หากว่าวันนี้ยังสามารถประจบประแจงได้ ก็ต้องนับว่าบรรพชนของพวกเขาช่วยเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ให้แล้ว
ยามนี้ ฝูงชนที่นอกกระโจมของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนมีกว่าพันคนแล้ว คนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นผู้สูงศักดิ์และผู้เข้มแข็งในดินแดนจิ่วโจว
เหล่าคนที่มีดีไม่ถึงขั้นล้วนถูกกีดกั้นอยู่ภายนอก แน่นขนัดเสียจนแม้แต่สายลมก็ยังแทรกเข้ามาไม่ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่อยู่ด้านหลังต่างก็กลายเป็นเทพคอยาวกันไปหมดแล้ว หากว่าใครยังสามารถมองเห็นเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนด้วยตาของตนเองได้อีกก็ต้องนับว่ามีฝีมืออย่างแท้จริง
ในตอนนั้นเองต้าซือมิ่งแห่งตำหนักซิวหลัวเตี้ยนก็มาแล้ว เขาน้อมรออยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม ในใจเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น งานหมื่นบุปผชาติในวันนี้ ถึงตอนนี้ได้กลายเป็นงานต้อนรับท่านเจ้าตำหนักไปแล้ว
พอมองดูเหล่าคนที่มารอนอบน้อมกราบกราน ต้าซือมิ่งก็รู้สึกว่าคนเหล่านั้นกำลังคำนับตนเองอยู่อย่างไรอย่างนั้น อารมณ์ที่ค่อนข้างจะอึดอัดเมื่อพักก่อน พลันเปลี่ยนเป็นดีขึ้นมา
เขาเองก็คุกเข่าลงบนพื้น สองมือไขว้กันบนอก ด้วยความเคารพนอบน้อมอย่างหาใดเทียมเทียบ
“น้อมรับท่านเจ้าตำหนักมาเยือน”
พอต้าซือมิ่งกล่าวนำ คนอื่นๆก็พากันคุกเข่าตามลงไป ทำกริยาเช่นเดียวกันกับเขา
ปากก็ร้องว่า “น้อมรับท่านเจ้าตำหนักมาเยือน”
แม้แต่เจ้าแคว้นทั้งห้าก็ยังเอ่ยออกมาเช่นนี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้คุกเข่าลงไป แต่แววตาของแต่ละคนก็เปี่ยมไปด้วยความเคารพและยำเกรง
หลังเสียงร่ำร้องสรรเสริญที่สะเทือนฟ้าสะท้านดิน จึงค่อยเห็นว่าหมอกสีดำเหล่านั้นจางลงไปหลายส่วน
เมื่อเป็นเช่นนี้ หัวใจของพวกเขายิ่งตื่นเต้นไปจนถึงคอหอย
พวกเขาช่างโชคดียิ่งนัก ที่สามารถได้เห็นรูปโฉมที่แท้จริงของท่านเจ้าตำหนักอย่างใกล้ชิดเช่นนี้!
หากเป็นก่อนหน้านี้ เกรงว่าทั่วทั้งจิ่วโจวก็คงยังไม่เคยมีใครได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงเขามาก่อนล่ะมั้ง?
ยามนี้มีผู้คนอยู่มากมาย แต่กลับได้ยินแต่เพียงเสียงของลมหายใจเข้าออกของกันและกัน
กระทั่งผ่านไปอีกพักใหญ่ หมอกสีดำเหล่านั้นจึงจางลงไปกว่าครึ่ง เผยรูปโฉมของบุรุษผู้นั้นออกมา
ชุดสีดำตลอดร่าง เพียงได้เห็นรูปร่าง ก็รู้ว่างามอย่างไร้ที่เปรียบ
หัวใจที่เดิมก็ทั้งตื่นเต้นและเคารพของคนเหล่านี้ ก็ยิ่งเต้นโครมครามกว่าเดิม ….ก่อนหน้านี้โลกภายนอกต่างก็เล่าลือกันมานานแล้วว่า เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนเป็นบุรุษรูปงามในใต้หล้า
เพียงแต่ผู้คนไม่เคยได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขามาก่อน คำเล่าลือจึงบางเบาลงไป
วันนี้ดูท่าแล้ว ….คำเล่าลือเหล่านั้นคงจะเป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน
ดูสิ เพียงแค่โครงร่างก็รู้แล้ว ว่าท่านเจ้าตำหนักนั้นรูปงามหยาดฟ้าถึงเพียงไหน
หมอกสีดำยิ่งจางลง หัวใจของผู้คนก็ยิ่งเต้นตึกตักดังกว่าเดิม
แสงอาทิตย์ยามเที่ยงเจิดจ้า แทบจะฉาบให้กระโจมสีดำของตำหนักซิวหลัวเตี้ยนมีสีทองจางๆอีกชั้นขึ้นมา
แสงของดวงอาทิตย์ส่องผ่านหมอกสีดำทอทาบลงไปบนร่างของคนผู้นั้น
ให้รูปโฉมของเขาเป็นที่ประจักษ์ต้องสายตาของทุกผู้คนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไร้สิ่งใดปิดกั้น
ประหนึ่งว่าเขาได้ยืนอยู่ใต้แสงไฟ รับการจ้องมองจากสายตาทุกคู่
ใต้แสงเรืองรองของดวงอาทิตย์ รายละเอียดบนดวงหน้า ทั้งเส้นขนและผมของเขาแจ่มแจ้งชัดเจน
งดงาม …..งดงามจนผู้คนไม่อาจหันเหสายตาไปทางอื่น
สะโอดสะองงามระหงส์ ดวงตาหงส์ที่ทั้งงามล้ำและเพริดแพร้ว ริมฝีปากแดงราวกลีบบัวยั่วเย้าบนน้ำชา
รอบกายของเขารายล้อมไปด้วยบุปผาสีขาว แต่แม้เหล่าบุปผาจะรวมตัวกันก็ยังไม่น่าดึงดูดสายตาเท่ากับเขา
ราวกับว่าในใต้หล้านี้ไม่อาจมองหาบุรุษโฉมงามคนที่สองได้อีกแล้ว
แต่ว่า….แต่ว่าเขากลับมิใช่ท่านเจ้าตำหนัก!
ไม่เพียงแต่ไม่ใช่….แต่ยัง ยังเป็นเจ้าสำนักหยินหยางที่ควรจะตายไปแล้วผู้นั้นอีกต่างหากมิใช่หรือ?
ผู้คนทั้งหลายต่างก็ตกตะลึง นิ่งค้างและหวาดผวากันไปแล้ว เพียงพริบตาเดียวความรู้สึกสับวุ่นวายก็ก่อขึ้นในใจของทุกผู้ทุกนาม
เจ้าแคว้นทองถึงกับอ้าปากค้างจนคางใกล้จะร่วงลงมาแล้ว
นี่….นี่มันคือเรื่องอะไรกัน?
ทำไมคนที่มาปรากฏตัว…..ถึงได้กลายเป็นจอมมารร้ายเจ้าสำนักหยินหยาง ?
มิใช่บอกกล่าวกันมาว่า….ตัวมารผู้นี้จบสิ้นไม่เหลือซากไปแล้วหรอกหรือ?
นี่….ไม่ว่าเขาจะมองดูอย่างไรก็ไม่เห็นว่ามันจะได้รับบาดเจ็บที่ตรงไหนเลย กลับกันยิ่งดูก็เหมือนว่าสง่าราศีจะเพิ่มพูนขึ้นไปอีกเสียด้วยซ้ำ!
สมควรตายนัก!
เจ้าแคว้นทองโทสะพวยพุ่งขึ้นมาบนหัว เขากำหมัดเอาไว้แนบแน่น รีบเรียกผู้ติดตามข้างกายเข้ามา
“รีบไปตรวจสอบให้แน่ชัด ตกลงว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่….”
ผู้ติดตามของเขาไม่กล้ารั้งรอ รีบถอยหลบออกไปอย่างรวดเร็ว อย่าว่าแต่ท่านเจ้าแคว้นรู้สึกประหลาดใจ พวกเขาเองต่างก็ตกใจจนแทบจะกระโดดเช่นกัน
ใครจะไปรู้ว่าสถานการณ์จะแปรเปลี่ยนไปจนกลายเป็นเช่นนี้?
มีแต่ศิษย์ของสำนักหยินหยางเหล่านั้นที่ตื่นเต้นยินดี
จากที่แต่ละคนพากันหดหัวเป็นหลานเต่าอยู่ที่มุมมุมหนึ่ง ยามนี้ต่างก็ผงาดขึ้นมาบนเวทีแล้ว
ศิษย์ของสำนักยินหยางต่างก็เบิกตาโต มองดูบุรุษที่งดงามบาดตาราวกับเทพและมารรวมกันผู้นั้น
กระซิกๆๆๆ…อยากจะร้องไห้เหลือเกิน!
ที่จริงแล้ว พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ยามที่ได้พบท่านเจ้าสำนัก ในใจจะบังเกิดความรู้สึกคุ้นเคยใกล้ชิดเช่นนี้ขึ้นมา
มันเป็นความรู้สึก ที่เหมือนกับว่าในที่สุดก็ตามหาญาติเจอแล้ว
ท่านเจ้าสำนัก….ยังมีชีวิตอยู่ เขายังสุขสบายดี นี่ช่างดีเหลือเกิน!
……………..
ท่านเจ้าสำนักมิได้ยืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์เช่นนี้มานานมากแล้ว แสบตา
เขาไม่ชอบความรู้สึกของการตกเป็นเป้าสายตาเช่นนี้ แม้แต่ห้องหับของเขา ก็ยังหันหลังให้กับแสงอาทิตย์
ยามนี้เมื่อต้องยืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์ มองดูฝูงชนนับพันนับหมื่น ดวงตาหงส์ที่งดงามหาใดเปรียบก็ยังคงมีแต่ความเย็นชาเช่นเดิม ตลอดร่างมีแต่ไอเย็นราวแท่งน้ำแข็งพันปีที่ไม่มีวันละลาย
“หากจะคุกเข่า ก็จงคุกเข่าให้ถูกต้อง ข้าจะรับการคำนับจากพวกเจ้าเอาไว้”
ครู่หนึ่ง ริมฝีปากสีแดงของท่านเจ้าสำนักถึงได้ขยับเขยื้อน เอ่ยออกมาเพียงไม่กี่คำอย่างเอือมระอา
เหล่าศิษย์ในสำนักหยินหยางต่างก็คุกเข่าลงไปทั้งสองข้าง ด้วยกริยาเรียบร้อยจริงจัง แต่ละคนเบิกตาจนกลมโต ทั้งๆที่สวมใส่เสื้อผ้าสีขาวสลับดำ ปกติมองดูแล้วออกจะอึมครึมและวังเวง แต่ว่าในยามนี้กลับเปลี่ยนเป็นมีระเบียบเรียบร้อยงดงามขึ้นมา
ทั้งยังโห่ร้องพร้อมกันอย่างเชื่อมั่น “ท่านเจ้าสำนักรุ่งเรืองพันปีหมื่นปี เป็นอมตะชั่วนิรันดร!”
คนอื่นๆ “…….”
ช่างไร้ยางอายอะไรเช่นนี้!
เพราะเมื่อครู่มีต้าซือมิ่งเป็นผู้นำ ผู้คนนับพันนับหมื่นจึงยังคงคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่บนพื้น ตอนนี้ต่างก็พากันเก้อเขินขึ้นมาแล้ว จะลุกขึ้นมาก็ใช่ที่ ไม่ลุกขึ้นก็ดูไม่ควร มิว่าจะทำอย่างไรล้วนดูไม่ถูกต้องไปเสียหมด
พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวจนเจ็บแสบ ราวกับถูกคนตบหน้าอย่างแรงไปครั้งหนึ่ง
แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
ท่านเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนไม่ปรากฏตัว กลับเป็นตัวมารร้ายผู้นี้ปรากฏตัวแทน…..
นี่ หรือจะแสดงว่า เจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนถูกเขาจัดการจนจบสิ้นไปแล้ว?
ไม่เพียงแต่ถูกเขาเล่นงาน แม้แต่กระเรียนเซียนหนุ่มน้อยก็ยังถูกเขายึดครอง ทั้งยังปล่อยข่าวปลอมออกมา ทำให้พวกเขาถูกหลอกเล่นไปรอบหนึ่ง
เจ้ามารร้ายผู้นี้ที่จริงแล้วแข็งแกร่งถึงเพียงไหนกันแน่ …..ผู้คนต่างก็ไม่กล้าคาดเดาแล้ว
ฝูงชนทั้งหมดต่างก็คุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมาแม้แต่คนเดียว
สีหน้าของต้าซือมิ่งเองก็ย่ำแย่…..รู้หรือไม่ว่าเขาคือคนที่ถูกตบหน้าอย่างแรงที่สุด?
เขากัดฟันกรอด หัวคิ้วขมวดราวกับจะกลายเป็นปม ความอับอายในวันนี้ยังเหนือล้ำกว่าวันที่ถูกขับไล่ออกมาจากสำนักหยินหยางหลายร้อยเท่านัก
พี่รองก็พึ่งจะได้สติจากความตกตะลึงเมื่อครู่คืนมา
เจ้าสำนักสุนัขผู้นั้นยังไม่ตาย …..ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับว่าน้องเล็กไม่เป็นอะไร
หัวใจของเขาค่อยผ่อนคลายลงไปได้บ้าง
จากนั้นก็มองผ่านไปยังด้านหลังของเขา
ที่ด้านหลังของท่านเจ้าสำนักยังมีหมอกสีดำที่ยังไม่จางหายไปอยู่อีกกลุ่มหนึ่ง จากมุมที่เขามองไปก็พอจะเห็นได้ว่าในนั้นมีเงาของคนอยู่
นั่นสมควรเป็น….น้องเล็ก
หัวใจของพี่รองยินดีขึ้นมา แต่ความยินดีนี้ยังไม่ทันไปถึงหัวคิ้ว เขาก็เห็นว่าที่ข้างกายของน้องเล็กมีเงาร่างของคนอีกผู้หนึ่ง
……………………..