คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 282 เมื่อพี่หญิงใหญ่แสดงอำนาจ ไม่มีใครกล้าตอบโต้

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 282 เมื่อพี่หญิงใหญ่แสดงอำนาจ ไม่มีใครกล้าตอบโต้

น้ำเสียงของฉินหลิวซีไม่ได้รุนแรง แต่ท่าทางของนางกลับทำให้ฉินหมิงฉุนและฉินหมิงฉีเกรงกลัว

“พี่หญิงใหญ่ ข้าทนลำบากได้ขอรับ” ฉินหมิงฉุนแสดงจุดยืนเป็นคนแรก “ข้าโตแล้ว สามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้แล้วขอรับ”

ไม่ได้ก็ต้องบอกว่าได้ มิเช่นนั้นก็ต้องกินกำปั้น เทียบกับกำปั้นแล้ว ซักผ้ากับจัดระเบียบสิ่งของด้วยตัวเองนับว่าเรื่องเล็ก

ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเล็ก

ฉินหมิงฉีจะเอ่ยอะไรได้อีก ฉินหมิงฉุนที่อายุน้อยกว่าเขาไม่กี่ปีได้แสดงท่าทีเช่นนี้ มีหรือเขาจะกล้าบอกว่าไม่ได้

“ข้าก็ทำได้”

ฉินหลิวซีมองไปที่สะใภ้เซี่ย “ท่านอาสะใภ้รองดูเถิด เด็กผู้ชายตระกูลเราสามารถทนลำบากได้ ซึ่งนั่นก็ถูกต้องแล้ว บรรดาพี่ชายของเขาลำบากกว่าพวกเขาเสียอีก มีหรือที่พวกเขาจะทนไม่ได้”

ขณะที่นางกำลังพูดก็ได้เหลือบมองไปที่ทั้งสองคน

ทั้งสองคนทำอะไรไม่ถูกจึงเอาแต่ก้มหน้า

“เงยหน้าขึ้น ขี้ขลาดยังกับอะไรดี บุรุษตระกูลฉินต้องหน้าเชิดอกผายไหล่ผึ่ง ” ฉินหลิวซีดุพวกเขา “เพียงแค่ฟังคำสอนเท่านั้น มีอะไรต้องกลัว นี่ก็ไม่ใช่การสั่งสอนอะไร เพียงแค่พูดตามความจริงก็ทนฟังไม่ได้หรือ”

พี่หญิงใหญ่แสดงอำนาจ ไม่มีใครกล้าตอบโต้

“พี่หญิงใหญ่เอ่ยถูกต้องแล้วขอรับ”

นางฉินผู้เฒ่ามองดูท่าทางของฉินหลิวซี สายตามีความซับซ้อน หมุนลูกประคำในมือทีละเม็ด

สะใภ้เซี่ยหวาดกลัวกับท่าทางเช่นนี้จึงมองไปที่นางฉินผู้เฒ่า เห็นว่านางกำลังหลับตาทำเหมือนไม่เห็นอะไร จึงทำได้เพียงกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยเสียงอ่อนว่า “เช่นนั้นก็ไม่ต้องหาหรอก”

นางรู้สึกว่าหากนางพยายามเอาชนะ ฉินหลิวซีจะทวงบุญคุณว่านางนำเงินของตัวเองมาเลี้ยงคนในตระกูล

ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “สำนักศึกษาจือเหอมีกฎเกณฑ์ มีเรียนคาบเช้าทุกวัน ดังนั้นก่อนยามเฉินต้องมาถึงชั้นเรียนแล้ว ตอนนี้เมืองหลีเริ่มหนาวแล้ว ดังนั้นให้หลี่เฉิงไปส่งพวกเขาที่สำนักศึกษาทุกวัน ปลายยามเซินเลิกเรียนแล้วค่อยรับกลับจวน หากสอบผ่านประจำเดือน ต่อไปพวกเขาจะได้อยู่ที่หอพักสำนักศึกษา สำนักศึกษาในแต่ละเดือนมีวันหยุดพักผ่อนสองวัน เมื่อถึงวันหยุดค่อยไปรับกลับมา”

“ต้องอยู่หอพักด้วยหรือ แต่ว่าก็อยู่ในเมืองเดียวกัน ไม่ได้ไกลเลย ไปรับทุกวันไม่ได้หรือ” สะใภ้เซี่ยเอ่ยด้วยความตกใจ

ฉินหลิวซีเอ่ย “บุรุษเติบโตภายใต้การดูแลของสตรีจะมีประโยชน์อะไร ที่พักและอาหารในสำนักศึกษาก็ไม่เลวเลย พวกเขาสองคนพี่น้องก็สามารถพักห้องเดียวกันจะได้ดูแลซึ่งกันและกัน ไม่เพียงแต่จะได้ฝึกฝนทักษะการใช้ชีวิต ซ้ำยังได้เติบโตอย่างรวดเร็ว นับว่าเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง ทำไมหรือ ที่พักบรรดาพี่ชายของพวกเขาที่ซีเป่ยก็คงจะไม่อบอุ่นด้วยซ้ำ หมั่นโถวที่กินก็อาจจะปะปนไปด้วยทราย พวกเขาทั้งสองนับว่าดีมากแล้ว!”

สะใภ้เซี่ยถูกขัดด้วยคำพูดเหล่านี้อีกครั้ง อยากจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่กล้า แค่รู้สึกว่าฉินหลิวซีช่างดุจริงๆ

“บุรุษที่ออกจากบ้านไปเรียนหนังสือ คาดว่าในเมืองหลวงคงมีไม่น้อย ผู้อื่นทำได้ เหตุใดพวกเจ้าจะทำไม่ได้ ผู้อื่นทำไม่ได้ พวกเจ้าก็ต้องทำได้ เพราะว่าตระกูลฉินเทียบกับตระกูลอื่นไม่ได้ ท่านปู่ ท่านลุง ท่านอา และท่านพี่ของพวกเจ้ายังได้รับความลำบากที่ถูกเนรเทศ ไม่รู้ว่าจะได้รับอภัยโทษให้กลับมาเมื่อใด ก่อนจะถึงวันนั้น พวกเจ้าในฐานะบุรุษของตระกูลฉินยิ่งต้องมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ไม่ใช่หรือ”

ฉินหมิงฉีรีบแย่งแสดงจุดยืนก่อนหน้าฉินหมิงฉุน “พี่หญิงใหญ่วางใจได้ พวกเราทำได้อย่างแน่นอนขอรับ”

“เอาล่ะ แต่ยังเร็วเกินไปที่จะเอ่ยเรื่องหอพักในตอนนี้ พวกเจ้าจะได้อยู่ต่อหรือไม่ก็ยังไม่รู้” จู่ๆ ฉินหลิวซีก็ทิ้งมีดลงมาอีกเล่มหนึ่ง

ฉินหมิงฉีมองไปที่ฉินหมิงฉุน ‘รู้สึกเหมือนโดนพี่หญิงใหญ่ดูถูกแล้ว’

ฉินหมิงฉุน ‘เอาคำว่ารู้สึกออกไป เรากำลังถูกดูถูกดูแคลนอยู่ต่างหาก’

ฉินหลิวซียืนขึ้น “เอาล่ะ คุยกันไว้เท่านี้ก่อน ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปจะต้องไปเรียนที่สำนักศึกษาอย่างเป็นทางการ หากล่าช้าเสียเวลา ก็นับว่าหาเรื่องใส่ตัวเอง”

นางหันไปทำความเคารพผู้อาวุโสที่อยู่ห้องด้านใน จากนั้นก็ถอยออกไปอย่างเงียบๆ

ฉินหมิงฉีเห็นเช่นนั้นก็ตามออกไปด้วย “พี่หญิงใหญ่”

ฉินหลิวซีหยุดอยู่ที่ลาน หันกลับมามองเขา

ฉินหมิงฉีเม้มริมฝีปาก จากนั้นก็โค้งคำนับนางอย่างเป็นทางการ เอ่ย “ข้าจะตอบแทนพี่หญิงในภายภาคหน้าขอรับ”

ฉินหลิวซีกระตุกมุมปาก โบกมือปัดๆ แล้วเดินไปข้างหน้า “ไม่ต้องทำซึ้งเช่นนี้ เจ้าก็แค่คนทำอะไรตามใจตัวเอง”

ฉินหมิงฉีรู้สึกเจ็บใจ เอาแต่กำหมัดไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแต่มองดูนางจากไป

นางฉินผู้เฒ่าให้เด็กๆ ออกไปหมดก็มองดูบรรดาสะใภ้ในห้อง

สะใภ้กู้มีนิสัยอ่อนโยน สะใภ้เซี่ยเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียวและใจแคบ หากไม่ได้มาจากตระกูลแม่ของนางก็คงไม่ได้เข้าตระกูลฉิน สะใภ้หวังมาจากตระกูลใหญ่ นิสัยสงบมั่นคง เหมาะสมที่จะเป็นแม่เรือน

แต่เด็กๆ รุ่นเล็กในตระกูล…

นางฉินผู้เฒ่าเม้มริมฝีปาก ในที่สุดก็ตัดสินใจเอ่ย “ตอนนี้เด็กผู้ชายในจวนต้องไปสำนักศึกษาแล้ว บ้านเราก็จะเปิดร้านผลไม้แช่อิ่ม ต่างก็มีค่าใช้จ่ายสูง สะใภ้หวังต้องวิ่งวุ่นอยู่ข้างนอกเพื่อร้านนี้ เสิ่นหมัวหมัวเองก็แก่แล้ว ข้าจะให้จวี๋เอ๋อร์เป็นสาวใช้ใหญ่ให้กับเจ้า คอยตามเจ้าไปทำธุระในที่ต่างๆ”

สะใภ้เซี่ยรีบเงยหน้าขึ้นทันที มองไปที่นางฉินผู้เฒ่า แล้วมองไปที่สะใภ้กู้

ตั้งแต่บ้านสามให้กำเนิดฝาแฝด จวี๋เอ๋อร์ก็ช่วยสะใภ้กู้ดูแลพวกเขาเป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งต่อมาสะใภ้กู้ออกจากอยู่ไฟ จึงได้กลับมาปรนนิบัติอยู่ที่เรือนนายหญิงผู้เฒ่า

ตอนนี้ได้มอบจวี๋เอ๋อร์แก่พี่สะใภ้ใหญ่ เป็นการพิสูจน์ว่าต่อไปนี้พี่สะใภ้ใหญ่จะได้มีสาวใช้ใหญ่ส่วนตัวแล้ว

สะใภ้หวังเอ่ย “ท่านแม่ เสิ่นหมัวหมัวมือไม้ยังคล่องแคล้ว แต่ติงหมัวหมัวอายุมากกว่า สุขภาพท่านก็ไม่ดี ข้างกายท่านไม่ควรมีติงหมัวหมัวเพียงคนเดียว ให้จวี๋เอ๋อร์อยู่ปรนนิบัติท่านที่นี่ก็พอแล้ว ข้าคิดแล้วว่าจะให้อิงเหนียงลาออกจากงานข้างนอก กลับมาช่วยข้าดูแล และจะมีค่าจ้างให้นางด้วย หากต้องใช้คนเพิ่ม ข้าก็จะให้แม่หนูเสวี่ยเอ๋อร์ช่วยวิ่งเป็นธุระให้ อย่างไรเสียนางก็เติบโตในเมืองหลี นับว่าคุ้นเคยกับที่แห่งนี้”

“ส่วนเรื่องในเรือน หากยังวางมือจากที่ร้านไม่ได้ ก็ต้องขอให้น้องสะใภ้รองกับน้องสะใภ้สามช่วยกันดูแลด้วย”

เมื่อนางฉินผู้เฒ่าเห็นว่านางปฏิเสธจึงไม่ได้ยืนกรานต่อ เพียงแต่เอ่ยว่า “ในใจเจ้ารู้ว่าต้องจัดการอย่างไรก็พอแล้ว”

“จริงๆ แล้วข้าก็สามารถจัดการร้านกับพี่สะใภ้ใหญ่ได้นะเจ้าคะ” สะใภ้เซี่ยยกมือ

นางฉินผู้เฒ่าขว้างมีดเย็นออกไป เอ่ย “จัดการอะไรกัน เมื่อก่อนร้านขายเครื่องมงคลสมรสของเจ้าก็ขาดทุนทุกปี เจ้าจะยังจัดการอะไรได้อีก แค่อยู่ที่เรือนอย่างสงบ ดูแลเรื่องในเรือนกับเด็กๆ คือหน้าที่ของเจ้า”

สะใภ้เซี่ยตอบเพียงว่า “เจ้าค่ะ”

จากนั้นนางฉินผู้เฒ่าก็มองไปที่สะใภ้กู้ เอ่ย “สะใภ้กู้ เจ้าก็เช่นกัน ไม่ต้องกังวลกับเรื่องใหญ่ๆ บุตรชายทั้งสองกับเป่าเอ๋อร์ยังเล็ก ในเรือนมีบ่าวรับใช้ไม่มาก ต้องให้เจ้าคอยอบรมสั่งสอน”

สะใภ้กู้ลุกขึ้นคำนับ เอ่ย “ท่านแม่วางใจได้ ลูกจะอบรมสั่งสอนเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ”

“อืม”

ด้านนอกประตู จวี๋เอ๋อร์เข้ามารายงานด้วยความตื่นเต้น เอ่ย “นายหญิงผู้เฒ่า พ่อบ้านหลี่บอกว่ามีจดหมายส่งมาจากซีเป่ยเจ้าค่ะ”

นางฉินผู้เฒ่ามีความสุขขึ้นมาในทันที “จริงหรือ รีบให้เข้ามาเร็ว”

ทุกคนต่างก็มีสีหน้าที่ดูมีความสุขเช่นกัน

“ขอรับ”

พ่อบ้านหลี่เดินเข้ามาพร้อมกับซองจดหมายหนาๆ แล้วคุกเข่าลง

“ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว ส่งจดหมายมา เป็นของพวกนายท่านผู้เฒ่าใช่หรือไม่” นางฉินผู้เฒ่าเอ่ยอย่างรีบร้อน

สะใภ้หวังก้าวตรงมาข้างหน้า รับจดหมายมาดู นัยน์ตาแดงขึ้นมาก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านแม่ เป็นจดหมายจากพวกท่านพ่อจริงๆ ด้วย เป็นลายมือของพ่อเยี่ยนเอ๋อร์เจ้าค่ะ”

“เร็ว รีบเอามาให้ข้าดู”

นางฉินผู้เฒ่ารีบลุกลงจากเบาะนั่ง โดยมีติงหมัวหมัวคอยพยุง เอ่ยเกลี้ยกล่อมว่า “นายหญิงผู้เฒ่า ให้บรรดานายหญิงเป็นคนอ่านเถิดเจ้าค่ะ”

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท