คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 273 พี่ใหญ่ดุขึ้นมา พวกผีต่างกลัวนางกันหมด

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 273 พี่ใหญ่ดุขึ้นมา พวกผีต่างกลัวนางกันหมด

ชายที่มาตามหาตาเฒ่ากวนที่ร้านโลงศพมีแซ่หวัง ชื่อต้าหย่ง เขาเป็นชาวบ้านหมู่บ้านตระกูลหวังที่อยู่ชานเมือง ที่จริงแล้วการมาครั้งนี้เป็นเพราะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นในขณะกำลังจัดงานศพที่บ้าน

เป็นดั่งที่ฉินหลิวซีว่าไว้ ขณะที่กำลังยกโลงศพของท่านผู้เฒ่าเพื่อไปฝังดินนั้น โลงศพกลับยกไม่ขึ้น หวังต้าหย่งถามฉินหลิวซีอย่างระมัดระวังว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

“เอาเป็นว่า สิ่งที่ข้าพูดไปผิดหรือไม่”

หวังต้าหย่งกลืนน้ำลาย นึกอยากดื่มน้ำสักอึกแต่ที่นี่ไม่มีสิ่งใดเลย เขาได้แต่เอ่ยด้วยลำคอแห้งผากไปว่า “เป็นอย่างที่เจ้ากล่าวไว้ไม่ผิด บิดาข้าตายมาหลายวันแล้ว วันนี้ตอนที่กำลังจะยกโลงไปฝังลงดิน โลงศพนั่นราวกับหนักเป็นพันชั่ง ยกอย่างไรก็ไม่ขึ้น ต่อมาพวกเด็กหนุ่มๆ ในหมู่บ้านต่างพากันมาช่วยยก ถึงได้ยกขึ้นมาได้ แต่กลับเกิดเรื่องไม่คาดคิด โลงพลิกคว่ำ ทั้งยังไปชนเข้ากับเทียนบนโต๊ะตั้งเครื่องเซ่นไหว้ เทียนนั่นร่วงหล่นลงบนโลงศพทำให้เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นมา”

หวังต้าหย่งคิดถึงภาพนั้น ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ จู่ๆ ก็เกิดรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง เขากลืนน้ำลายอีกครั้ง

ฉินหมิงฉุนยืนฟังอยู่ข้างๆ ในใจกลัวจนทนไม่ไหว เขยิบไปยืนข้างฉินหลิวซี

“กลัวหรือ” ฉินหลิวซีชำเลืองมอง พลางกล่าวว่า “เฉินผี พาเขาไป”

เฉินผีรับคำพลางดึงมือฉินหมิงฉุนเดินออกไป

ฉินหมิงฉุนเดินออกมาถึงด้านนอกภายใต้แสงแดด ถึงได้รู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นขึ้น เมื่อมองกลับไปที่ประตูร้านโลงศพ ถามเฉินผีเบาๆ ว่า “พี่ใหญ่ไม่กลัวเลยหรืออย่างไร”

เฉินผีหัวเราะพลางเอ่ย “มีอะไรน่ากลัว ที่น่ากลัวกว่านี้ก็เคยพบเห็นมาแล้ว เพียงแต่คุณหนูไม่เคยกลัวสิ่งใด”

อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนนี่ ฉินหมิงฉุนเม้มริมฝีปากสีแดงงดงาม พลางกระซิบกระซาบว่า “ก็ใช่ พี่ใหญ่ดุขึ้นมา พวกผีต่างกลัวนางกันหมด”

“…” เฉินผี

ท่านพูดความความจริงออกมาจนหมดแล้ว

ภายในร้าน หวังต้าหย่งเล่าถึงเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นในบ้านของเขาต่อ “เทียนเล่มนั้นหล่นลงบนโลงศพ ตามหลักแล้วต้องกลิ้งหล่นพื้นไป น่าประหลาดนัก มันไม่เป็นเช่นนั้นแต่กลับลุกไหม้ขึ้นมา พวกเราต่างช่วยกันดับไฟจ้าละหวั่น เสียเวลาอยู่พักหนึ่งถึงดับไฟลงได้ แต่ไฟก็ไหม้โลงไปมุมหนึ่งแล้ว โลงศพมีรอยไหม้ไฟ ไม่เป็นมงคลยิ่งนัก พวกเราไม่กล้านำร่างบิดาเดินทางไปทั้งอย่างนั้น จึงได้มาที่ร้านโลงศพนี่เพื่อให้ตาเฒ่ากวนลงมือทำโลงอีกโลง แต่ถึงทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ซ่อมรอยรั่วโลงเดิมก็ยังดี ไม่คิดว่าตาเฒ่าจะจากไปแล้ว”

หวังต้าหย่งถอนหายใจ เอ่ยว่า “คุณชายน้อย เจ้ามองเห็นเรื่องของข้าได้ทะละปรุโปร่ง หรือว่าเจ้ามีญานวิเศษหรือ รู้เรื่องราวของพ่อข้าได้อย่างถูกต้อง คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านข้าต่างรู้กันดีกว่าท่านพ่อข้าไม่อยากจากไป เจ้าเห็นว่าอย่างไร”

“ที่จริงแล้วกำลังมีพลังหยินเล่นงาน อาจเป็นวิญญาณที่เปลี่ยวเหงา ปีศาจร้าย หรือเป็นบิดาของท่าน ก็ยังไม่แน่ชัด” ฉินหลิวซีกล่าว

คนคนนี้จุดอิ้นถัง[1]หมองคล้ำ ร่ายกายปกคลุมไปด้วยพลังหยิน ยังไม่นับว่าพลังนั่นกำลังทำร้ายตัวเขามากแค่ไหน นางสงสัยว่าพลังหยินนี้จะมาจากผู้เฒ่าหวัง พ่อของเขานั่นเอง แต่จะใช่หรือไม่ใช่ ต้องไปยังที่หมู่บ้านนั้นถึงจะรู้ได้

หวังต้าหย่งได้ยินดังนี้ เกือบจะลุกหนีไปเสียแล้ว เขากล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้ นั่นเป็นพ่อของข้า ไยเขาจึงหลอกหลอนอยู่ที่บ้านได้เล่า เกรงว่าท่านอวดอ้างหลอกลวงข้าแล้วหรือไม่”

“หลอกท่าน ข้าเคยขอเงินจากท่านหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ย “เช่นนั้น เจ้าว่ามาว่าบิดาของเจ้าตายได้อย่างไร”

สีหน้าหวังต้าหย่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย นัยน์ตามีแววหลุกหลิก อ้ำๆ อึ้งๆ ก่อนจะเอ่ยตอบไปว่า “ท่านพ่อข้าแก่แล้ว จะตายด้วยสาเหตุใดเล่า ก็แก่ตายนั่นอย่างไร”

แค่มองเห็นท่าทางการแสดงออกของเขา นางก็รู้ว่าต้องมีเรื่องปิดบังอำพรางเป็นแน่ จึงกล่าวต่อ “หากเป็นการแก่ตายตามธรรมชาติ ไยโลงศพถึงกับยกไม่ขึ้น ท่านไม่ยอมพูดต่างหาก พอกันที ท่านกลับไปได้แล้ว ข้าขอเตือนไว้ ถ้าหากยังไม่ฝังศพ วิญญาณพ่อท่านหากยังมีแรงอาฆาตพยาบาทวนเวียนอยู่ที่นั่น อาจกลายเป็นวิญญาณร้าย ก่อความวุ่นวายจนบ้านท่านหาความสงบสุขไม่ได้”

“เจ้า เจ้าขู่ข้าหรือ!” หวังต้าหย่งกลืนน้ำลาย ในใจพลันเกิดความกลัว

ฉินหลิวซีหัวเราะพลางชี้ไปที่ประตู “ที่ควรพูดก็พูดแล้ว ไม่มีสิ่งใดจะกล่าวอีก ประตูอยู่ทางนั้น ไม่ส่ง”

หวังต้าหย่งยืนขึ้นแล้วเดินออกไป เดินไปไม่กี่ก้าว สายตาก็กวาดมองไปยังร้านว่างๆ “เจ้าทำการค้าเช่นนี้เองหรือ พวกจัดงานศพไล่ผี?”

ฉินหลิวซีชะงักไป กวาดสายตามองภายในร้าน ร้านรับไล่ผีงั้นหรือ “ยังไม่นับว่าใช่ แต่จะทำก็ย่อมได้”

“เจ้าไม่มีอะไรสักอย่าง อย่าเที่ยวหลอกคนไปทั่ว” หวังต้าหย่งเอ่ย

“คนพื้นๆ เช่นท่าน อย่างมากก็เป็นแค่คนธรรมดาสามัญทั่วไป มีเหลือกินเหลือเก็บนิดหน่อย จะมีเงินสักเท่าไหร่ให้ข้าหลอกเล่า อย่าเห็นแค่ว่าตัวข้าเป็นแค่คุณชายน้อย แท้จริงแล้วข้าเป็นนักพรตของอารามชิงผิง” ฉินหลิวซีกล่าวพลางหัวเราะ

“เจ้าน่ะหรือ” หวังต้าหย่งจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างประเมินหนหนึ่ง อีกฝ่ายไม่พูดอะไรจะเป็นผลดีกับตัวเองมากกว่า ที่พูดมานั้นยิ่งเหมือนเรื่องหลอกลวงผู้คน ทั้งยังแอบอ้างเป็นนักพรตจากอารามชิงผิง

ฉินหลิวซีเห็นเขาไม่เชื่อจึงกล่าวต่อไปว่า “ดูท่าทางของท่านแล้วก็เห็นได้ชัดว่ามีแม่สองคน พ่อของท่านมีภรรยาสองคนใช่หรือไม่ ภรรยาคนที่สองเป็นแม่เลี้ยง”

หวังต้าหย่งหายใจสะดุด เกือบจะยืนไม่อยู่

“ภรรยาท่านกำลังตั้งท้องอยู่? โบราณว่าคลอดลูกสาวก่อนจึงได้ลูกชาย ท่านมีลูกสาวถึงสองคนแล้ว ยินดีด้วย คนถัดไปนี้เป็นผู้ชาย”

หวังต้าหย่งดวงตาเบิกโพลง บีบมือด้วยความตระหนก “เจ้า เจ้าทำไมจึง?”

“แค่เห็นรูปร่างหน้าตาท่าทางของท่าน ก็สามารถอ่านออกมาได้อย่างง่ายดาย”

หวังต้าหย่งในใจยินดีอย่างยิ่ง “ภรรยาข้าท้องนี้จะเป็นเด็กผู้ชายหรือ”

“เทียบกันแล้ว ท่านไม่ต้องรีบจัดการเรื่องที่โลงศพของบิดายกไม่ขึ้นก่อนหรือ หากเรื่องยืดเยื้อ แม้ภรรยาท่านจะรักษาครรภ์ไว้ได้ แต่เรื่องงานศพนี้เป็นเรื่องเศร้าโศกที่ต้องเหน็ดเหนื่อยจัดการอยู่แล้ว ขืนยืดเยื้อจะมีแต่ทำให้เจ็บปวดจนหมดเรี่ยวหมดแรง”

หวังต้าหย่งสีหน้าท่าทางตั้งอกตั้งใจ ถามอย่างระมัดระวัง “ไต้ซือ หากว่าเชิญท่านไปดูที่บ้านข้าสักหน่อย จะต้องใช้เงินสักเท่าไหร่ถึงจะเชิญท่านไปได้หรือ”

“สิบตำลึง”

หวังต้าหย่งได้ฟังราคานั้นก็รู้สึกเข้าเนื้อ บ้านเขาถึงจะมีที่ดินทำกินอยู่สักเล็กน้อย แต่เงินสิบตำลึงสำหรับครอบครัวที่ทำสวนทำไร่ ก็เป็นเงินจำนวนมากทีเดียว

แต่คิดถึงคำพูดของฉินหลิวซี แล้วก็คิดถึงการตายของบิดา ท่านตายได้อย่างไร ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่แม่เลี้ยงพูด เป็นเพราะไม่ได้มียศฐาบรรดาศักดิ์ พวกเขาจึงไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด ถึงตอนนี้เมื่อรวมเรื่องแปลกประหลาดเหล่านั้นเข้าด้วยกัน มิใช่ว่ามีเรื่องแอบแฝงหรอกหรือ

หวังต้าหย่งเป็นลูกกตัญญู สำหรับบิดาของเขาแล้วเป็นความกตัญญูที่ออกมาจากใจ เขาอายุเท่านี้แล้ว มีแต่ลูกสาวสองคน ตอนนี้ภรรยากำลังมีลูกอีกคน อีกใจหนึ่งเกิดความหวังและรอคอยโดยไม่อยากสูญเสียไป ตามที่ฉินหลิวซีเอ่ย ภรรยาเขาท้องนี้เป็นลูกชาย เพื่อบิดาและลูกชาย อย่างไรก็ต้องส่งศพบิดาให้เสร็จสิ้นเรียบร้อย สิบตำลึงก็สิบตำลึง

“ไต้ซือ สิบตำลึงข้าจ่ายให้ ท่านจะสะดวกไปดูที่บ้านข้าได้เมื่อไหร่ จริงสิ ข้านั่งเกวียนมา หากท่านสะดวก สามารถไปตอนนี้ได้”

ฉินหลิวซีมองดูท้องฟ้า เวลานี้ยังเช้าอยู่ หมู่บ้านหวังก็ไม่ไกล จึงกล่าวว่า “อย่างนั้นก็ไปกันเลย”

หวังต้าหย่งดีใจจนออกนอกหน้า

ฉินหลิวซีสั่งให้หลี่เฉิงส่งฉินหมิงฉุนกลับจวน ส่วนตนเองถือโอกาสซื้อกระดาษเหลืองและชาดสำหรับเขียนยันต์ที่ร้านขายของสำหรับงานศพ จากนั้นพาเฉินผีขึ้นเกวียนของหวังต้าหย่งไป

เฉินผีได้ยินเรื่องเงินค่าตอบแทนสิบตำลึงสำหรับงานนี้ เขาถอนใจพลางเอ่ย “พี่ข้ารู้หรือไม่ว่าท่านเปลี่ยนนิสัยไปเสียแล้ว”

“ตัวเขาพอมีคุณธรรมอยู่ เป็นคนดีคนนึง” ฉินหลิวซีตอบ

[1] จุดอิ้นถัง จุดกึ่งกลางหว่างคิ้ว

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท