียงข้ออ้างกระมัง ความจริงเพราะตระกูลฉินล้มลงไปแล้ว กลายเป็นตระกูลไม่คู่ควรจึงได้หลีกเลี่ยง ถึงได้มาถอนหมั้นเจ้าค่ะ” เสิ่นหมัวหมัวเอ่ยตัดพ้อ
ฉินหลิวซีฟังแล้วจึงเอ่ย “แม้แต่ท่านยังเข้าใจ ไยนายหญิงผู้เฒ่าจะไม่เข้าใจ ไยจึงโกรธแล้วเล่า คู่หมั้นคู่หมาย เกี่ยวดองความสัมพันธ์ที่ดีของสองตระกูล อย่างแรกก็คือเชื่อมผลประโยชน์ ในเมื่อตระกูลฉินไม่อาจนำพาประโยชน์มาให้พวกเขาได้ อีกฝ่ายจะถอนหมั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา มีอะไรต้องโกรธเล่า หากเปลี่ยนเป็นตระกูลฉิน…”
นางมองสายตาที่เสิ่นหมัวหมัวมองนาง จึงกระแอมไอ เอ่ย “ถอนหมั้นก็ถอนเถิด คุณชายใหญ่เพิ่งอายุเท่าใด เขาถูกเนรเทศไม่รู้กี่ปีจะได้กลับมา คงไม่อาจให้หญิงสาวต้องมาเฝ้ารอเขา”
เสิ่นหมัวหมัวเอ่ยเสียงเบา “วาจาเอ่ยเช่นนี้เจ้าค่ะ เพียงแต่นายหญิงผู้เฒ่ารู้สึกว่าตระกูลเวินเอ่ยถึงเรื่องถอนหมั้น คิดรังเกียจและอยากสะบัดทิ้งเจ้าค่ะ ยากจะรับได้จึงโกรธจนเป็นลมเจ้าค่ะ”
“เขาไม่ได้ขอถอนหมั้นตั้งแต่วันที่ตระกูลฉินถูกเนรเทศต่อหน้าผู้คนก็นับว่าไว้หน้าแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “นายหญิงผู้เฒ่าคิดเอาแต่ฝั่งตนแล้ว เพียงใจเทียบใจ ลองเปลี่ยนมุมความคิด ก็จะรับได้แล้ว”
เสิ่นหมัวหมัวลูบจมูก “ก็มีคนที่ยอมตายรักษาชื่อเสียงประพฤติตัวตามทำนองคลองธรรมอย่างจริงจัง”
“แน่นอนว่ามี แต่ในสายตาข้า คนพวกนั้นส่วนใหญ่ก็โง่เง่า เพื่อรักษาขนบธรรมเนียม ต้องยอมทำลายสตรีในจวนของตน ต่อให้คู่หมั้นตายไปแล้ว ยังต้องแต่งไปเป็นหญิงหม้าย ครอบครัวเช่นนี้ เพียงสละสตรีเพื่อให้ตนเองได้สมหวังเท่านั้น น่ารังเกียจยิ่งนัก” ฉินหลิวซีส่งเสียงหยัน เหยียดหยาม
เสิ่นหมัวหมัว “…”
นางไม่พูดจะดีกว่าหรือไม่
คุณหนูใหญ่ดูแล้ว คงไม่เข้าข้างครอบครัวของตน
“พี่ใหญ่เกิดเวลาใด หมัวหมัวท่านรู้หรือไม่”
เสิ่นหมัวหมัวรีบเอ่ย “แน่นอนว่ารู้เจ้าค่ะ ตอนนั้น…”
เมื่อฉินหลิวซีมาถึงเรือนของนายหญิงผู้เฒ่า พลันได้ยินเสียงด่าทอเสียงแหลมดังออกมา ประโยคต่อประโยค สตรีตระกูลเวินก็เท่านั้นอย่างไรอย่างนั้น หากนายหญิงผู้เฒ่าโมโหจนได้เรื่อง ก็จะสู้จนไม่สนใจหน้าตา จะต้องกระจายข่าวออกไปถึงชื่อเสียงของตระกูลเวิน
“คุณหนูใหญ่มาแล้ว”
ฉินหลิวซีเข้ามาในห้อง เห็นสะใภ้ตระกูลฉินหลายคนก็อยู่ บ้านเล็กกลับไม่เห็น คงเพราะเรื่องราวเช่นนี้ไม่ให้พวกนางมายุ่งเกี่ยวดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
มีหญิงรับใช้สองคนยืนอยู่ในห้องโถง คนหนึ่งทำอะไรไม่ถูก อีกคนกลับมีใบหน้าไม่พอใจ ทว่าเก็บกักความโกรธเอาไว้ไม่ได้เผยออกมา
“น้องสะใภ้รอง อย่าเพิ่งพูดเลย” สะใภ้หวังเห็นฉินหลิวซีมาแล้ว ราวกับมองเห็นดวงดาวผู้ช่วยชีวิต รีบเอ่ย “ซีเอ๋อร์ เจ้ารีบมาดูท่านย่าของเจ้า”
นางให้เสิ่นหมัวหมัวไปเชิญฉินหลิวซีหวังว่าอาจจะเจอ อย่างไรหลายวันมานี้ฉินหลิวซีก็ไม่ได้มาคารวะนาง นางเคยถามฉินหมิงฉุน คำตอบก็คือพี่หญิงใหญ่ไม่อยู่ เหมือนจะอยู่ที่อาราม
ดังนั้นนางกลับมาเมื่อใด สะใภ้หวังเองก็ไม่รู้
ไม่คิดว่าไปเชิญครั้งนี้แล้วจะอยู่จริงๆ
ฉินหลิวซีเห็นใบหน้าเขียวคล้ำของนายหญิงผู้เฒ่า หอบหายใจเฮือกใหญ่ เดินเข้าไปใกล้ นิ้วมือทาบลงกับจุดชีพจรของนาง เลือดลมไม่สงบ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงรวดเร็ว หยินขาดไฟ ความโกรธกำลังลุกโชน
โกรธมากจริงๆ
ฉินหลิวซีดึงมือกลับมา ไม่ได้ฝังเข็ม เพียงกดที่จุดใต้จมูกของนาง นายหญิงผู้เฒ่ารู้สึกเจ็บขึ้นมา ความเจ็บนั้น เจ็บๆ ชาๆ ไม่ทันได้สนใจความโกรธ นางจ้องฉินหลิวซีเขม็ง
ฉินหลิวซีเปิดกล่องยาออก พลิกดูขวดยา หยิบยาขวดหนึ่งออกมา เทหนึ่งเม็ดออกมายัดเข้าปากนายหญิงผู้เฒ่า
ท่าทางไม่อาจเรียกได้ว่าหยาบกระด้าง
นายหญิงผู้เฒ่าฉินรู้สึกโกรธขึ้นมา นางโกรธฉินหลิวซี
แต่เมื่อยานั้นผ่านลำคอลงไป หัวใจของนางกลับค่อยๆ สงบลง อดเหลือบมองขวดยาไม่ได้ แต่ใครบางคนได้เก็บมันเข้ากล่องยาไป ปิดสนิทไปแล้ว
ความโกรธของนายหญิงผู้เฒ่าค่อยๆ บางเบาลง ฉินหลิวซีจึงหันไปมองหญิงรับใช้ทั้งสอง สายตาหยุดที่ใบหน้าของพวกนางชั่วครู่ จากนั้นดึงกลับคืน
“มาถอนหมั้นหรือ”
หญิงรับใช้ทั้งสองสบตากัน คนที่ใบหน้ากลมหนึ่งในนั้นเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ผู้นี้คือ”
สะใภ้หวังมองไปยังเสิ่นหมัวหมัว อีกคนก้าวขึ้นมาด้านหน้า เอ่ยแนะนำ “ผู้นี้คือคุณหนูใหญ่ตระกูลฉินของเรา เพราะสุขภาพร่างกาย จึงเลี้ยงดูอยู่ที่บ้านเก่ามาตั้งแต่เด็ก”
หญิงรับใช้ใบหน้ากลมได้ยินเช่นนั้น ย่อตัวคารวะหนึ่งครั้ง เอ่ย “บ่าวคารวะคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ บ่าวได้รับคำสั่งจากท่านผู้นำตระกูล เพื่อนำสิ่งของหมั้นของคุณชายใหญ่จวนท่านมาคืนให้…”
นางเอ่ยคำที่เคยบอกกับนายหญิงใหญ่ฉินไปแล้วอีกหนึ่งรอบ
สะใภ้เซี่ยยิ้มเย็น “ไยต้องเอาอาการป่วยจนต้องไปอยู่สำนักแม่ชีมาเป็นคำแก้ตัวให้ลำบาก เอ่ยออกมาตรงๆ ว่าตระกูลฉินของเรายามนี้ตกต่ำซ้ำยังเป็นนักโทษ ไม่คู่ควรกับคุณหนูตระกูลเวินก็พอแล้ว”
หญิงรับใช้ที่ใบหน้ามีความโกรธเคืองเอ่ยขึ้น “นายหญิงรอง เดิมทีทั้งสองตระกูลได้หมั้นหมายแลกของกำนัล แต่ยังไม่ได้แลกหนังสือแต่งงาน ยามนี้ตั้งสองตระกูลไม่เหมาะสมกัน ถอนหมั้นก็เป็นเรื่องปกติแล้ว…”
หญิงรับใช้ใบหน้ากลมดึงนางไว้ “หลูจยา ไม่ต้องเอ่ยแล้ว”
หญิงรับใช้ที่ชื่อหลูจยาผู้นั้นมีสีหน้าไม่พอใจ ทว่ายังหุบปาก
“เจ้าดูสิ ข้าไม่ได้เอ่ยผิด รังเกียจก็เอ่ยตามตรง…” สะใภ้เซี่ยรู้ว่าสิ่งที่ตนคิดไม่ผิด
“พวกนางไม่ได้เอ่ยผิดนี่” จู่ๆ ฉินหลิวซีก็เอ่ยขึ้นมา