คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 291 ผีใหม่ตนนี้มีบางอย่างผิดปกติ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 291 ผีใหม่ตนนี้มีบางอย่างผิดปกติ

ฉินหลิวซียืนนิ่ง พ่อบ้านเจี่ยงเห็นดังนั้นก็มองไปตามสายตาของอีกฝ่าย สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ท่านอาจารย์ เชิญทางนี้ขอรับ”

ฉินหลิวซีละสายตา เดินต่อไปข้างหน้าพลางสนทนากับผีในเรือน “มีบางอย่างผิดปกติ เจ้าบอกว่าคุณหนูเซียวพึ่งหลงรักฝูเซิงผู้นั้นเมื่อสองเดือนก่อน ต่อให้เวลาจะนานแค่ไหน ตอนที่ฝูเซิงผู้นั้นตายไปอย่างมากก็ไม่เกินสองเดือน ย่อมนับว่าเป็นผีใหม่ ในฐานะผีใหม่ ไม่ว่าในใจจะโกรธแค้นชิงชังแค่ไหน ความร้ายกาจก็ไม่ควรจะรุนแรงเช่นนี้ ถึงขั้นส่งผลกระทบต่อโชคลาภในจวน”

ผีในเรือนเอ่ย “นายท่านเอ่ยถูกแล้ว ข้าน้อยอยู่ที่จวนนี้มาเป็นเวลาสามสิบสี่สิบปีแล้ว นับว่าเป็นผีเก่าแก่ที่อยู่มานาน ตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความอาฆาตแค้นในเรือนของคุณหนูก็ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ามีสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ ข้าน้อยก็ไม่กล้าเข้าใกล้ขอรับ”

เขากลืนน้ำลายก่อนจะเอ่ย “จริงๆ แล้วในตอนแรก คุณหนูเพียงแค่คลุ้มคลั่งเล็กน้อยเท่านั้น ยังจำผู้คนได้ แต่ต่อมาก็ค่อยๆ คลุ้มคลั่งหนักขึ้นเรื่อยๆ จนจำใครไม่ค่อยได้ และไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้ จวนผู้ตรวจการได้เชิญหมอหลายท่านมาตรวจแต่ก็ไม่พบอะไร แม้แต่แม่หมอก็เคยเชิญมา ก่อนหน้านี้ไม่นานก็ยังเชิญนักพรตท่านหนึ่งมาทำพิธีให้สงบได้อยู่สองวัน หลังจากนั้นกลับแย่ลงกว่าเดิม พลังงานชั่วร้ายนั้นก็ยังคงอยู่ ข้าน้อยก็เคยสงสัยอยากจะไปดู แต่เมื่อเข้าใกล้เรือนก็รู้สึกว่าพลังวิญญาณอ่อนแอลง เหมือนถูกอะไรบางอย่างดูดเข้าไป”โนเวลพีดีเอฟ

ฉินหลิวซีถูนิ้วไปมา แววตาแฝงไว้ด้วยความสงสัย

ผีใหม่กลับมีวิญญาณชั่วร้ายที่ทรงพลังเช่นนี้ เป็นเพราะฝูเซิงผู้นั้นทำอะไรไว้ก่อนตาย หรือว่าหลังจากตายแล้วถูกทำอะไรบางอย่าง หรือว่าเป็นเพราะเหตุผลอื่น

ปริศนาข้อนี้จะแก้ไขได้ก็ต่อเมื่อช่วยคุณหนูเซียวออกมาแล้วหาวิญญาณของฝูเซิงผู้นั้นเจอ

“มีสิ่งสกปรกในตระกูลเซียวหรือไม่” มู่ซีแทรกเข้ามาถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

เมื่อผีเก่าตนนั้นเห็นว่าเขาแขวนเครื่องรางของขลังทั้งตัวก็ตกใจกลัวลอยหนีไปไกลเล็กน้อย

ฉินหลิวซีเอ่ย “เจ้าหน้าด้านมาเป็นแขกที่เรือนเขา แล้วยังมาอยากรู้เรื่องชาวบ้านเช่นนี้อีก”

“ข้าแค่ถามไม่ได้หรือ” มู่ซีลูบแขนตัวเอง เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “หากไม่ใช่เพราะเจ้าข้าก็ไม่มาหรอก ตั้งแต่เข้าจวนมาก็รู้สึกไม่เป็นตัวเอง หนาวๆ สั่นๆ”

ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว “เจ้ารู้สึกไม่สบายหรือ”

มู่ซีพยักหน้า “รู้สึกเย็นไปทั่วร่างกาย”

ฉินหลิวซีเหลือบมองไปยังทิศทางของพลังงานชั่วร้ายอีกครั้ง แววตาแฝงไว้ด้วยความเกรี้ยวกราด

แปดตัวอักษรของมู่ซีอ่อนแอ ล้วนเป็นหยินทั้งหมด จึงรู้สึกถึงสิ่งไม่ดีได้มากกว่าคนธรรมดาทั่วไป อย่างเช่นตอนนี้

นางมองดูผู้คนที่เข้าออกในจวนผู้ตรวจการ ต่างก็ติดพลังงานชั่วร้ายมาด้วยไม่มากก็น้อย ทำให้โชคร้าย

“พ่อบ้าน ในจวนมีใครที่ป่วยหรือเกิดเรื่องหรือไม่” ฉินหลิวซีถามพ่อบ้านเจี่ยงที่อยู่ตรงหน้า

พ่อบ้านเจี่ยงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ย “ในช่วงไม่กี่วันนี้มีบ่าวรับใช้สองสามคนเป็นไข้หวัดแล้วก็ล้มขาหักอยู่ขอรับ”

“บ่าวรับใช้ที่อยู่ในเรือนคุณหนูของเจ้าล่ะ”

สีหน้าของพ่อบ้านเจี่ยงเปลี่ยนไป มีความระมัดระวังเล็กน้อย แล้วยังหันไปมองมู่ซี

เมื่อมู่ซีเห็นดังนั้นก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังกลัวสถานะของตัวเองหรือไม่ก็กลัวว่าตัวเองจะเอาไปพูดเผยแพร่ออกไป จึงสบถเบาๆ

ฉินหลิวซีจึงเอ่ย “แม้ว่ามู่ซื่อจื่อจะเป็นจอมเสเพล แต่ก็ไม่ใช่สตรีที่ชอบซุบซิบนินทา ในเมื่อมารบกวนเป็นแขกที่จวนท่านแล้ว ก็ไม่มีทางเอาเรื่องในจวนท่านไปพูดตามใจชอบ ใช่หรือไม่ท่านซื่อจื่อ”

มู่ซีเชิดคางขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง เอ่ย “ข้ามีสถานะสูงส่ง ไม่เหมือนกับสตรีบ้านนอกที่เอ่ยซุบซิบนินทาไปทั่ว หากมีเวลาไม่สู้ข้าออกไปขี่ม้าเล่นยังจะดีกว่า”

หลังจากที่เขาเอ่ยจบก็ก้าวยาวๆ ออกไปข้างหน้า

พ่อบ้านเจี่ยงจึงได้เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ในเมื่ออาจารย์ก็มาที่นี่เพื่อคลายความกังวลของนายท่าน บ่าวก็ไม่ขอปิดบังท่าน บ่าวรับใช้ในเรือนของคุณหนูถูกเปลี่ยนทั้งหมด คนที่อาการร้ายแรงที่สุดตายไปแล้วขอรับ”

“ตายได้อย่างไร”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทางประหลาดใจ ในใจพ่อบ้านเจี่ยงก็รู้สึกสงบอย่างอธิบายไม่ถูก แต่บนใบหน้ากลับแฝงไว้ด้วยความตื่นตระหนก เอ่ย “ตกใจตายขอรับ”

“หืม?”

พ่อบ้านเจี่ยงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ตามคำบอกเล่าจากบ่าวรับใช้อีกคน ตอนที่นางเข้าเวรได้เห็นอะไรบางอย่างจึงตกใจ ตอนตายก็ยังตาเหลือก ใบหน้าเป็นสีม่วง ท่านอาจารย์ คุณหนูยังไม่ได้ออกเรือน แต่บ่าวรับใช้ในเรือนนางกลับตกใจกลัวจนตาย หากเผยแพร่ออกไปจะทำให้ผู้คนคาดเดากันไปต่างๆ นานาอย่างไร้เหตุผล ขอท่านอาจารย์ช่วยปกปิดเรื่องนี้ให้คุณหนูของพวกเราด้วยขอรับ”

เมื่อเขาพูดจบก็โค้งคารวะฉินหลิวซีอย่างเป็นทางการ

ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “เจ้ายังกล้าเล่าให้ข้าฟัง”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

“ท่านอาจารย์มาถึงที่นี่ มีสายตาที่เฉียบคม บ่าวจึงไม่กล้าปิดบังท่าน การปิดบังก็อาจไม่ใช่เรื่องดี บ่าวเห็นคุณหนูมาจนโต ก็ไม่อยากเห็นนางคลุ้มคลั่งเช่นนี้ต่อไปขอรับ” ใบหน้าของพ่อบ้านเจี่ยงเผยให้เห็นถึงความเศร้าใจ

ฉินหลิวซีพยักหน้าแล้วเดินตามมู่ซีไป เอ่ยกับเขาว่า “เจ้าอย่าพักในจวนผู้ตรวจการ ให้องครักษ์ของเจ้าหาที่พักอื่นให้เจ้าอยู่”

มู่ซีตกใจ “ในจวนนี้มีผีจริงๆ หรือ ไม่ใช่หรอกกระมัง นี้เป็นถึงจวนผู้ตรวจการเชียวนะ ไม่ใช่ว่ามีเทพเหวินชาง[1]คอยปกป้องอยู่หรือ ของแบบนั้นจะกล้ามาก่อปัญหาได้อย่างไร”

“หากเป็นผีธรรมดาทั่วไปแน่นอนว่าไม่กล้ามาก่อปัญหา แต่ตนที่อยู่ในจวนนี้มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน เจ้าเป็นหยินทั้งตัว อาจเกิดปัญหาขึ้นได้ง่าย เพื่อตัวเจ้าเอง แล้วก็เพื่อศีรษะของคนในจวนผู้ตรวจการนี้ เจ้าควรอยู่ห่างๆ ไว้จะดีกว่า” ฉินหลิวซีเอ่ยในใจ ‘เพื่อปกป้องชีวิตที่สุขสบายของเจ้าด้วย’

ตอนที่เซียวจั่นรุ่ยตามมาถึง บังเอิญได้ยินประโยคนี้ครึ่งหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนไปหลายครั้ง แทบจะยืนไม่อยู่

แต่มู่ซีกลับไม่ได้หวาดกลัว แอบรู้สึกดีใจด้วยซ้ำ มองอีกฝ่ายพลางเอ่ย “เจ้ากำลังเป็นห่วงข้าหรือ”

ฉินหลิวซี “ข้ากลัวว่าตอนที่กำลังจัดการ แล้วของสิ่งนั้นมาชนกับเจ้าเข้าที่นี่ ข้าจะจัดการได้ลำบาก หรือเอ่ยอีกนัยหนึ่งก็คือกลัวว่าเจ้าจะเป็นภาระข้า เข้าใจหรือไม่”

มู่ซีโกรธมาก ตบไปที่เครื่องรางบนร่างกาย ซ้ำยังเกี่ยวเอาสร้อยเครื่องรางไม้เหลยจี[2]ที่ฉินหลิวซีเคยมอบให้ออกมาจากคอ เอ่ย “คิดว่าสิ่งที่ช่วยปกป้องชีวิตบนตัวของข้าผู้นี้ไร้ประโยชน์หรือ”

ฉินหลิวซีจ้องมองเขา

มู่ซีไม่อยากแสดงความอ่อนแอ จึงไม่ยอมถอยหนี

เซียวจั่นรุ่ยก้าวไปข้างหน้าด้วยความสั่นเทา เอ่ยขัดจังหวะว่า “ขอถามท่านอาจารย์สักหน่อย ที่ท่านเอ่ยเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ”

ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา เอ่ย “มีบางอย่างที่ร้ายกาจอยู่ที่เรือนน้องสาวของเจ้า”

เซียวจั่นรุ่ยขาอ่อนแรง

“เจ้าจะไปไม่ไป” ฉินหลิวซีจ้องไปที่มู่ซีอีกครั้ง

มู่ซี “ข้าไม่ไป! ในเมื่อข้ามาที่นี่แล้ว ไม่แน่อาจจะตกเป็นเป้าหมายแล้ว หากอยู่ใกล้เจ้า บางทีอาจจะปลอดภัยกว่า!”

ช่างเอ่ยได้สมเหตุสมผลเสียจริง

ฉินหลิวซีกลับไม่หวั่นไหว เข้าไปที่เรือนรับรองที่ตระกูลเซียวเตรียมไว้ ให้พ่อบ้านเจี่ยงเตรียมสิ่งที่นางต้องการสองสามอย่าง

พ่อบ้านเจี่ยงได้ยินดังนั้นก็ถามว่า “ท่านอาจารย์ต้องการเลือดหมาดำกับไก่ตัวผู้หรือไม่ขอรับ”

ฉินหลิวซีได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้ามึนงง มองเขาพลางเอ่ย “จะเอาของเหล่านั้นไปทำอะไร”

“ท่านต้องการชาดแดง กระดาษสีเหลือง แท่นทำพิธี แต่ไม่ต้องการเลือดสุนัขดำกับไก่ตัวผู้มาช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายหรือขอรับ” พ่อบ้านเจี่ยงเอ่ยถาม

ฉินหลิวซี “เช่นนั้นมีเสื้อคลุมกับหมวกทำพิธีหรือไม่ เจ้าไปหามาให้ข้าสักชุด แล้วก็กระบี่ไม้ท้อเจ็ดดาวด้วย จริงสิ เสื้อคลุมทำพิธีต้องทำจากด้ายทองคำบริสุทธิ์ เวลาข้าร่ายกระบี่จะได้ส่องแสงระยิบระยับสีทอง”

พ่อบ้าเจี่ยง “?”

มู่ซีหัวเราะเบาๆ เอ่ย “ล้อเจ้าเล่นน่ะ บอกให้เจ้าไปเตรียมอะไรก็ไปเตรียม ไม่เห็นต้องถามมากมายเช่นนี้”

พ่อบ้านเจี่ยงยิ้มอย่างลำบากใจ “ข้าน้อยล่วงเกินท่านแล้ว”

“รีบไปเตรียมเถิด” ฉินหลิวซีโบกมือ

[1] เทพเหวินชาง เป็นเทพเจ้าจีน โดยนับถือว่าเป็นเทพแห่งการศึกษา การรับราชการ และการสอบเข้าจอหงวน

[2] ไม้เหลยจี หรือไม้ฟ้าผ่า หมายถึง ไม้ที่เหลือจากต้นไม้ที่ปลูกตามปกติซึ่งถูกฟ้าผ่า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท