คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 285 บรรพบุรุษน้อย พอได้แล้วขอรับ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 285 บรรพบุรุษน้อย พอได้แล้วขอรับ

อารามชิงผิง

อวี๋ชิวไฉยืนอยู่หน้าเรือนหลัง มองไปยังคู่สามีภรรยาที่อยู่ในเรือนหลังอยู่เป็นพักๆ พลางส่ายหน้าเล็กน้อย

เหล่าเซียวเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ บุตรสาวประสบปัญหามานานแล้ว ให้ป้าแม่บ้านคนสนิทในตระกูลมาดูความสามารถของฉินหลิวซี ซ้ำยังมาขอร้องกับเขาให้ไปขอให้ฉินหลิวซีช่วยรักษา

ในเมื่อให้ความสำคัญ ต่อให้ตัวเองไม่สามารถออกจากเมืองฝู่ได้ แต่ฮูหยินคงจะออกมาได้อยู่กระมัง เพื่อแสดงความจริงใจ จะเป็นไรไปถ้าจะให้คนเป็นแม่มาขอความช่วยเหลือด้วยตัวเอง

สุดท้ายเป็นอย่างไร ผ่านไปไม่กี่วัน ก็ให้เพียงบุตรชายและบุตรสะใภ้มา เหอะ

ในใจอวี๋ชิวไฉรู้ว่าฉินหลิวซีมีนิสัยเย่อหยิ่ง มีหรือจะยอมรับการกระทำเช่นนี้ได้ เกรงว่าเด็กๆ เหล่านั้นจะได้รับผลกระทบตามไปด้วย

ขณะที่กำลังคิดเช่นนี้ มีร่างของคนผู้หนึ่งผ่านเข้ามาในดวงตาของเขา อวี๋ชิวไฉตาเป็นประกาย รีบเข้าไปพลางยกมือคารวะแล้วเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ปู้ฉิว”

“ใต้เท้ามาแต่เช้าเชียว” ฉินหลิวซีโค้งคำนับ

อวี๋ชิวไฉถอนหายใจพลางเอ่ย “เพราะได้รับการไหว้วานจากผู้อื่น สหายเก่าของข้าผู้นั้น…เฮ้อ ขอท่านอาจารย์โปรดเห็นแก่ที่ตระกูลของแม่นางกระทำการอะไรไม่สะดวก อย่าได้ถือสาเลย”

เขาพูดแล้วโค้งคารวะอีกครั้ง

ฉินหลิวซีเลิกคิ้วเล็กน้อย เอ่ย “ใต้เท้าช่างเป็นคนมีใจเมตตา”

“เป็นเพราะเด็กคนนั้นเรียกข้าว่าท่านอามาตั้งแต่เล็ก ว่านอนสอนง่ายเป็นอย่างมาก” อวี๋ชิวไฉยิ้มพลางเอ่ย “อายุพอๆ กันกับบุตรสาวของข้า เด็กทั้งสองคนสนิทกันมาก อ้อ จริงสิ”

เขาหยิบห่ออะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าในแขนเสื้อ ยื่นให้นาง เอ่ยว่า “นี่เป็นอาหารเล็กๆ น้อยๆ ที่บุตรสาวของข้าทำ ให้ข้านำมาให้ท่านชิม นางทำด้วยตัวเองเลยเชียวนะ”

ฉินหลิวซีรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเปิดออก เห็นว่าเป็นหมูแผ่น นางชิมไปหนึ่งชิ้น ยิ้มพลางเอ่ยว่า “อร่อยมาก”

หมูแผ่นย่างจนแห้งพอประมาณ ปรุงด้วยเครื่องปรุงเล็กน้อย ย่างจนหอม แต่ยังคงรักษาความชุ่มชื้นของเนื้อไว้ได้ เคี้ยวแล้วรสชาติดีมาก เป็นอาหารแห้งที่ดีโนเวลพีดีเอฟ

อวี๋ชิวไฉได้ยินดังนั้นก็ดีใจเหมือนเด็กน้อย เอ่ย “ท่านบอกว่าอร่อยมากก็พอใจแล้ว บุตรสาวข้าบอกว่าต้องดูปฏิกิริยาของท่านว่าเป็นอย่างไร แล้วกลับไปเล่าให้นางฟัง ข้าจะขอชิมสักชิ้นนางก็ไม่ยอม”

“ทำได้ดีมาก เสน่ห์ปลายจวักของคุณหนูอวี๋ใช้ได้เลย”

“บุตรสาวข้าไม่มีอะไรดีหรอก เพียงแค่ชอบทำอาหาร ต่อไปหากนางทำอะไรใหม่ๆ ค่อยให้คนนำมาส่งให้ท่านดีหรือไม่” อวี๋ชิวไฉลองถามดู

ฉินหลิวซีเอ่ย “หากเป็นที่อารามเต๋าก็อย่าเลย ข้ามีร้านแห่งหนึ่งอยู่ที่ตรอกโซ่วสี่ ไว้รอข้ากลับมาเปิดร้านหลังกลับมาจากเมืองฝู่ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าก็พาลูกๆ มาเยี่ยมชมได้”

“จริงหรือ” อวี๋ชิวไฉดีใจมาก รีบถามที่ตั้งของร้าน เอ่ยว่า “เมื่อถึงเวลาข้าจะพาลูกๆ ไปเยี่ยมชมอย่างแน่นอนขอรับ”

ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างมีนัยยะ “แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ต้องมาเยี่ยมชมจะดีกว่า”

อวี๋ชิวไฉ “?”

ต่อมาเขาพาภรรยาและลูกๆ ไปที่ร้านชื่อว่าเฟยฉางเต๋า เมื่อมีคนมาต้อนรับก็ถามเขาว่า ‘ลูกค้า ท่านต้องการไล่วิญญาณชั่วร้ายหรือจับผี หรือว่ามีโรคแปลกซับซ้อนอะไรให้หมอรักษา’

“ศิษย์พี่” ชิงหย่วนเดินออกมาจากเรือนด้านหลัง ด้านหลังมีคู่สามีภรรยาเดินตามออกมา

ฉินหลิวซีหันกลับไป มองดูพวกเขาทั้งสองคนไม่ได้เอ่ยอะไร

อวี๋ชิวไฉเอ่ยว่า “หลานชาย ผู้นี้คือท่านอาจารย์ปู้ฉิวที่ข้าเคยบอกเจ้า ท่านอาจารย์ นี่คือหลานชายข้า เป็นคนตระกูลเซียว”

เซียวจั่นรุ่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าฉินหลิวซีดูอ่อนเยาว์ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอามือไขว้หลังแล้วมีสีหน้าเรียบเฉย จึงก้าวไปข้างหน้าพลางยกมือขึ้นคารวะพลางเอ่ย “เซียวจั่นรุ่ยคารวะอาจารย์ นี่คือภรรยาข้า เฉิงซื่อ”

“เฉิงซื่อคารวะท่านอาจารย์เจ้าค่ะ”

เฉิงซื่อเป็นสตรีรูปร่างงดงาม แต่หว่างคิ้วของนางกลับมีความกลุ้มใจเล็กน้อย ใบหน้าของนางยากที่จะปกปิดความเหนื่อยล้าไว้ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรีบเดินทางหรือว่ากังวัลเกี่ยวกับปัญหาของตัวเอง

ฉินหลิวซีเหลือบมองโหงวเฮ้งของทั้งสอง จุดสมรสของสามีภรรยาคู่นี้มีรอยเส้นค่อนข้างยุ่งเหยิง เพียงแต่ฝ่ายชายเกิดมาพร้อมกับดวงตามีเสน่ห์ จุดสมรสมีไฝเล็กๆ เป็นคนค่อนข้างเจ้าชู้ คาดว่ามีหญิงงามผ่านเข้ามาไม่น้อย รอบตัวคงไม่ได้มีภรรยาเพียงแค่คนเดียว

“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี” ฉินหลิวซีเอ่ย “พวกเจ้าไม่ควรมาที่นี่”

ทั้งสองคนตกตะลึง เซียวจั่นรุ่ยไม่เข้าใจเล็กน้อย ถามว่า “ท่านอาจารย์หมายความว่าอย่างไร พวกเรามาขอให้อาจารย์ช่วยเหลือน้องสาวข้าอย่างจริงใจ”

ท่านอาอวี๋บอกว่าช่วยพูดให้แล้วไม่ใช่หรือ และได้ตอบรับคำขอไหว้วานไปแล้ว แต่ท่าทางของฉินหลิวซีเห็นได้ชัดว่าไม่อยากเดินทางครั้งนี้

เซียวจั่นรุ่ยอดหันไปมองอวี๋ชิวไฉไม่ได้ อวี๋ชิวไฉเองก็สับสนเล็กน้อย ถามอย่างระมัดระวังว่า “ท่านอาจารย์ หรือว่ามีสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือ”

ฉินหลิวซีเอ่ย “ดั่งคำเอ่ยที่ว่าเรื่องหนึ่งเรื่องก็ให้คนหนึ่งคนรับผิดชอบทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นช่วยเหลือ ในเมื่อพวกเขาหาผู้มีฝีมือได้แล้ว เหตุใดจึงเดินทางมาไกลถึงอารามชิงผิงของข้า ลัทธิเต๋าก็มีกฎเกณฑ์ของตัวเองเช่นกัน คนอย่างข้าไม่ค่อยชอบไปแย่งทำพิธีกับใคร”

แอบไปเชิญผู้อื่นอย่างนั้นหรือ!

อวี๋ชิวไฉตกตะลึง ถามโดยไม่คิดว่า “พวกเจ้าไปเชิญผู้มีฝีมือท่านอื่นด้วยหรือ”

เฉิงซื่อตกใจ แต่กลับไม่กล้าเอ่ยอะไรมากต่อหน้าสามี เพียงแต่หันไปมองเซียวจั่นรุ่ย

เซียวจั่นรุ่ยเองก็ตกใจเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าฉินหลิวซีจะเอ่ยถึงประเด็นนี้โดยตรง พวกเขายังไม่ได้เอ่ยอะไรเลยดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

เขาเองก็เป็นคนเคยเจอสถานการณ์ใหญ่มาก่อน บังคับตัวเองให้สงบลง เก็บซ่อนสายตา ยกมือประสานพลางก้าวไปข้างหน้า เอ่ยด้วยความชมเชยเล็กน้อย “ท่านอาจารย์วิชาสูงส่งจริงๆ ด้วย ทำนายสิ่งที่ไม่รู้ได้ นับว่าเป็นผู้มีฝีมือ เอ่ยตามตรง หลังจากที่จงหมัวหมัวกลับไปรายงานสิ่งที่ได้เห็นได้ฟังจากอารามชิงผิง ท่านแม่เดิมทีมีเจตนาจะมาในทันที แต่คิดไม่ถึงว่าน้องหญิงจะป่วยหนักขึ้นมาอีกอย่างกะทันหัน ในขณะเดียวกันได้มีผู้อาวุโสที่มีสัมพันธ์ที่ดีแนะนำนักพรตเต๋าให้ จึงได้เชิญมาที่จวน”

ฉินหลิวซีเพียงแต่ฟังไม่ได้เอ่ยอะไร

เซียวจั่นรุ่ยเอ่ย “เมื่อนักพรตผู้นั้นทำพิธีกรรม น้องหญิงของข้าก็ดีขึ้นมาสองวัน แต่คิดไม่ถึงว่าโรคจะกำเริบขึ้นอีกครั้ง อาการหนักยิ่งกว่าเดิม ก่อนที่ข้ากับภรรยาจะออกเดินทางนางก็จำใครไม่ได้แล้ว ท่านแม่ตกใจกลัวจนล้มป่วย ท่านพ่อก็กังวลเป็นอย่างมากจึงได้ให้ข้ามาเชิญท่านอาจารย์”

เมื่ออวี๋ชิวไฉเห็นว่าฉินหลิวซีไม่เอ่ยอะไร จึงแสร้งทำเป็นเอ่ยตำหนิเขา “ท่านพ่อท่านแม่เจ้าเลอะเลือนแล้ว ข้าเขียนจดหมายไปบอกตั้งนานแล้วว่าผู้มีฝีมือที่แท้จริงคือท่านอาจารย์ปู้ฉิว พวกเจ้าก็ยังไปเชิญนักพรตเต๋าท่านอื่น ซ้ำยังทำให้อาการป่วยของหันเอ๋อร์หนักกว่าเดิมเพราะความล่าช้า ช่างเลอะเลือนเสียจริง”

“เป็นความผิดของพวกเราเอง”

อวี๋ชิวไฉสบถเบาๆ เอ่ย “แน่นอนว่าเป็นความผิดของพวกเจ้า เห็นตาปลาเป็นไข่มุก ผิดต่อหันเอ๋อร์ ซ้ำข้ายังช่วยพูดแทนพวกเจ้า ตอนนี้ไม่มีหน้าไปพบท่านอาจารย์แล้ว”

ขณะที่เขาพูดก็มองไปยังฉินหลิวซี ยกมือประสานพลางเอ่ยว่า “อาจารย์ปู้ฉิว ไม่ว่าพวกเขาจะทำไปเพราะรักบุตรสาวก็ตาม เรื่องนี้เป็นพวกเขาที่ทำผิดจรรยาบรรณ เสวียนเหมินของพวกท่านย่อมมีกฎของตัวเอง ไม่ว่าจะรับเป็นธุระเรื่องนี้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว ไม่จำเป็นต้องเห็นแก่หน้าข้า”

เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว เหลือบมองเซียวจั่นรุ่ยพลางทำท่าทางนับเงินในมุมที่ฉินหลิวซีมองไม่เห็น

เซียวจั่นรุ่ยรีบเอ่ย “ท่านอาจารย์ เป็นพวกเราที่ทำอะไรไม่รอบคอบ เดิมทีคิดว่าน้ำที่อยู่ไกลไม่สามารถช่วยดับไฟที่อยู่ใกล้ได้จึงหลงเชื่อนักพรตผู้นั้น ท่านเป็นผู้สูงส่งจิตใจกว้างขวาง อย่าได้ถือสาพวกเราเลย หากท่านช่วยน้องหญิงของข้าได้ ตระกูลเซียวของข้าเต็มใจที่จะบริจาคค่าน้ำมันตะเกียงและซ่อมแซมหลังคาทองคำ”

หลังจากที่เขาเอ่ยจบ ก็ดึงภรรยาให้คารวะฉินหลิวซีอย่างเป็นทางการด้วยกัน

ซ่อมหลังคาทอง!

ชิงหย่วนที่ยืนอยู่บนระเบียงทางเดินเรือนหลังแทบจะยืนไม่อยู่ ส่งสายตาให้ฉินหลิวซีอย่างสุดกำลัง ‘บรรพบุรุษน้อย พอได้แล้วขอรับ หลังคาทองเชียวนะ!’

ฉินหลิวซีเห็นสายตาของชิงหย่วน เบะปาก ‘ไม่จำเป็นต้องรบกวนเจ้า ข้าจะทำงานนี้อย่างหนักแน่นอน’

หลังคาทองเชียวนะ เมื่อนึกถึงหลังคาสีทองของอารามชิงหลาน แม้ว่าจะไม่ใช่ทองแท้ แต่ก็เป็นกระเบื้องทองที่เปล่งประกายจนทำให้ตาพร่าได้ ดูสูงส่งเป็นอย่างมาก!

เมื่อฉินหลิวซีวางมาดพอแล้ว จึงได้เอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม “ขอสวรรค์ประทานพรแก่ท่าน ในเมื่อพวกท่านจริงใจเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะไปสักครั้ง!”

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท