คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 278 แก้ไข

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 278 แก้ไข

มีเจ้าทุกข์อยู่ ยังไม่นับเรื่องของศีลธรรมจรรยา ฉินหลิวซีไม่อาจจัดการลงโทษได้โดยพลการ แต่จะทำอย่างไรต่อ นางย่อมไม่สนใจ นางสนใจเพียงปลอบประโลมดวงวิญญาณผู้ใหญ่หวังให้เป็นสุข ขจัดความโกรธแค้น ให้บ้านหวังได้ส่งเขาไปสู่สุคติได้อย่างราบรื่น หน้าที่ของนางจบเพียงเท่านี้

หวังต้าหย่งถาม นางจึงถามเจ้าทุกข์โดยตรง “ท่านจะเอาอย่างไร”

ผู้ใหญ่หวังอยู่ๆ ถูกถามจึงนิ่งไป

เขามองไปยังลูกชายคนโตที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น แล้วมองหวังซานเฉวียน เขารู้ว่าหวังซานเฉวียนไม่อาจรับผิดชอบได้ ต่อไปบ้านหวังต้องพึ่งลูกคนโตแล้ว

“เขาเป็นลูกชายคนโต เรื่องนี้ให้เขาตัดสินใจ” ผู้ใหญ่หวังจงใจมอบหมายให้ลูกชายคนโตเพื่อดูความสามารถ

ฉินหลิวซีนำคำของผู้ใหญ่หวังถ่ายทอดให้ทุกคนฟัง หวังต้าหย่งลังเล

หวังซานเฉวียนคลานไปหาหวังต้าหย่ง ประสานมือกล่าว “พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ตอนนั้นข้าพลั้งมือ ข้าเลอะเลือนไป เขาเป็นพ่อข้า ข้าจะกล้าฆ่าเขาได้อย่างไร” ในใจหวังซานเฉวียนเกิดความกลัว ถ้าเรื่องเน่าเหม็นนี้หลุดออกไปทำลายชื่อเสียงของบ้านของพวกเราเอง มิกลายเป็นว่าเขาก่อเรื่องใหญ่ขึ้นเสียแล้ว

หวังต้าหย่ง “ตอนนี้เจ้าไม่ใช่เลวธรรมดา ยังชั่วช้าสามานย์”

เรื่องแบบนี้มาเกิดกับครอบครัวชาวนาก็เหมือนลมพัด เพียงเดี๋ยวเดียวก็พาไปทั่วหมู่บ้าน บ้านหวังของพวกเขาไม่มีหน้าจะสู้คนแล้ว

“พี่ใหญ่ ข้าจะปรับปรุงตัว”

“นั่นพ่อข้า และก็เป็นพ่อเจ้าด้วย เจ้าทำให้เขาตายเพียงเพราะอารมณ์โกรธชั่ววูบได้อย่างไร”โนเวลพีดีเอฟ

หวังซานเฉวียนร้องไห้พลางกล่าว “ข้าถูกนางแพศยานั่นยั่วยวน”

หวังต้าหย่งดูเหมือนจะเกลียดแม่เลี้ยงหูที่ยืนตัวลีบเล็กอยู่เข้าไส้ นางเป็นตัวซวยของบ้าน ตั้งแต่เข้าประตูมาเขาก็รู้แล้วว่านางไม่ใช่หญิงที่ดี ไม่ผิดจากที่คิดไว้

เมื่อหันกลับไปมองหวังซานเฉวียน เขามีท่าทีสั่นไหว ท่านพ่อตายไปแล้ว ทั้งสองเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ถ้าถูกจับกุม ผลจะเป็นเช่นไร

หวังต้าหย่งลำบากใจ

ผู้ใหญ่หวังเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจทีหนึ่ง ลอยไปอยู่หน้าฉินหลิวซี “ลูกข้าคนโต ขาดความเด็ดเดี่ยว ดูแล้วต่อไปจะเป็นผู้นำหมู่บ้านหวังไม่ได้”

ฉินหลิวซีไม่ตอบได้หรือไม่ได้ กล่าวเพียง “บั้นปลายชีวิตเขาจะมีความสุขกว่าท่าน”

ผู้ใหญ่หวังถามอย่างระมัดระวัง “ไต้ซือน้อย ท่านเป็นคนจากตระกูลไหน”

“ไต้ซือก็คือไต้ซือ จะเติมคำว่าน้อยเข้าไปทำไม ข้าคือนักพรตแห่งอารามชิงผิง”

“ไอ้หยา เป็นไต้ซือจากอารามชิงผิง” ผู้ใหญ่หวังประสานมือแสดงคำนับ “วันนี้เคราะห์ดีที่มีท่านอยู่”

“ใช่ ข้าเรียกแค่น้ำมันงาราคาสิบตำลึง เจ้านักต้มตุ๋นนั่นอ้าปากก็ร้อยตำลึงแล้ว ท่านก็ไปสู่สุขคติได้แล้ว อย่าให้ข้าต้องลำบาก แล้วก็อย่าได้ลำบากตัวเองเพื่อเรื่องเล็กน้อยนี้ ลูกสะใภ้ท่านอุ้มท้องหลานชายท่านอยู่นะ” ฉินหลิวซีมองไปยังท้องของเลี่ยวซื่อ กล่าวเรียบๆ “เด็กคนนี้คลอดออกมา พึ่งพาได้ บ้านหวังของท่านก็เรียกได้ว่ามีคนมารับช่วงต่อแล้ว”

คำพูดนี้ก็จริงอยู่

ผู้ใหญ่หวังกัดฟัน “ข้าต้องไปอยู่ดี เดิมทีในใจมีแต่ความเคียดแค้นจึงไปไหนไม่ได้ มาวันนี้ความจริงปรากฏ กลับมีเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ข้าตาเฒ่าหวังไม่มีความสุขในวัยชรา พอแล้วล่ะ ข้าพอแล้ว แล้วแต่เขาก็แล้วกัน”

ฉินหลิวซีจึงมองไปยังหวังต้าหย่ง เอ่ย “ถ้าปิดบังความจริงนี้ไว้ไม่เปิดเผย ไม่เกินสิบวันเขาจะต้องตาย”

หวังต้าหย่งตกใจ “อะไรนะ?”

“เขา” ฉินหลิวซีชี้ไปที่หวังซานเฉวียนพลางกล่าว “ข้าบอกว่าเขาจะมีอันเป็นไป”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

หวังซานเฉวียนหน้าซีดขาว

“แต่ถ้าจะให้มีโอกาสรอดชีวิต เจ้าต้องแจ้งทางการ หรือไม่เขาต้องไปสารภาพผิด มอบตัวที่ศาลปกครอง ตามกฎหมายต้าเฟิง นักโทษฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ไม่ถึงประหารชีวิต ลงโทษเนรเทศ หวังซานเฉวียนเจ้าต้องไปไกลพันลี้ ถึงจะหนีความตายพ้น เจ้าตัดสินใจเอาเอง” ฉินหลิวซีมองไปทางแม่เลี้ยงหู กล่าววาจาพลางชี้ไปที่นาง “สำหรับเจ้า แม้ไม่ได้ฆ่าคนตายด้วยมือตัวเอง แต่ก็ช่วยกันก่อกรรมทำชั่ว ไม่พ้นต้องถูกเฆี่ยนยกหนึ่ง แล้วขับออกจากบ้านสามี ตกไปอยู่หอนางโลมเป็นคณิกา ชีวิตนี้นางจะไปไหนไม่ได้อีก”

แม่เลี้ยงหูร้องขึ้น “เจ้าพูดเหลวไหล”

ไปอยู่หอนางโลม แบบนี้ต่อไปข้าต้องไปนอนกับผู้ชายเป็นพันเป็นหมื่นหรือ

“พูดเหลวไหลหรือไม่ ก็รอดูกันต่อไป” ฉินหลิวซีไม่โกรธ และยังกล่าวกับหวังซานเฉวียน “สำหรับเจ้า ก็รอดูว่าจะกล้าสู้หรือไม่แล้ว ถึงอย่างไรก็มีแค่ชีวิตเดียว”

หวังซานเฉวียนตกใจร้องไห้

แบบนี้เดินหน้าก็ตาย ถอยหลังก็ถูกเสือไล่

“เจ้าไปคิดเอง” หวังต้าหย่งกัดฟัน แล้วหันไปทางฉินหลิวซีก่อนจะคุกเข่าลง “ท่านพ่อ ข้าขอโทษท่าน ท่านจะโทษ ก็โทษข้าเถอะ ต่อไปข้าลงนรกแล้ว ท่านค่อยตีข้าก็ได้”

ผู้ใหญ่หวังเช็ดหางตาทีหนึ่ง “เอาอย่างนี้แล้วกัน”

ในเมื่อตกลงกันได้แล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่อาจรอช้า

“หวังต้าหย่งเจ้ามัดแม่แลี้ยงหูแล้วขังไว้ในห้องเก็บฟืน แล้วให้ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านช่วยจัดการเรื่องงานศพ แบบนี้เจ้าถึงจะสามารถนำหวังซานเฉวียนไปมอบตัวที่ศาลในเมืองได้ด้วยตัวเอง”

ผู้ใหญ่หวังตายมาห้าวันแล้ว แม้อากาศวันนี้จะเย็น แต่เมื่อเปิดฝาโลง ศพก็ส่งส่งกลิ่นยากจะทนไหว

ฉินหลิวซีสกัดการรับกลิ่นของตัวเองไว้ชั่วคราว แต่ก็ยังต้องปิดจมูกดู แล้วหันไปมองผู้ใหญ่หวัง เอ่ยกับเขาว่า “ตอนที่ถูกอุดปากอุดจมูกไว้ ในอกเจ็บมากสินะ”

ผู้ใหญ่หวังชะงักไปทีหนึ่ง ย้อนกลับไปนึกถึง แล้วร้องไอ้หยาออกมา “ท่านจะไปรู้ได้อย่างไร ความเจ็บนั่นเหลือจะนับ”

“นับอะไร หน้าท่านม่วงจนคล้ำไปหมดแล้ว เป็นที่กล้ามเนื้อหัวใจตาย ก็คืออยู่ๆ หัวใจของท่านก็ขาดเลือด บวกกับหายใจไม่สะดวก หายใจไม่ได้ทำให้ตายเร็วขึ้น”

“นั่นไม่ใช่ว่าเจ้าลูกสารเลวฆ่าข้าหรอกหรือ”

“ไม่ใช่ เขาฆ่าแล้ว ฆ่าโดยไม่ตั้งใจ แต่ถ้าช่วยท่านได้ทัน ท่านจะยังไม่ตาย แต่เขากลับอุดปากท่านเอาไว้ ทำให้ท่านตายเร็วขึ้น” ฉินหลิวซีกล่าว

ผู้ใหญ่หวังได้ยินดังนั้นก็ทรุดนั่งลงกับพื้นร้องไห้ “ข้าตายอย่างไม่เป็นธรรมอย่างไรเล่า”

ผลการชันสูตรของขุนนางผู้รับผิดชอบหน้าที่นี้ เป็นไปตามที่ฉินหลิวซีกล่าว เพียงแต่ว่าฉินหลิวซีไม่ต้องลงมือตรวจก็สามารถรู้สาเหตุการตายได้ ทำให้คนเลื่อมใสศรัทธาอย่างยิ่ง

ฆ่าโดยไม่ตั้งใจ นางเอ่ยกับตัวเอง ในเมื่อตรวจสอบได้ชัดแจ้งแล้ว สองคนนั้นจึงถูกคุมตัวไปรอวันพิจารณาคดี พิธีศพก็ดำเนินต่อไปได้

ฉินหลิวซีให้หวังต้าหย่งจัดโต๊ะอาหารเลิศรส พร้อมทั้งสุรามาเซ่นไหว้ผู้ใหญ่หวังให้เขาได้ดื่มกิน แล้วใช้กระดาษสำหรับเขียนยันต์มาปิดฝาโลกที่ถูกเผาไหม้ไป ติดกระดาษไปก็พูดแขวะไปด้วย “ท่านกล้ามากนะ ไม่กลัวไฟจะไหม้โลงศพทั้งใบจนศพท่านไหม้ไปด้วย อะไรกัน อยากเป็นหมูย่างหรือ”

คนโบราณตายไปแล้วต่างก็คำนึงถึงร่างที่ครบสมบูรณ์ หากร่างไหม้ไฟ คนแก่ส่วนมากต้องตกใจกลัว

ผู้ใหญ่หวังกินไปดื่มไป “เทียนเล่มเล็กๆ จะไหม้ได้สักเท่าไหร่ พวกเขาไม่มีทางมองดูไฟไหม้เฉยๆ แน่”

ฉินหลิวซีหัวเราะหยันเบาๆ “แม้มีโอกาสหนึ่งในหมื่นส่วน อะไรก็เกิดขึ้นได้”

“ข้าเป็นคนโชคดี ไม่ใช่หนึ่งส่วนนั้น” ผู้ใหญ่หวังหัวเราะอย่างหน้าด้านไร้ความอาย

ฉินหลิวซีมองค้อนขวับ นำโลงที่ปิดกระดาษเสร็จแล้วมาเขียนยันต์แผ่นหนึ่งแปะไว้ เอ่ยกับหวังต้าหย่งที่ช่วยงานอยู่ข้างๆ ว่า “เท่านี้ก็เรียบร้อย พรุ่งนี้ก่อนสิ้นยามเหม่า[1]ก็เคลื่อนศพได้”

หวังต้าหย่งประสานมือคารวะ “แล้วท่านพ่อข้าล่ะขอรับ”

ฉินหลิวซีมองไปยังผู้ใหญ่หวัง เขาดื่มกินเรียบร้อย เรอออกมาทีหนึ่ง “ท่านให้เขาตามเข้าไปที่ห้องส้วมด้านหลัง”

ฉินหลิวซีพาคนไปแล้ว ออกคำสั่งเสียงดังให้หวังต้าหย่งขุดหีบสมบัติที่พ่อของเขาซ่อนเงินทองเอาไว้ออกมา หีบนั่นซ่อนอยู่ที่ในหลุมที่มีแผ่นหินสำหรับเหยียบเท้าปิดทับเอาไว้

“กลิ่นนี่ เหลือทนจริงๆ!” ฉินหลิวซีปิดจมูก กลอกตามองผู้ใหญ่หวังทีหนึ่ง

ผู้ใหญ่หวังหัวเราะแห้งๆ “พวกเขาต้องคิดไม่ถึงแน่ๆ” แล้วหันไปมองลูกชายคนโตพลางถอนหายใจยาว “ต่อไปนี้บ้านหวังต้องพึ่งเขาแล้ว”

[1] ยามเหม่า 05.00-07.00 น.

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท