คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 290 เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 290 เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว

ฉินหลิวซีลงจากรถม้า เงยหน้าขึ้นมอง จากนั้นก็หันกลับไปมองมู่ซีที่กระโดดตามลงมาจากข้างหลังนับว่าอาศัยบารมีของเขา จวนผู้ตรวจการถึงได้เปิดประตูหลักเพื่อต้อนรับ

เซียวจั่นรุ่ยเปลือกตากระตุกเมื่อเห็นมู่ซีกระโดดลงมาจากรถของฉินหลิวซี แต่พยายามแสร้งทำเป็นสงบ ทำท่าทางคุ้นชินไม่ใช่เรื่องประหลาด

อย่างไรเสียตลอดทาง ซื่อจื่อบางคนก็เหมือนกับสุนัขตามตูดคอยเดินตามหยอกล้อฉินหลิวซีไปทุกที่

ในทางกลับกัน ในตอนแรกพ่อบ้านเจี่ยงคิดว่าฉินหลิวซีคือมู่ซี เพราะนางลงมาจากรถก่อน แล้วมู่ซีค่อยลงตามมาติดๆ ราวกับน้องชายคนเล็ก

จริงสิ ได้ยินมาว่ามู่ซื่อจื่อชอบบุรุษ

เช่นนั้นสองคนนี้?

พ่อบ้านเจี่ยงรู้สึกว่าตัวเองสังเกตเห็นความจริงที่น่าบัดสี

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ผู้ตรวจการเซียวซึ่งยืนอยู่หน้าประตูหลักเห็นมู่ซีก็เดินออกมาอย่างรวดเร็ว เดินตรงไปหามู่ซี ยกมือขึ้นประสานพลางเอ่ยว่า “ท่านซื่อจื่อมาเยี่ยมนับว่าเป็นเกียรติของจวนข้า”

พ่อบ้านเจี่ยง “?”

อะไรนะ คุณชายอ้อนแอ่นผู้นี้ ไม่ใช่สิ คนที่มีเครื่องรางของขลังอยู่ทั่วตัวผู้นั้นคือจอมอันธพาลน้อยผู้สูงศักดิ์อย่างนั้นหรือ

มู่ซีไม่ชอบอะไรที่เป็นพิธีรีตองเป็นที่สุด โบกมือพลางเอ่ย “ไม่ต้องมากพิธี น่ารำคาญจะตายไป ข้าแค่มาเที่ยวเล่นที่นี่เท่านั้น”

ผู้ตรวจการเซียวคิดในใจว่า ‘หากเจ้าจะมาเที่ยวเล่นที่นี่ ทางที่ดีควรออกไปเที่ยวเล่นนอกอาณาเขตของผู้ตรวจการมณฑลอย่างข้าจะดีที่สุด หากเกิดอะไรขึ้น ศีรษะของคนทั้งตระกูลข้าก็ชดใช้ได้ไม่หมด’

ผู้ตรวจการเซียวมองดูทั้งขบวน ไม่เห็นนักพรตเต๋า จึงได้ถามบุตรชายว่า “ท่านอาจารย์ผู้นั้นล่ะ”

ส่วนฉินหลิวซีซึ่งเป็นคนหน้าตาดีที่แยกออกได้ยากว่าเป็นหญิงหรือชาย ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าคงเป็นคู่รักของมู่ซี อย่างไรเสียทุกคนในแวดวงชนชั้นสูงล้วนรู้เกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของจอมอันธพาลน้อยผู้นี้ เท่าที่ทุกคนรู้ มีบางคนอยากอาศัยอำนาจบารมีจึงได้ตั้งใจเสนอหน้ามาทำให้มู่ซีพอใจ

แต่ว่ามู่ซื่อจื่อไม่ได้ชอบแบบล่ำบึกมีพละกำลังหรอกหรือ แต่คนผู้นี้ดูอ่อนแอไปหน่อย!

หรือว่าเปลี่ยนรสนิยมแล้ว

ผู้ตรวจการเซียวแอบคิดว่าจะต้องเปลี่ยนบ่าวรับใช้ชายที่ปรนนิบัติในเรือนรับรองแขกให้เป็นเช่นนี้แล้ว

เซียวจั่นรุ่ยพาผู้ตรวจการเซียวไปหาฉินหลิวซี เอ่ย “ท่านพ่อ ผู้นี้คือท่านอาจารย์ปู้ฉิว”

ฉินหลิวซีหันมา มองผู้ตรวจการเซียวราวกับจะยิ้ม

ผู้ตรวจการเซียว “?”

พ่อบ้านเจี่ยง “!”

พวกเขาเข้าใจผิดกันอีกแล้ว?ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

นี่ไม่ใช่คนรักของมู่ซื่อจื่อ แต่เป็นนักพรตอารามเต๋าอย่างนั้นหรือ

เดี๋ยวก่อน ผู้ที่เข้าร่วมลัทธิเต๋าบำเพ็ญเป็นนักพรตอายุน้อยเช่นนี้ ซ้ำยังพิถีพิถันว่าต้องดูดีด้วยอย่างนั้นหรือ

ภาพลักษณ์นักพรตเต๋าที่มีรัศมีเซียนคละคลุ้งนั้นไม่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ในหัวของผู้คนทั่วไปเลยนะ?

“ท่าน…ท่านอาจารย์” ผู้ตรวจการเซียวยังไม่ทันได้สติกลับมาอย่างเต็มที่

ฉินหลิวซีพยักหน้าตอบรับ ดูมีความชำนาญ

เซียวจั่นรุ่ยก้าวไปข้างหน้าพลางเอ่ย “ท่านพ่อ ให้ท่านอาจารย์กับมู่ซื่อจื่อเข้าไปชำระล้างฝุ่นก่อนเถิด”

“อา อ้อๆๆ เชิญทางนี้ พ่อบ้านเจี่ยง รีบพาแขกไปที่เรือนรับรองแขก”

พ่อบ้านเจี่ยงรีบก้าวเข้าไป พามู่ซื่อจื่อและคนอื่นๆ เข้าไปในจวน

“พวกเราพักเรือนเดียวกันเถิด” มู่ซีเอ่ยกับฉินหลิวซี

ทุกคน “!”

ที่แท้รสนิยมของมู่ซื่อจื่อกลายเป็นนักพรตเต๋าเช่นนี้ไปแล้ว จอมอันธพาลน้อยช่างรู้จักเล่นจริงๆ

ฉินหลิวซีเหลือบมองสายตาที่แฝงไว้ด้วยบางอย่างของทุกคน เอ่ยตอบ “ไม่ดีกว่า ข้าจะเรียกพวกผีมาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องในเรือนตอนกลางคืน เดี๋ยวเจ้าจะตกใจเอา!”

มู่ซีหน้าแดงด้วยความโกรธ

เจ้าเป็นเทพเจ้าหรือไรถึงได้สนทนากับพวกผี การปฏิเสธของเจ้าช่างแปลกใหม่เสียจริง ไม่เหมือนกับจอมเจ้าเล่ห์คนอื่นๆ

เขาสบถเบาๆ สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป ไม่อยู่ก็ไม่อยู่ ใครสนใจกัน

ทุกคนมองฉินหลิวซีด้วยความหวาดกลัว เมื่อครู่นี้เอ่ยว่าอะไรนะ

พวกผี?

หรือนี่เป็นเคล็ดลับใหม่ในการปฏิเสธทางอ้อม

“เกิดอะไรขึ้น สองคนนี้?” ผู้ตรวจการเซียวขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามบุตรชาย

เซียวจั่นรุ่ยเอ่ย “ท่านอาจารย์ปู้ฉิวกับมู่ซื่อจื่อรู้จักกัน มู่ซื่อจื่อเชื่อฟังเขาเป็นอย่างมากขอรับ”

“หรือว่าพวกเขา?”

เซียวจั่นรุ่ยส่ายหน้า “ลูกมองว่าไม่ใช่ความสัมพันธ์เช่นนั้น แต่เหมือนว่าจอมอันธพาลน้อยผู้นี้จะสนอกสนใจท่านอาจารย์ปู้ฉิว ตลอดทางมานี้เขาเหมือนกับเด็กรับใช้วิ่งไปวิ่งมาชนิดที่เรียกเมื่อไหร่ก็มาเมื่อนั้น” หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งเขาก็รู้สึกเอะใจขึ้นมา เอ่ย “ต่อให้ไม่เรียกเขาก็ยังตามอยู่ดี ท่านพ่อ อย่าได้ดูถูกท่านอาจารย์ปู้ฉิวผู้นี้ ลูกเห็นว่าเขาพอมีความสามารถอยู่บ้าง”

“หมายความว่าอย่างไร” ผู้ตรวจการเซียวถามพลางหรี่ตา

เซียวจั่นรุ่ยที่อยู่ด้านข้างเล่าเรื่องทั้งหมดที่ตัวเองไปขอพบฉินหลิวซีที่อารามชิงผิงจนกระทั่งกลับมาถึงจวนโดยไม่ตัดทิ้งไปแม้แต่คำเดียว

แต่เขากลับไม่ได้เล่าเรื่องที่ฉินหลิวซีไปเซ่นไหว้หลุมศพระหว่างทาง เรื่องไม่มีที่มาที่ไป เขาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร มันแปลกมากๆ

เมื่อผู้ตรวจการเซียวได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ดูระมัดระวังขึ้นมาเล็กน้อย หากเป็นเช่นนี้ นักพรตเต๋าน้อยนามว่าปู้ฉิว เกรงว่าจะร่ายมนต์ดำใส่มู่ซื่อจื่อกระมัง

มิเช่นนั้นมู่ซื่อจื่อที่ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน เหตุใดจึงเชื่อฟังอีกฝ่ายไม่ลืมหูลืมตาเช่นนี้

ฉินหลิวซีได้ยินคำพูดดังกล่าวจากผีในเรือน แทบหลุดหัวเราะออกมา เหลือบมองไปที่มู่ซี

มู่ซีสีหน้ามึนงง เอ่ยว่า “เจ้ามองอะไร”โนเวลพีดีเอฟ

“มีคนคิดว่าข้าร่ายมนต์ดำใส่เจ้า ทำให้เจ้าอยากติดตามข้าไปทุกย่างก้าว”

มู่ซีใบหูร้อนผ่าว “เหลวไหล ไม่ใช่เสียหน่อย!”

ฉินหลิวซีมีรอยยิ้มที่ชั่วร้าย ทำให้มู่ซีเห็นแล้วหัวใจเต้นเร็ว

เขาจบแล้ว!

ฉินหลิวซีละสายตาไปทางอื่น กลั้นยิ้มพลางหันไปมองทิศทางที่มีเสียงกรีดร้องดังมาเบาๆ แล้วหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง

ทางทิศตะวันตกของด้านหลังจวน ลึกเข้าไปในลานบ้านมีหอเดี่ยวหลังเล็กๆ แห่งหนึ่ง ในเวลานี้มีพลังงานชั่วร้ายน่ากลัวปกคลุมอยู่เหนือหอเล็กหลังนั้น

ฉินหลิวซีมองไปยังผีในเรือนที่ตัวสั่นงันงก ร่ายมนต์สร้างม่านอาคมก่อนจะเอ่ยถามว่า “มีอะไร คุณหนูเซียวผู้นี้ถูกบางสิ่งบางอย่างครอบงำอยู่ ไม่ได้เป็นบ้าใช่หรือไม่”

ผีในเรือนนั้นอาศัยอยู่ในตระกูลเซียวมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ทั้งยังดูแลปกป้องเรือนให้ตระกูลเซียว เอ่ยได้ว่าคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้มาก

เมื่อได้ฟังคำถามของฉินหลิวซีก็เอ่ยตอบด้วยความหวาดกลัว “ใต้เท้าปราดเปรื่อง เดิมทีคุณหนูคลั่งไคล้โรงละคร เมื่อสองเดือนก่อนมีคณะละครชื่อโม้เซิงเก๋อจากเมืองเหยามาที่เมืองฝู่ ตอนที่คุณหนูไปร่วมงานเลี้ยงตระกูลเฉิงในเมืองก็ได้ชมละคร จากนั้นก็ได้พบกับฮวาต้าน[1]ของโม้เซิงเก๋อนามว่าฝูเซิง…”

“อย่าบอกนะว่าคุณหนูของเจ้าตกหลุมรักนักแสดงผู้นี้หัวปักหัวปำ แต่ผู้ตรวจการเซียวจับพวกเขาแยกจากกันทำให้คุณหนูเซียวคิดถึงเขาอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็เอาแต่เหม่อลอย?” ฉินหลิวซีตัดบทสนทนาของผีในเรือน

“ใต้เท้าหลักแหลม ทำนายอนาคตได้”

“หลักแหลมอะไรกัน นิยายตามร้านค้าก็เขียนเช่นนี้ไม่ใช่หรือ คุณหนูเซียวผู้นี้อ่านนิยายน้ำเน่ามากเกินไปจนทำให้ตัวเองหลงงมงาย”

ผีในเรือนเอ่ยอย่างลำบากใจ “เด็กสาวพึ่งเริ่มตกหลุมรัก ฝูเซิงผู้นั้นก็รูปงามเป็นอย่างมากขอรับ”

“จะรูปงามแค่ไหนก็มีสถานะแตกต่างกัน ไม่มีทางเป็นไปได้ ทันทีที่นางตกหลุมรัก ก็เท่ากับส่งฝูเซิงผู้นั้นไปสู่ความตาย” ฉินหลิวซีส่ายหน้า เอ่ยถามต่อ “ผู้ตรวจการเซียวฆ่าฝูเซิงผู้นี้แล้วหรือ”

ผีในเรือนพยักหน้า “ซ้ำยังฆ่าอย่างทรมานด้วยขอรับ”

“โหดร้ายเช่นนี้เลยหรือ คุณหนูเซียวกับฝูเซิงผู้นั้นทำเรื่องผิดประเวณีแล้วหรือ”

ผีในเรือนรีบส่ายหน้า เอ่ย “ไม่ใช่เช่นนั้น เป็นไปไม่ได้ขอรับ”

“เหตุใดจึงเป็นไปไม่ได้” ไม่ได้ทำเรื่องผิดประเวณี แล้วผู้ตรวจการเซียวโกรธเพียงนี้ได้อย่างไรกัน

“ฮวาต้านผู้นั้นเป็นสตรีขอรับ”

ฉินหลิวซี “!”

นางหันไปมองมู่ซีโดยไม่รู้ตัว ก่อนหน้านี้มีเขาที่ไปตามจับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์เพื่อบุรุษคนหนึ่ง ทำให้นางได้ดูละครสนุกๆ ตอนนี้ก็มีสตรีสกุลเซียวคิดถึงนักแสดงละครสาวอย่างบ้าคลั่งอีกคน จริงๆ แล้วบุรุษและสตรีต้าเฟิงนั้นมีความคิดที่ไม่ธรรมดาทีเดียว!

มู่ซี ‘รู้สึกว่าสายตาเช่นนี้มีความหมายแอบแฝงอยู่หลายอย่าง แต่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไหน’

[1] ฮวาต้าน คือตัวละครหลักของคณะละคร

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท