คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 281 ใครกล้าบอกว่าลำบาก จะอัดให้น่วมเลย

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 281 ใครกล้าบอกว่าลำบาก จะอัดให้น่วมเลย

สะใภ้เซี่ยพาฉินหมิงฉีมาด้วยตัวเอง สองคนแม่ลูกเดินอย่างเร่งรีบ ใบหน้าของพวกเขาไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นไว้ได้ ทันทีที่เห็นสะใภ้หวัง ก็อดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้

“พี่สะใภ้ใหญ่ นางหนูซีล่ะ เห็นบอกว่าจะพาฉีเอ๋อร์ของพวกเราไปสำนักศึกษา เสิ่นหมัวหมัวบอกไม่ชัดเจน เป็นสำนักศึกษาที่ไหนหรือ”

ก่อนที่สะใภ้หวังจะเอ่ย ฉินหลิวซีที่เดินมาจากด้านหลังของนางก็เอ่ยว่า “เป็นสำนักศึกษาจือเหอ” นางมองไปที่ฉินหมิงฉี มองสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง “ในเมื่อมาแล้วก็ไปกันเถิด อย่ารอช้า เจ้าห้าล่ะ”

“พี่หญิงใหญ่ ข้าอยู่นี่! ” ฉินหมิงฉุนแต่งตัวรอเสร็จเรียบร้อยนานแล้ว รีบวิ่งออกไปหานาง

สะใภ้เซี่ยเห็นว่าฉินหมิงฉุนสีหน้าสดใส ใบหน้าเล็กเนียนละเอียดราวกับหยกแกะสลัก เมื่อดูฉินหมิงฉี รู้สึกว่าเสื้อผ้าของเขาดูแย่เกินไปหรือไม่

“ไปกันเถิด” เมื่อฉินหลิวซีเห็นว่าทุกคนมาครบแล้ว จึงออกเดินทาง

“นางหนูซี ช้าก่อน” สะใภ้เซี่ยถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ชุดที่ฉีเอ๋อร์ใส่ดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา เปลี่ยนก่อนดีหรือไม่”

ฉินหลิวซีหันกลับมามอง “เช่นนี้ก็ดูดีแล้ว”

“แต่ว่า…”

“หากเขาจะเปลี่ยนก็ไม่ต้องตามข้าไปแล้ว นอกจากสำนักศึกษาจือเหอแล้ว ในเมืองหลีก็ยังมีสำนักศึกษาอื่นๆ อีกด้วย” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “แต่ว่าข้าไม่มีปัญญาพาเขาไปฝากได้หรอก”

สะใภ้เซี่ยปิดปากทันที ปั้นยิ้มพลางเอ่ย “ไม่เปลี่ยน ไม่เปลี่ยนแล้ว พวกเจ้ารีบไปเถิด อย่าให้อาจารย์รอนาน”

จากนั้นฉินหลิวซีก็พาทั้งสองคนออกไป

สะใภ้เซี่ยรอจนมองไม่เห็นคนแล้ว จึงได้มองไปที่สะใภ้หวังพลางถามว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ อาจารย์ที่สำนักศึกษาจือเหอดีหรือไม่ เทียบกับในเมืองหลวงได้หรือไม่”

สะใภ้หวังเอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้าสำนักศึกษาจือเหอแซ่ถัง อาจารย์ในสำนักศึกษาของเขาย่อมเป็นคนที่ยอดเยี่ยม ตัวเขาก็สอนเองด้วย”

สายตาของสะใภ้เซี่ยเผยให้เห็นความสงสัย “แซ่ถังหรือ”

สะใภ้หวังอดกลั้นไว้ เอ่ยตอบ “บัณฑิตถังในเมืองหลวงเป็นบิดาของเขา”

“ใช่คนแซ่ถังที่สอบผ่านบัณฑิตแต่ไม่รับราชการ กลับมาเปิดสำนักศึกษา นามว่าถังอะไรนะ” ทันใดนั้นสะใภ้เซี่ยก็นึกออกในทันที

สะใภ้หวังพยักหน้า “ไปคุยกันที่เรือนท่านแม่เถิด อย่างไรก็ต้องบอกเรื่องนี้กับท่านด้วย”

สะใภ้เซี่ยเดินมาข้างนางด้วยความอยากรู้ เอ่ย “พี่สะใภ้ใหญ่ นางหนูซีไปรู้จักกับเจ้าสำนักศึกษาจือเหอได้อย่างไรหรือ”

“เห็นบอกว่าเขาเป็นผู้ศรัทธาในลัทธิเต๋า ดังนั้นจึงมีมิตรภาพต่อกันอยู่บ้าง” สะใภ้หวังตอบอย่างไม่ใส่ใจ ไม่ได้เอ่ยถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงของฉินหลิวซีกับเจ้าสำนักถัง เกรงว่าเดี๋ยวจะมีคนขอให้ช่วยเหลือมากกว่านี้

ขณะที่คุยกันก็เดินมาถึงเรือนของนางฉินผู้เฒ่าแล้ว

นางฉินผู้เฒ่าก็ได้ยินข่าวนี้แล้ว เมื่อเห็นพวกนางมาก็กวักมือเรียก เอ่ย “ข้าคิดแล้วว่าถึงเวลาที่พวกเจ้าควรจะมาแล้ว มีอะไรหรือ นางหนูซีพาฉีเอ๋อร์กับฉุนเอ๋อร์ไปสำนักศึกษาแล้วจริงๆ หรือ”

“กำลังจะบอกท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พอดี เป็นเช่นนั้นจริงๆ เจ้าค่ะ เป็นสำนักศึกษาจือเหอ อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าสำนักถัง เมื่อลงทะเบียนเข้าเรียนเสร็จแล้ว เด็กๆ จะกลับมาเล่าให้ท่านฟังด้วยตัวเองเจ้าค่ะ” สะใภ้หวังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เมื่อนางฉินผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้นก็ตบโต๊ะด้วยความตื่นเต้น เอ่ยยินดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วถามคำถามเดียวกันกับสะใภ้เซี่ยว่าพวกเขารู้จักกันได้อย่างไร

แน่นอนว่าสะใภ้หวังเอ่ยแบบเดียวกันกับที่เอ่ยกับสะใภ้เซี่ย และเอ่ยต่อว่า “เจ้าเด็กคนนี้หวังดี จัดการเรื่องนี้อย่างเงียบๆ ตอนที่ข้าได้รู้ก็ตกใจเช่นกัน แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยบอกไว้ว่าจะหาสำนักศึกษาให้พวกเขา แต่ก็ไม่คิดว่าจะหาได้เร็วเช่นนี้”

นางฉินผู้เฒ่าพยักหน้า เอ่ยว่า “นับว่านางใส่ใจ”

สะใภ้หวังลดสายตาลง

เมื่อสะใภ้เซี่ยนึกถึงชุดที่บุตรชายของนางสวมใส่ จึงเอ่ยว่า “ท่านแม่ ในเมื่อเด็กๆ ทั้งสองคนต้องไปสำนักศึกษา ท่านว่าซื้อบ่าวรับใช้สองคนไว้คอยปรนนิบัติข้างกายพวกเขาดีหรือไม่เจ้าคะ”

นางฉินผู้เฒ่าลังเล มองไปที่สะใภ้หวัง

สะใภ้หวังขมวดคิ้ว เอ่ย “พวกเขาพึ่งจะไปสำนักศึกษา ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ข้าเคยได้ยินฉุนเอ๋อร์บอกว่าพวกเขาเข้าไปก็ได้เพียงร่วมฟังเฉยๆ หลังจากหนึ่งเดือนผ่านไปก็ต้องสอบประจำเดือน หากสอบไม่ผ่านก็ต้องลาออก”

“ลาออกหรือ” สะใภ้เซี่ยตาโต

สะใภ้หวังพยักหน้า เอ่ยตอบ “ลูกศิษย์ของสำนักศึกษาจือเหอล้วนต้องสอบเข้าทั้งนั้น แม้ว่าจะเข้าเรียนอย่างพวกฉุนเอ๋อร์เช่นนั้น อย่างไรเสียก็ต้องพึ่งความสามารถที่แท้จริงเพื่ออยู่ในสำนักสึกษาต่อไป ดังนั้นแม้แต่พวกเขาทั้งสองก็ไม่มีข้อยกเว้น อย่างไรเสียเจ้าสำนักถังก็เป็นผู้มีชื่อเสียง น้ำใจก็ส่วนของน้ำใจ แต่เขาก็ไม่สามารถทำลายชื่อเสียงของตัวเองได้หรอกกระมัง”

“น้ำใจของนางหนูซีก็ไม่มีผลอย่างนั้นหรือ” สะใภ้เซี่ยเอ่ยอย่างลำบากใจ

สะใภ้หวังเอ่ย “ด้วยสถานการณ์ของตระกูลเราในตอนนี้ เจ้าสำนักถังกล้ารับพวกเขาเข้าสำนักศึกษาโดยไม่เกรงกลัวอำนาจหลวง ก็นับว่าเป็นน้ำใจอย่างยิ่งแล้ว หากขอมากไปจะเป็นพวกเราที่ไม่รู้จักมารยาทกลายเป็นความโลภ”

สะใภ้เซี่ยใบหน้าร้อนผ่าว

สะใภ้กู้ที่เงียบมาโดยตลอดจึงยิ้มพลางเอ่ย “ไม่ว่าอย่างไร การที่ได้เข้าสำนักศึกษาก็นับว่าดีมากแล้ว ข้าว่าฉุนเอ๋อร์กับฉีเอ๋อร์ล้วนเป็นเด็กฉลาด พวกเขาจะต้องผ่านการสอบประจำเดือน และได้อยู่ในสำนักศึกษาต่ออย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

นางฉินผู้เฒ่าก็พยักหน้าด้วยเช่นกัน “สะใภ้กู้เอ่ยถูกแล้ว เด็กๆ ตระกูลเราเก่งกันทุกคน”

ฉินหลิวซีพาฉินหมิงฉุนและคนอื่นๆ กลับมาถึงจวนในยามเซิน[1] เป็นเวลาที่นางฉินผู้เฒ่าตื่นพอดี จึงพากันไปคารวะด้วยกัน

เมื่อนางฉินผู้เฒ่าเห็นว่าสีหน้าของหลานชายทั้งสองดูมีความสุข จึงมองฉินหลิวซีด้วยรอยยิ้มพลางถามว่า “ไปคารวะเจ้าสำนักกันมาแล้วหรือ”

“เจ้าค่ะ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป จะไปนั่งฟังอย่างเป็นทางการ หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนจะต้องเข้าร่วมการสอบประจำเดือนสิบ หากสอบไม่ผ่านก็กลับบ้าน หากสอบผ่านก็อยู่เป็นลูกศิษย์ต่อ” ในขณะที่ฉินหลิวซีกำลังอธิบายให้นางฉินผู้เฒ่าฟังก็มองไปที่ฉินหมิงฉีและคนอื่นๆ “ดังนั้นพวกเจ้าต้องพยายามให้ดีที่สุด สำนักศึกษาที่ดีที่สุดในเมืองหลีคือสำนักศึกษาจือเหอ แม้กระทั่งตระกูลอื่นในหนิงโจวก็ยังอยากจะส่งลูกหลานมาเรียนที่นี่ หากพวกเจ้าไม่ได้อยู่ต่อ เช่นนั้นก็ต้องไปสำนักศึกษาที่แย่กว่า”

ฉินหมิงฉุนแสดงท่าทีให้เห็นอีกครั้ง “ข้าจะทำให้ดีที่สุดอย่างแน่นอนขอรับ!”

ฉินหมิงฉีก็ยืดอกเช่นกัน กำหมัดแน่นพลางเอ่ยว่า “ข้าก็เช่นกัน”

“เอาล่ะๆ พวกเจ้าทำให้ดีที่สุด ตั้งใจเรียน เคารพอาจารย์ รักสหายร่วมชั้นเรียน” นางฉินผู้เฒ่ากอดหลานชายทั้งสองคนไว้ในอ้อมแขนแล้วหอมพวกเขาอย่างอ่อนโยน

สะใภ้เซี่ยถือโอกาสนี้เอ่ยขึ้นว่า “นางหนูซี วันนี้ข้าเอ่ยกับท่านย่าของเจ้าไปแล้ว ในเมื่อพวกเขาต้องไปเรียน ควรจะมีบ่าวรับใช้คอยปรนนิบัติข้างกายดีหรือไม่”

ฉินหลิวซีวางถ้วยชาลง เอ่ย “ตอนนี้พวกเขาไม่ใช่คุณชายตระกูลฉินเหมือนเมื่อก่อนที่รายล้อมไปด้วยคนรับใช้ ในฐานะบุรุษพวกเขาต้องเตรียมอาหารและเสื้อผ้าด้วยตนเอง หากแม้แต่เรื่องของตนเองก็จัดการไม่ได้ แล้วจะจัดการใต้หล้าได้อย่างไร ไม่ต้องหาบ่าวรับใช้มาปรนนิบัติ เรื่องของตัวเองก็จัดการเอง”

“แต่พวกเขาทั้งต้องเรียนหนังสือ แล้วยังต้องดูแลตัวเอง ทั้งอายุยังน้อย…”

ฉินหลิวซีวางถ้วยชาลง เหลือบมองนาง “ท่านอาสะใภ้รองกำลังจะบอกว่าพวกเขาลำบากหรือ คนที่ลำบากยิ่งกว่าพวกเขาต้องนอนกลางดินกินกลางทรายอยู่ที่ซีเป่ยโน่น อย่างพวกเขากล้าบอกว่าลำบากด้วยหรือ พวกเขามีสิทธิ์อะไรมาพูดว่าลำบาก”

สะใภ้เซี่ยสีหน้าเปลี่ยนไปทันที หันไปมองนางฉินผู้เฒ่า จบแล้ว

ใบหน้าของนางฉินผู้เฒ่าดูแย่ขึ้นมา

ฉินหลิวซีมองไปที่ฉินหมิงฉีและฉินหมิงฉุน “พวกเจ้าว่าการที่ตัวเองต้องสวมเสื้อผ้า กินอาหาร จัดการระเบียบข้าวของส่วนตัว ซักเสื้อผ้าด้วยตัวเอง ร่ำเรียนหนังสือ สิ่งเหล่านี้ลำบากหรือไม่”

การที่นักปราชญ์เอาแต่ใส่ใจเรื่องการเรียนไม่แยแสเรื่องภายนอกก็นับว่าเรียนไปเปล่าประโยชน์ เด็กๆ ควรจะยืนได้ด้วยตัวเอง โดยเฉพาะตอนที่ในบ้านประสบปัญหา เช่นนี้จึงจะสามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้ในอนาคต!

ใครกล้าบอกว่าลำบาก

จะอัดให้น่วมเลย!

[1] ยามเซิน 13.00-17.00 น.

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท