ตอนที่ 272 กิจการร้านโลงศพเส้นสายของฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีเคาะโต๊ะพลางไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ เนิ่นนานจึงส่ายศีรษะ “ดูคุณสมบัติของเขาหลังจากนี้ค่อยวางแผน หากเขาสั่งสอนได้ ท่านชื่นชอบก็แล้วแต่ท่านว่าจะรับหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ”
นางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “ท่านแม่จิตใจกว้างขวางจริงใจ แต่พี่ชายเชื้อสายหลักของเขากำลังต้องทนทุกข์อยู่ที่ซีเป่ย เขากินนอนอยู่เมืองหลีไม่มีความกังวล หากได้เป็นนักเรียนของเจ้าสำนักถังผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างดีจากท่าน ราวกับตระกูลฉินยังไม่ตกต่ำ เช่นนั้นคนอื่นจะคิดอย่างไร”
เจ้าสำนักถังเงียบไป
“แม่ใหญ่เองปากก็คงไม่เอ่ยอะไร เพียงแต่ใจเกรงว่าคงไม่สงบ บางครั้งหนามที่ปักลงไปถูกคนดึงออกมาแล้วปักลงไปลึกกว่าเดิม ก็คงไม่อาจดึงออกมาได้อีกแล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านแม่เป็นคนมีเมตตา กับข้า กับเจ้าห้า และกับอี๋เหนียงผู้โง่เขลาของข้าผู้นั้น นางได้มอบจิตใจที่เมตตาเท่าที่นางจะให้ได้จนถึงที่สุดแล้ว คนเช่นนี้ข้าไม่อยากปักหนามลงในหัวใจของนาง บุตรชายแท้ๆ ไม่ได้อยู่ข้างกายทว่าต้องทนทุกข์อยู่ข้างนอก ผู้เป็นมารดาเป็นทุกข์มากพอแล้ว เหตุใดยังต้องมาทุกข์เพราะความไม่เท่าเทียมนี้อีกเล่า”
เจ้าสำนักถังเอ่ย “เจ้าเด็กคนนี้ ความจริงแล้วใจอ่อนที่สุด”
ฉินหลิวซียิ้มบาง “นางเป็นคนดีคนหนึ่ง ข้ายอมรับในความดีนี้”
“ก็ได้”
“เจ้าห้าใสซื่อจิตใจดี เกรงว่าไม่ใช่วัตถุดิบที่ดีในการศึกษา เขาสามารถเรียนรู้ได้มากเพียงใดเป็นความสามารถของเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สิ่งที่ควรเข้าใจเขาต้องเข้าใจ ควรเข้าใจเรื่องราวและหลักการ มีความรับผิดชอบ” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “หากต่อไปเขาสนับสนุนพี่ชายเชื้อสายหลักได้ เช่นนั้นชีวิตนี้ของเขา ร่ำรวยมีเกียรติสมความปรารถนาเต็มไปด้วยโชควาสนา”
เจ้าสำนักถังเข้าใจแล้ว เอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พรุ่งนี้ก็ให้พวกเขามานั่งฟังที่สำนักศึกษาเถิด รอดูการสอบประจำเดือนหลังจากหนึ่งเดือนไปแล้วว่าพวกเขาจะสามารถอยู่ต่อเป็นนักเรียนที่แท้จริงได้หรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีเห็นว่าจัดการธุระเสร็จแล้วจึงจับชีพจรให้เขา ออกใบสั่งยาบำรุงร่างกาย ก่อนจะออกไปหาฉินหมิงฉุนพร้อมกับเขา
สำนักศึกษาจือเหอพื้นที่กว้างขวาง แบ่งชั้นเรียนหลายชั้น มีลูกศิษย์ที่ยังเล็กเท่าฉินหมิงฉุน มีครึ่งผู้ใหญ่อย่างฉินหมิงฉี ยังมีลูกศิษย์อายุสิบห้าสิบหกที่สามารถลงสนามสอบได้ เข้าเรียนตามสิ่งที่เรียนและมีคุณสมบัติ
อย่างเช่นมีอัจฉริยะน้อยอายุสิบเอ็ดสิบสองปี เรียนเนื้อหาของคนอายุสิบห้าสิบหกแล้ว เขาก็สามารถกระโดดข้ามชั้นไปเรียนด้วยกันได้
ที่สำนักศึกษานอกจากเรียนสี่ตำราห้าคัมภีร์แล้ว ยังต้องเรียนศาสตร์ทั้งหกสำหรับมหาบุรุษ[1] และทุกๆ เดือนต้องมีการสอบประจำเดือน ผู้ที่ไม่ผ่านการสอบจะได้รับคำแนะนำให้ออก คนที่ใช้เส้นสายยัดเข้ามาอย่างฉินหมิงฉุนและฉินหมิงฉีใช่ว่าจะไม่มี แต่พวกเขาก็ยังต้องอาศัยความสามารถตนเองจึงจะอยู่ต่อไปได้
ดังนั้นต่อให้พวกฉินหมิงฉุนสองพี่น้องได้เข้าสำนักศึกษาด้วยกัน หลังจากนี้หากอยากอยู่ในสำนักศึกษาต่อ ต้องมีคะแนนที่แข็งแกร่งจึงจะได้ มิเช่นนั้นก็จะถูกแนะนำให้ออก และการถูกแนะนำให้ออกเป็นที่น่าขายหน้าเป็นอย่างยิ่ง
ไม่เข้ากลับออก คือการลาออกจากสำนักศึกษา
ฉินหมิงฉุนที่กำลังเที่ยวชมได้ยินสิ่งเหล่านี้เข้า พลันรู้สึกกดเหมือนมีภูเขาหนึ่งลูกมากดทับเขาเอาไว้
ตายแน่แล้ว พี่หญิงใหญ่เอาจริงแล้ว ไม่ได้หาสำนักศึกษาธรรมดาให้เขาเรียนไปเล่นๆ แต่หาสำนักศึกษาที่สามารถถลกหนังทิ้งได้
เมื่อเดินออกมาจากสำนักศึกษา ใบหน้าเล็กของเขายังคงเหี่ยวเฉา หัวคิ้วขมวดเข้าด้วยกัน ท่าทางดูเป็นกังวล
“คิดอะไรอยู่”
ฉินหมิงฉุนเอ่ย “ข้ากำลังคิดว่า หากถึงตอนนั้นถูกสำนักศึกษาขับออกมาแล้ว พี่หญิงใหญ่จะตีข้าจนตายหรือไม่”ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
เท้าของฉินหลิวซีหยุดชะงัก ก้มมองลงมาที่เขา มุมปากยกยิ้มไม่เอ่ยวาจา
จะตีหรือไม่
รอยยิ้มนี้ เจ้าแยกแยะสิ แยกแยะดูให้ดีดฮณ๊ฯดฯฌซ,
ฉินหมิงฉุนรีบยกกำปั้นขึ้นมา “ข้าจะมุมานะแน่นอนขอรับ”
ไม่มีทางให้โอกาสท่านได้ตีตายเด็ดขาด
ฉินหลิวซีส่งเสียงหึขึ้นมา สาวท้าวก้าวเดินไปข้างหน้า เอ่ยว่า “เห็นแก่การเกิดมาจากมารดาคนเดียวกัน ข้าปูเส้นทางเอาไว้ให้เจ้าแล้ว แต่ไม่อาจจูงมือเจ้าว่าเดินอย่างไร ต้องอาศัยตัวเจ้าเอง ดังนั้นจะอยู่ที่สำนักศึกษาได้หรือไม่ ต้องดูความสามารถของเจ้า หากเจ้าอยู่ต่อได้ เช่นนั้นเส้นทางหลังจากนี้ จะเดินได้สบายขึ้นมาก ฉินหมิงฉุน เจ้าตัดสินใจด้วยตนเองเถิด”
ฉินหมิงฉุนวิเคราะห์วาจานี้โดยละเอียด เนิ่นนานจึงตามไป เกาะชายกระโปรงนางเบาๆ เอ่ย “เช่นนั้นหากข้าไม่ได้อยู่ต่อ เห็นแก่เกิดจากมารดาเดียวกัน ท่านจะปราณีสักนิดได้หรือไม่”
พูดไปพูดมา ก็คือกลัวถูกตี
ฉินหลิวซียิ้มเย็น “หากไม่ได้อยู่ ก็ขึ้นเขาไปเป็นนักพรตน้อยเถิด”
ต่อไปจะได้เป็นนักต้มตุ๋นน้อย
ฉินหมิงฉุนส่งเสียงอ๋าขึ้นมา นึกถึงความยากจนของการเป็นนักพรตน้อย ช่างเถิด เขาสู้เต็มที่สักตั้งจะดีกว่า
ฉินหลิวซีขึ้นรถม้า ให้หลี่เฉิงตรงไปที่ร้านขายโลงศพ ร้านนี้นางไม่อาจปล่อยให้ว่างไปตลอดได้ ต้องทำอะไรสักอย่าง
แต่ว่าทำอะไรเล่า
นับตั้งแต่ฉินหลิวซีรับหน้าที่จัดการดูแลกิจการ นางก็ให้ผู้ดูแลหลี่พาคนมาเก็บกวาดซ่อมแซมไปหนึ่งรอบ ร้านได้ประกาศรับคนออกไปนานแล้ว เมื่อเปิดประตูเดินเข้ามา ด้านในก็ว่างเปล่า สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเจ้าของคนเก่าทั้งหมดล้วนถูกเก็บกวาดจนเกลี้ยง
เพียงแต่ฉินหลิวซียังไม่มีคำสั่งอื่น ร้านจึงยังว่างเปล่า ยังไม่ตกแต่งอย่างอื่น艾琳小說
ฉินหมิงฉุนเดินตามหลังนางมองซ้ายแลขวา ไม่เข้าใจว่าร้านว่างเปล่าร้านหนึ่งมีอะไรน่าดู ไม่นานก็มานั่งลงข้างประตู เท้าแก้ม ไตร่ตรองถึงชีวิตหลังจากนี้
“เอ๋ ใช่ที่นี่หรือไม่ เด็กน้อย เจ้าคงไม่ใช่หลานของผู้เฒ่ากวนกระมัง ไม่ใช่สิ หลานชายของผู้เฒ่ากวนตายไปนานแล้ว เจ้าเป็นใครกัน” ชายวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าป่านที่แขนมีผ้าไว้ทุกข์พันเอาไว้ มองสำรวจฉินหมิงฉุน จากนั้นมองเข้าไปด้านใน
ฉินหมิงฉุนร้องตะโกนเสียงดัง “เจ้าพูดไม่เป็นหรืออย่างไร อ้าปากก็ตายก็ไปแล้ว เจ้าถามว่าข้าเป็นใคร แล้วเจ้าเล่าคือผู้ใด”
เสียงดังดึงความสนใจจากฉินหลิวซีที่อยู่ด้านใน เอ่ยถาม “มีเรื่องใดกัน”
“พี่…ชาย” คำว่าสาวมาถึงปากของฉินหมิงฉุน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นพี่ชายแล้ว
เพียงเพราะฉินหลิวซีสวมชุดบุรุษ ฉีหวงเคยบอกว่าอยู่ข้างนอก หากนางแต่งกายเป็นบุรุษ ต่อหน้าคนอื่นต้องเรียกนางว่าพี่ชาย
ฉินหลิวซีได้ยินคำเรียกขานนี้ หัวคิ้วขมวดมุ่น มองไปยังชายที่ยืนอยู่ด้านนอก เมื่อมองเห็นเขา ดวงตาก็หรี่ลง เอ่ยถาม “เจ้ามีเรื่องอะไร”
ชายผู้นั้นเองไม่คิดว่าจะเจอฉินหลิวซีบุรุษหน้าตาดีเช่นนี้อยู่ที่นี่ ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวมองร้านอีกครั้ง เอ่ยอย่างระมัดระวัง “ที่นี่ไม่ใช่ร้านโลงศพของผู้เฒ่ากวนหรอกหรือ โลงศพพ่อของข้าเมื่อก่อนยังทำอยู่ที่นี่อยู่เลย”
ใบหน้าเล็กของฉินหมิงฉุนซีดขาว ห๊า ที่นี่คือร้านโลงศพหรือ มิน่าเล่าเขาถึงรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว
ฉินหลิวซีเอ่ย “เมื่อก่อนใช่ ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว หลายวันก่อนผู้เฒ่ากวนได้ตายไปแล้ว”
ชายผู้นั้นตกใจ “ตายแล้วหรือ”
ฉินหลิวซีพยักหน้า
ชายผู้นั้นถอนหายใจ ประสานมือหันเข้าไปด้านใน เอ่ย “เช่นนั้นข้าคงรบกวนแล้ว”
เขาหมุนตัวกำลังจะเดินออกไป
“ช้าก่อน”
เท้าของชายผู้นั้นชะงัก หันกลับมา
“มาหาผู้เฒ่ากวนเพราะจะทำโลงศพหรือ”
“เจ้าทำได้หรือ”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ต่อให้ทำโลงศพใหม่ ก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาที่บ้านเจ้ามีตอนนี้ได้หรอก โลงศพก็จะยังยกไม่ได้”
สีหน้าของชายผู้นั้นพลันเปลี่ยน มองฉินหลิวซีด้วยความตกใจ กลืนน้ำลาย เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เจ้า เจ้ารู้อะไร”
[1] ศาสตร์ทั้งหกสำหรับมหาบุรุษ (มารยาท ดนตรี ยิงธนู ขี่ม้า การเขียนอักษร ตัวเลข) คือ ความรู้สำหรับมหาบุรุษ เป็นวิชาความรู้โบราณ ที่มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว