คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 271 เส้นสายของฉินหลิวซี

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 271 เส้นสายของฉินหลิวซี

ที่มาที่ไปที่แท้จริงของฉินหลิวซี ไม่เคยปกปิดต่อหน้าเจ้าสำนักถัง เขาไม่พอใจที่ตระกูลฉินทิ้งเด็กหญิงคนหนึ่งเอาไว้ที่บ้านเดิมเพียงลำพัง ยามนี้ตระกูลฉินตกต่ำแล้ว เขาเองก็ได้ยินมาบ้าง ตอนนั้นยังอยากไปถามที่ตระกูลฉินว่านางต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ เพียงแต่ช่วงนี้ฉินหลิวซีไม่ได้มา เขายังรู้ว่าคนตระกูลฉินนั้นย้ายมาอยู่ที่บ้านเดิมหมดแล้วจึงไม่อาจไปได้ตามใจ ทำได้เพียงรอ ในขณะที่รอก็เขียนหนังสือรบกวนให้สหายไปตรวจสอบความจริงเรื่องการกระทำผิดของตระกูลฉิน

นิสัยของเด็กคนนี้ เขารู้เป็นอย่างดี ไม่เคยเอ่ยถึงสถานการณ์ในครอบครัวต่อหน้าเขาแม้เพียงประโยคเดียว ความสัมพันธ์ของนางต่อครอบครัวดูแล้วจืดจางเป็นอย่างยิ่ง

ก็ถูก หากเป็นเขา ก็คงจืดจางเช่นกันกระมัง

ยามนี้ในที่สุดฉินหลิวซีก็มาแล้ว ทว่ากลับพาน้องชายคนหนึ่งของนางมาก จะใช้น้ำใจของเขา ยัดน้องชายทั้งสองเข้าเรียนที่สำนักศึกษา

เช่นนั้นเด็กคนนี้ มีความรู้สึกต่อคนในครอบครัวหรือไม่มีกันแน่

“อืม เป็นน้องชายของข้า มารดาเดียวกัน” ฉินหลิวซีพยักหน้า “คนที่บ้าน เป็นลูกของอารอง”

เจ้าสำนักถังมองนางยอมรับ จึงเอ่ย “เรื่องปู่ของเจ้าข้าก็เคยได้ยินมา แผ่นดินเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คงมีความโกรธอย่างมาก ฝ่าบาทยังส่งสตรีตระกูลฉินกลับมาบ้านเกิด ให้เด็กชายอายุสิบเอ็ดขึ้นไปต้องถูกเนรเทศ เกรงว่าคงเพราะเหมิงกุ้ยเฟยเพิ่งให้กำเนิดพระโอรส สะสมสิริมงคลให้แก่เขา”

หากมิเช่นนั้นตัดหัวเนรเทศทั้งตระกูลก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

คนเป็นกษัตริย์ สิ่งสำคัญที่สุดต้องดูความมั่นคงของบัลลังก์มังกรของตน แผ่นดินแข็งแกร่ง ไหนเลยจะยอมให้พิธีเซ่นไหว้งานใหญ่ต้องมีสิ่งอัปมงคล

โชคดีที่ปีนี้เหมิงกุ้ยเฟยมีพระโอรสพระองค์ใหม่เพิ่มขึ้นมา ยังเป็นที่โปรดปราน เพื่อเสริมสิริมงคลให้กับเขา ฝ่าบาทจึงยอมรับคำร้องขอจึงลดโทษให้ ‘เบา’ ลง

ฉินหลิวซีไม่ยอมรับไม่ปฏิเสธ เอ่ย “เป็นโชคดีมิใช่โชคร้าย เป็นโชคร้ายไม่อาจเลี่ยงได้ ตระกูลฉินประสบในครั้งนี้ เป็นโชคชะตาไม่อาจเลี่ยงได้”

“ข้าอยากไปถามเจ้ามาตลอด ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ ทั้งกลัวไปที่เรือนแล้วผู้อาวุโสที่บ้านเจ้าจะคิดมาก” เจ้าสำนักถังเอ่ย “รอเจ้ามาหา แต่เจ้ากลับไม่มาสักที”

อายุของเขาแทบจะเป็นบิดาของฉินหลิวซีได้แล้ว แต่นางเป็นสตรีที่อยู่เพียงลำพัง ปีนี้ก็ปักปิ่นแล้ว มีการแบ่งแยกชายหญิง ต่อให้พวกเขาบริสุทธิ์ใจ ผู้ใดจะรู้ว่าตระกูลฉินคิดอย่างไร

“ท่านเป็นคนที่ข้ารู้จักมาห้าปี ยังไม่รู้นิสัยของข้าอีกหรือ หากมีเรื่องจริงๆ ข้าจะไปหาเส้นทางและเส้นสายของข้าเอง หากไม่ได้มาหา แน่นอนว่ายังรับมือได้ ท่านไม่ต้องร้อนใจ”

เจ้าสำนักถังส่งเสียงหึเบาๆ “แน่นอนว่าข้ารู้ ยิ่งรู้ว่าเจ้าให้ความสำคัญกับผลกรรม ยังกลัวว่ารับน้ำใจข้า อนาคตต้องชดใช้”

“น้ำเสียงของท่านนี้ แค้นเคืองราวกับสตรี เช่นนี้ไม่ดี”

เจ้าสำนักถัง “!”

บางครั้งเขาก็เกือบโกรธนางจนเป็นโรคหัวใจจริงๆ

เจ้าสำนักถังสูดหายใจเข้าลึก เอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้ามีความสามารถ เอ่ยย้ำอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเทียบกับบุญคุณการช่วยชีวิต ช่วยเจ้าเล็กๆ น้อยๆ จะคุ้มค่าเพียงใด หากจะเอ่ยถึงเวรกรรม ข้าติดหนี้เจ้ามากกว่า”

“อย่าสิ ข้ารักษาให้ท่าน ท่านก็จ่ายเงิน จบสิ้นไปนานแล้ว” ฉินหลิวซีรีบเอ่ย

“เจ้ากำลังตั้งใจขีดเส้นแบ่งกับข้าหรือ” เจ้าสำนักถังแสร้งทำเป็นเสียใจ “ก็จริง ข้าเป็นเพียงคนธรรมดา ไหนเลยจะเป็นอาจารย์ของเจ้าได้ ไม่แปลกที่เจ้าจะรังเกียจ”

“ท่านเลิกทำท่าทางเช่นนี้เถิด ทำตัวน่าสงสารอยากเป็นอาจารย์ผู้อื่น ไม่เหมาะกับท่านเลยจริงๆ มีอะไรก็เอ่ยมาตามตรงเถิด”

เจ้าสำนักถังสะกดกลั้นรอยยิ้มในดวงตา เอ่ย “อาจารย์แม่ของเจ้าพวกเขาใกล้กลับมาแล้ว ส่งจดหมายมาบอกก่อนแล้ว ถึงตอนนั้นให้เจ้ามากินข้าวที่บ้าน ข้าบอกเจ้าตอนนี้เลย ห้ามปฏิเสธด้วย”

ทั้งสองไม่ได้กราบอาจารย์อย่างเป็นทางการ แต่เพื่อเป็นการให้เกียรติ ฉินหลิวซีเองก็เรียกเขาว่าอาจารย์ ภรรยาของเขา แน่นอนว่าเป็นอาจารย์แม่แล้ว

ฉินหลิวซีพยักหน้า “ถึงตอนนั้นข้าจะไปเยือนที่จวนเจ้าค่ะ”

เจ้าสำนักถังพึงพอใจ เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เจ้ารอก่อน”

เขาลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปด้านในห้อง หยิบกล่องเล็กๆ กล่องหนึ่งออกมาก่อนจะยื่นให้ฉินหลิวซี “ของขวัญปักปิ่น ให้ช้าแล้ว ไม่คิดว่าเจ้าเองก็ไม่มา” ชะงักไปชั่วครู่จึงเอ่ย “ไม่ได้มีราคามาก เจ้าเอาไปเล่น หากไม่ชอบก็วางทิ้งไว้ข้างๆ”

แม้จะเอ่ยเช่นนั้น ทว่าสายตายังคงกังวล

เขารู้จักแม่นางผู้นี้ดีเกินไป เอาแต่คิดถึงผลกรรมไม่ปล่อยวาง ให้มากแล้ว นางก็จะคิดหาวิธีเอามาคืน กฏของลัทธิเต๋านั้นเข้มงวดเพียงนี้เลยหรือ

ให้ความสำคัญยิ่งกว่าตระกุลขุนนางสูงศักดิ์เสียอีก

ทำให้เขาที่ให้ของขวัญยังต้องระมัดระวัง ยังกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่เอา

ฉินหลิวซีเปิดกล่องออกด้านในเป็นตราประทับหยกเลือดไก่ชั้นดีขนาดเล็กหนึ่งชิ้น ลักษณะกลม รูปลักษณ์หยกแกะสลักดุจเปลวเพลิง ส่วนฐานเหมือนดอกบัว ยังสลักชื่อของนางเอาไว้ด้วย งดงามเป็นอย่างมาก

“เจ้าเป็นคนในลัทธิเต๋า เดิมก็มีฉายา ไม่รู้ว่าเจ้าใช้ฉายาหรือไม่ จึงไม่ได้สลักเอาไว้ สลักเพียงชื่อจริงของเจ้า สตรีที่ปักปิ่น ควรมีตราประทับของตนเอง” เจ้าสำนักถังเอ่ยสบายๆ

ฉินหลิวซีกลับรู้ ตราประทับนี้หมายถึงคำอวยพรของผู้อาวุโส เจ้าสำนักถังเป็นเจ้าสำนักของสำนักศึกษาที่ให้ความรู้คน ทว่าน้อยนักที่มีคนรู้ เขายังเป็นอาจารย์ที่เป็นคฤหัสถ์[1]ของอารามชิงอวิ๋นผู้มีชื่อเสียงอีกด้วย นอกจากโดดเด่นเรื่องการแกะสลัก ภาพวาดภูเขาแม่น้ำเองก็เป็นที่สุด

“โด่งดังและล้ำค่ามาก” ฉินหลิวซีเล่นตราประทับ

เจ้าสำนักถังตกใจ ไม่ใช่จะคืนกลับมากระมัง

ฉินหลิวซีเก็บตราประทับลงในกล่อง ลุกขึ้นแสดงความเคารพ “ขอบคุณท่านอาจารย์”

หัวใจของเจ้าสำนักถังกลับมาที่เดิม ลูบเครา โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าไม่รังเกียจก็พอแล้ว”

“ผลงานของคฤหัสถ์ของอารามชิงอวิ๋นไหนเลยจะกล้ารังเกียจ” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม หยิบขวดเล็กๆ หนึ่งขวดออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นให้เขา “นี่ ให้ท่าน”

สีหน้าเจ้าสำนักถังทะมึน “ข้าให้ของขวัญวันเกิดเจ้า เจ้าก็ต้องตอบแทน กับข้าก็ต้องเข้มงวดเพียงนี้เลยหรือ”

“ที่ใดกันเล่า เป็นของขวัญขอบคุณสำหรับเส้นสายให้น้องชายทั้งสองของข้า เดิมท่านท่านแม่จะเตรียมให้ ข้าปฏิเสธไป” ฉินหลิวซีเอ่ย “นี่ก็ไม่นับว่าเป็นของขวัญขอบคุณทั้งหมด เอาไว้ให้ท่านบำรุงร่างกาย โรคหัวใจท่านรักษาหายแล้ว แต่ยังต้องดูแลให้ดี”

เจ้าสำนักถังมองไปยังยาขวดนั้น คือยาหย่างหรง นั่นก็เป็นยาชั้นดีที่ล้ำค่าและหาได้ยาก เอ่ยอย่างจนใจ “นี่ยิ่งโด่งดังและแพงยิ่งกว่า”

“มีประโยชน์ก็พอ ของสิ่งนี้ก็ไม่ได้หามายาก ร่างกายท่านบำรุงดีแล้วจึงจะสอนหนังสือไปได้อีกนาน สอนคนเก่งๆ ออกมามากมาย” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เจ้าสำนักถังยกนิ้วขึ้นมาชี้ไปที่นาง เอ่ย “เจ้าเด็กโง่เขลาเมื่อครู่คือ…”

“เขาอยู่คนที่ห้าของบ้าน อีกคนที่อยู่บ้านนั่นคนที่สี่”

“ก็ได้ เจ้าห้าผู้นี้ข้าดูแล้วบริสุทธิ์ใสซื่อ เพียงแต่การเรียนนั้นยากที่จะทนดูได้ ส่วนคนที่บ้านนั้นเล่า”

“คนนั้นเรียนจนโง่แล้ว” ฉินหลิวซีเบ้ปาก

เจ้าสำนักถังมอง เข้าใจแล้ว เขาเข้าใจความคิดของเด็กคนนี้แล้ว

“ต้องการทำให้เข้าที่เข้าทางหรือ”

“ดูพวกเขาแล้ว เป็นคนดีแน่นอนว่าดี สมองตื่นรู้ ถึงจะเข้าใจเรื่องราวและหลักการ ไม่สร้างปัญหาให้ครอบครัว ข้าไม่อยากตามเช็ดตามล้างอยู่ข้างหลังพวกเขา น่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก”

เรื่องการสั่งสอนลูกศิษย์ของเจ้าสำนักถัง นางวางใจ ทิ้งคนไว้ให้เขา นางก็ไม่ต้องสนใจแล้ว

“ให้ข้ารับเจ้าห้าเป็นศิษย์หรือไม่”

ฉินหลิวซีชะงัก ได้เป็นศิษย์ที่แท้จริงของเจ้าสำนักถัง สำหรับฉินหมิงฉุนที่เกิดมาจากเชื้อสายรองนับว่าเป็นการยื่นทองคำให้แล้วจริงๆ และดูจากท่าทางของเขาแล้ว เพียงนางตอบตกลง เขาก็จะรับอย่างแน่นอน

[1] คฤหัสถ์ คือผู้ศรัทธาที่เข้าพิธีปวารณาตนเป็นผู้นับถือเต๋าแบบเป็นทางการ โดยมีนักพรตหรืออารามเป็นผู้รับรอง

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท