ตอนที่ 270 วันที่ถูกพี่หญิงใหญ่รังเกียจเป็นปกติ
เสิ่นหมัวหมัวเข้ามาเปลี่ยนชาให้สะใภ้หวัง เห็นนางนั่งเหม่อลอยจึงเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “นายหญิง ท่านคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”
สะใภ้หวังเอ่ยอย่างใจลอย “ซีเอ๋อร์บอกว่านางมีร้านแล้ว”
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีมากเลยหรือเจ้าคะ เงินไม่พอหรือเจ้าคะ”
“เดิมทีร้านนั้นเป็นร้านขายโลงศพ”
เสิ่นหมัวหมัวมือสั่น เกือบปล่อยถ้วยชาหลุดมือแล้ว “โลง โลงศพหรือเจ้าคะ”
สะใภ้หวังพยักหน้า หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ สะกดความตกใจ
เสิ่นหมัวหมัวฝืนยิ้ม เอ่ย “คุณหนูใหญ่นาง สมแล้วที่ไม่เหมือนคนทั่วไปเจ้าค่ะ”
สะใภ้หวังกระตุกมุมปาก ดื่มชาอีกรอบ กังวลเล็กน้อย
ดังนั้นนับจากนี้ กิจการของตระกูลฉินพวกเขา มีร้านขายโลงศพร้านหนึ่งหรือ
ฉินหลิวซีที่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปเพิ่งกลับมาถึงเรือนของตนเอง ให้ฉีหวงเตรียมของขวัญสักชุด นางบอกว่าจะไปเยี่ยมเจ้าสำนักของสำนักศึกษาจือเหอ อาศัยไปในยามว่าง
“เฉินผี เจ้าให้หลี่เฉิงเตรียมรถ” ฉินหลิวซีเรียกเฉินผีมาสั่งงาน เหลือบไปเห็นฉินหมิงฉุนที่ชะโงกศีรษะเข้ามา จึงกวักมือเรียกให้เขามาหา
ฉินหมิงฉุนวิ่งตึงตังเข้ามา แหงนหน้ามองนาง “พี่หญิงใหญ่ ท่านเรียกข้าหรือขอรับ”
“เจ้าออกไปกับข้าด้วย ให้เจ้าสำนักได้ดูเจ้าสักหน่อย”
ฉินหมิงฉุนส่งเสียงอ๊าขึ้นมา “เช่นนั้นต้องเรียกพี่สี่หรือไม่ขอรับ”
“ไม่เรียกเขา”
ฉินหมิงฉุนดีใจ ดวงตาเป็นประกาย ดีจริงๆ
“อย่าเพิ่งรีบดีใจไป ทำตัวดีๆ อย่าทำให้เจ้าสำนักรังเกียจเจ้า” ฉินหลิวซีปรายตามองเขา “ขายหน้าข้า ระวังข้าจะต่อยเจ้า”
ฉินหมิงฉุนได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นเต้นขึ้นมา พยักหน้าราวกับไก่จิกข้าวสาร
ไม่นานฉีหวงก็เตรียมของขวัญเรียบร้อย ยื่นไปให้เฉินผีถือเอาไว้ ฉินหลิวซีพาพวกเขาออกจากจวนมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษาจือเหอ
ตลอดทางฉินหมิงฉุนกำลังลอบทบทวนถึงสิ่งที่เล่าเรียนในช่วงนี้อยู่ในใจบนรถม้า เพียงแต่ดวงตาคู่สวยนั้นเปล่งประกายแวววาว ยื่นคอมองออกไปนอกรถม้าอย่างอดไม่ได้
นับตั้งแต่มาถึงเมืองหลี เขาก็ไม่เคยเห็นโลกนอกจวนอีกเลย เมืองหลีเป็นอย่างไรเขาเองก็ไม่รู้
เมื่อถูกฉินหลิวซีมอง เขาจึงหดลำคอเข้ามา ปากเล็กขมุบขมิบ
“ไม่ต้องมารีบร้อนท่องหนังสือตอนนี้แล้ว อยากดูก็ดูอย่างเปิดเผย หลบๆ ซ่อนๆ เหมือนอะไรกัน ไปอยู่ต่อหน้าเจ้าสำนัก อย่าลืมมารยาทที่เจ้าเรียนมาก็พอ” ฉินหลิวซีเอ่ย
ฉินหมิงฉุนดีใจขึ้นมา ยืนอยู่ริมหน้าต่างมองออกไปด้านนอก ดวงตาสองข้ายังรู้สึกว่ามองได้ไม่เพียงพอ
ฉินหลิวซีเห็นท่าทางดีอกดีใจของเขา จึงเคาะผนังรถ “ช้าลงสักหน่อย”
รถม้าช้าลงแล้ว
ดวงตาคู่นั้นของฉินหมิงฉุนหันไปมองฉินหลิวซี เต็มไปด้วยความชื่นชมและยินดี “ขอบคุณพี่หญิงใหญ่ขอรับ”
ฉินหลิวซี “มิใช่เพราะเจ้า รถวิ่งเร็ว สั่นสะเทือนมาถึงข้า ร่างกายข้าอ่อนแอ”
คนขี้โกหกนี่นา
ฉินหมิงฉุนใช่ว่าไม่เคยนั่งรถม้า รถม้าในจวนแต่ก่อนไม่นิ่งเท่ารถม้าคันนี้เลยสักนิด วิ่งเร็วก็ยังไม่รู้สึกถึงการสั่นสะเทือนเท่าใด
แต่เขาไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงจดจำเอาไว้ในใจ
สำนักศึกษาจือเหออยู่ใจกลางเมืองหลี และเป็นสำนักศึกษาที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลี เจ้าสำนักในตอนนี้คือสกุลถังที่เป็นตระกูลนักปราชญ์ หนึ่งในบัณฑิตใหญ่ของราชสำนัก ก็คือหัวหน้าตระกูลถังในปัจจุบัน บิดาของเจ้าสำนักถัง
เจ้าสำนักถังไม่ชอบวงการชนชั้นข้าราชการ ทว่าเป็นคนชอบสอนหนังสือ ดังนั้นจึงตั้งสำนักศึกษาขึ้นมา แม้ไม่ได้มีลูกศิษย์อยู่ทั่วใต้หล้าอย่างเช่นบิดา แต่ก็มีลูกศิษย์จำนวนมาก ชื่อเสียงโด่งดัง และได้รู้จักฉินหลิวซี ก็เพราะความบังเอิญครั้งหนึ่ง
ในตอนที่เจ้าสำนักถังอายุห้าสิบปี ในช่วงเวลาที่พบกันโดยบังเอิญ ฉินหลิวซีก็มองออกจากโหงวเฮ้งของเขาว่าหัวใจเขามีปัญหา จึงทิ้งที่อยู่ของตนเอาไว้ หากมาหานางก็จะยื้อชีวิตไว้ได้
ผ่านไปไม่ถึงสองวัน เจ้าสำนักพลันรู้สึกเจ็บหัวใจ เป็นฉินหลิวซีที่แย่งชีวิตของเขามาจากยมบาล เพราะเหตุนี้นางจึงต้องรับห้าโทษสามวิบัติ มือใช้การไม่ได้กว่าครึ่งเดือน
ดังนั้นสำหรับเจ้าสำนักถังแล้ว ฉินหลิวซีนอกจากมีบุญคุณ ทั้งสองยังนับว่าเป็นทั้งอาจารย์และสหายที่ดีต่อกัน เพราะเจ้าสำนักก็สั่งสอนความรู้ให้ฉินหลิวซีไม่น้อย และฉินหลิวซีเองก็บอกสิ่งที่ตนรู้ทว่าเขาไม่รู้ไม่น้อยเช่นกัน
ยามนี้ได้ยินว่าฉินหลิวซีมาจึงได้ไล่ลูกศิษย์คนหนึ่งของตนออกไป ตั้งใจไปรอรับที่หน้าประตู ยามมองเห็นนาง ดวงตาพลันมีรอยยิ้ม ยกนิ้วมือชี้ไปที่นาง
“ข้านึกว่าเจ้าลืมไปแล้วว่าประตูทางเข้าของข้าอยู่ที่ใด จึงไม่มาแล้ว” เจ้าสำนักถังแสร้งทำเป็นโกรธ
ฉินหลิวซีเดินเข้ามา ยกประสานมือหันไปหาเขา เอ่ย “ช่วงนี้มีเรื่องมากมาย ไม่อาจปลีกตัวออกมาได้” นางผลักฉินหมิงฉุนขึ้นมาด้านหน้า เอ่ย “นี่คือเจ้าสำนักถัง คารวะเสีย”
ฉินหมิงฉุนเองเป็นเด็กใสซื่อ แรกเริ่มยังตื่นเต้น แต่เห็นว่าพี่หญิงใหญ่กับท่านลุงผู้สง่างามและมีความรู้นี้เจอกันด้วยความยินดี พลันนิ่งงัน เมื่อถูกผลักจึงนึกถึงคำของพี่หญิงใหญ่ขึ้นได้แล้วคุกเข่าลงไป
“ฉินหมิงฉุนคารวะเจ้าสำนัก ขอให้เจ้าสำนักสุขภาพร่างกายแข็งแรง ราบรื่นในทุกๆ เรื่องขอรับ” ระหว่างที่เอ่ยก็คำนับไปด้วย
เจ้าสำนักถังส่งเสียงโอ้เบาๆ แล้วรีบเข้าไปประคอง “ไม่ต้องทำเช่นนี้” พร้อมส่งสายตาไปถามฉินหลิวซี อะไรกันหรือ
ฉินหลิวซีคว้าคอเสื้อของฉินหมิงฉุนก่อนจะดึงขึ้นมา เอ่ย “นี่คือน้องชายของข้า โง่เขลาสักหน่อย ห้องเรียนของท่านมีอายุน้อยเท่านี้ก็ยัดเขาเข้าไปด้วย เรียนกับอาจารย์สักหน่อย ที่บ้านเองก็มีอีกคนหนึ่ง ลูกพี่ลูกน้อง อายุสิบเอ็ด ไม่ได้พามา มีที่นั่งเรียนให้สักที่หรือไม่”
เจ้าสำนักมุมปากกระตุก “เจ้ากำลังใช้เส้นสายหรือ”
สำนักศึกษาจือเหอต้องสอบเข้ามา นางกลับยัดเยียด
“มีคนเหนือกว่า ของดีก็ต้องเอา เดี๋ยวให้พวกเขาสอบสักหน่อย หากไม่ได้จริงๆ ก็เขียนถึงสิ่งที่ไม่ผ่านมา ข้าจะกลับไปสอน หาที่เรียนใหม่”
เจ้าสำนักส่ายศีรษะ เอ่ย “เข้าไปคุยกันข้างในเถิด”
ฉินหลิวซีจูงมือฉินหมิงฉุนตามเข้าไป
ส่วนที่พักของเจ้าสำนักถังเองตกแต่งอย่างงดงามเต็มไปด้วยตำรามากมาย กำแพงฝั่งหนึ่งล้วนเป็นหนังสือตำรา ริมหน้าต่างฝั่งซ้ายคือโต๊ะหนังสือ มีอุปกรณ์เครื่องเขียนวางเอาไว้ ทิศเหนือมีโต๊ะน้ำชาตั้งอยู่ กาน้ำใบเล็กกำลังตั้งเตาต้มน้ำเดือดปุดๆ
เดิมเขาต้องการชงชาด้วยตนเอง แต่ไหนเลยฉินหลิวซีจะกล้า แย่งชุดน้ำชามาแล้วลงมือทำด้วยตนเอง
เจ้าสำนักถังเห็นเช่นนั้นก็ไม่ดึงดัน เพียงเอ่ยถามฉินหมิงฉุนด้วยรอยยิ้ม อายุเท่าใดแล้ว มีความรู้ระดับใด เคยอ่านหนังสือเล่มใดมาบ้าง
ฉินหมิงฉุนเดิมก็เกิดมาจากตระกูลใหญ่ นั่งพับขาอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ เอ่ยตอบด้วยท่าทางเรียบร้อย เดิมทีเขายังตื่นเต้นอยู่บ้าง แต่เห็นความเป็นมิตรของเจ้าสำนักถังแล้วจึงค่อยๆ เอ่ยตอบไปได้อย่างลื่นไหล
แต่เมื่อตอนเอ่ยถามถึงความรู้ เขาก็อึกๆ อักๆ ใบหน้าของเจ้าสำนักถังเกือบกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ ตระกูลของเขาศึกษาเล่าเรียน เด็กอายุสามขวบก็เริ่มเรียนพื้นฐาน เมื่อถึงห้าหกขวบ คัมภีร์สามอักษร[1] ตำราพันอักษร[2]เหล่านั้น ต่างท่องได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว
ทว่าเด็กตรงหน้านี้…
ช่างเถิด
“เขาโง่เขลา” ฉินหลิวซียกถ้วยน้ำชาด้วยสองมือส่งให้เจ้าสำนัก ใบหน้ารังเกียจเหลือบมองฉินหมิงฉุน เอ่ยต่อว่า “ในบ้านมีแต่สตรี หากโง่เขลาเช่นนี้ต่อไป ข้ากลัวว่าต่อไปเขาคงได้พึ่งเพียงใบหน้า โง่จนถึงที่สุดแล้ว ดังนั้น ท่านดูว่าจะสอนได้หรือไม่”
เจ้าสำนักถัง “!”
ฉินหมิงฉุนผู้โง่เขลาหลุบตาลง ใบหูแดงระเรื่อ เขาร่ำเรียนแย่ไปสักหน่อย ไม่โทษที่พี่หญิงใหญ่รังเกียจ
เจ้าสำนักถังให้เขาไปเขียนตัวอักษรบนโต๊ะเขียนหนังสือไม่กี่ตัว เพียงมองดูหนังตาก็กระตุก ทว่าเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “เจ้าออกไปเดินเล่นในสำนักศึกษาสักหน่อย”
ฉินหมิงฉุนมองไปยังฉินหลิวซี เห็นนางพยักหน้าจึงคารวะแล้วถอยออกไป
รอเขาไปแล้ว เจ้าสำนักจึงเอ่ยตามตรง “นี่คือน้องชายแท้ๆ ของเจ้าหรือ”
[1] คัมภีร์สามอักษร เป็นหนึ่งในผลงานที่มีชื่อเสียง เริ่มต้นเขียนโดย หวัง อิงหลิน ในสมัยราชวงศ์ซ้ง หรือในศตวรรษที่ 13 ถึงแม้ผลงานไม่ได้จัดเป็นหนึ่งในหกลำดับการเรียนรู้ของขงจื๊อดั้งเดิม หากแต่เป็นการหยั่งรากแนวทางหนึ่งตามปรัชญาขงจื๊อที่ใช้สำหรับสอนเด็ก จากในช่วงเริ่มต้นถึงในศตวรรษที่ 19 ซานจื้อจิงถูกใช้สำหรับการเรียนเริ่มแรกของเด็กเล็ก กล่าวได้ว่า เป็นหนังสือเรียนเล่มแรกสำหรับเด็ก เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ในสมัยนั้นยังไม่รู้หนังสือ จึงมีการใช้การเล่าเรื่องหรือนิทานเพื่อให้เป็นที่แพร่หลายสืบทอดกันมานับศตวรรษจนถึงปัจจุบัน
[2] วรรณกรรมพันอักษร เป็นบทกวีจีนที่ใช้เป็นพื้นฐานสำหรับการสอนตัวอักษรจีนให้กับเด็ก ๆ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 เป็นต้นไป ประกอบด้วยอักขระหนึ่งพันตัว แต่ละตัวใช้เพียงครั้งเดียว จัดเรียงเป็น 250 บรรทัด อักขระสี่ตัวต่อหนึ่งตัว และจัดกลุ่มเป็นบทกลอนสี่บรรทัดเพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ เป็นพื้นฐานของการฝึกอบรมการรู้หนังสือในจีนดั้งเดิม