เรื่องนี้แพร่กระจายไปถึงหูของสวีลิ่งอี๋อย่างรวดเร็ว
เขาแอบแปลกใจ
ถึงแม้บุตรชายยังเด็กแต่ก็เคยฝึกศิลปะการต่อสู้ คนธรรมดาสามสี่คนไม่มีทางเข้าใกล้ตัวเขาได้ง่ายๆ เหตุใดถึงถูกพวกอันธพาลต่อยได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกอันธพาลพวกนั้นไม่ได้โง่ เห็นเสื้อผ้าของเขาไม่ธรรมดา แล้วยังมีองครักษ์คอยติดตาม พวกเขาจะกล้าก่อเรื่องได้เช่นไร หรือว่าจิ่นเกอทำตัวเย่อหยิ่งแล้วเอาเรื่องนี้มาอ้าง?
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามเติงฮวา “พ่อลูกสองคนนั้นเข้ามาในจวนเมื่อไร”
เติงฮวาพูดด้วยความเคารพ “หลังจากที่คุณชายน้อยหกและคุณชายน้อยสองเจอกัน คุณชายน้อยสองออกไปอีกครั้ง แล้วก็พาสองพ่อลูกคู่นั้นกลับมาขอรับ!”
“คุณชายน้อยสอง?” สวีลิ่งอี๋แปลกใจ
“ใช่ขอรับ!” เติงฮวาพูด “ได้ยินว่าคุณชายน้อยหกขอร้องให้คุณชายน้อยสองช่วยหาที่อยู่ให้สองพ่อลูกคู่นั้น คุณชายน้อยสองไม่รู้ว่าจะให้พวกเขาไปอยู่ที่ไหนจึงพาพวกเขากลับมา!”
สวีลิ่งอี๋เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดกับเติงฮวา “สองพ่อลูกคู่นั้นอยู่ที่ไหน พาตัวมาให้ข้าดู!”
เติงฮวาไปเรียกสองพ่อลูกคู่นั้นมา
คนเป็นบิดาอายุแค่สามสิบกว่าปี หน้าตาหล่อเหลา ถึงแม้ผิวจะเหลือง รูปร่างผอมบาง แต่บนใบหน้ามีความทะนงตนเล็กน้อย ฤดูหนาวเช่นนี้ เขากลับสวมชุดคลุมฤดูใบไม้ร่วง แบกพิณไว้ข้างหลัง ยืนตัวตรงอยู่ตรงนั้น ไม่เหมือนคนทำการแสดงข้างถนนแต่กลับเหมือนนักปราชญ์มากกว่า ส่วนบุตรสาวอายุประมาณสิบสองสิบสามปี เดินตามหลังบิดาตัวเองมาติดๆ นางก้มหน้า เนื้อตัวสั่นเทา ท่าทีหวาดกลัว
“เงยหน้าขึ้นพูดเถิด!” น้ำเสียงของสวีลิ่งอี๋ราวกับเสียงฟ้าร้อง ทำเอาบุตรสาวคนนั้นเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตระหนก
สองพ่อลูกหน้าตาคล้ายกัน บุตรสาวสีหน้าซีดเซียว ดวงตาสดใสราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง นางมองสวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาที่น่าสงสาร หน้าตาสะสวยอยู่ไม่น้อย
“เจ้าชื่ออะไร” สวีลิ่งอี๋ถามอย่างเฉยเมย
“ตกอับเช่นนี้ทำให้บรรพบุรุษอับอายขายหน้า ไม่กล้าเอ่ยชื่อแซ่ขอรับ” คนเป็นบิดาพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวของเขา
สวีลิ่งอี๋พูด “ฟังน้ำเสียงของเจ้าแล้ว เจ้าเคยเรียนหนังสือใช่หรือไม่”
เขาไม่พูดอะไร ก้มหน้าลงด้วยท่าทีรู้สึกผิด
สวีลิ่งอี๋ถามอีกครั้ง “ข้าได้ยินมาว่าพวกเจ้าเป็นคนเจียงหนาน เหตุใดถึงมาอยู่ที่เยี่ยนจิง แล้วทำไมถึงไปทะเลาะกับคนอื่น”
“ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีที่อยู่ จึงต้องทำการแสดงเลี้ยงชีพขอรับ” พูดจบ เขาก็หน้าแดง “พวกอันธพาลพวกนั้นอยากให้บุตรสาวของข้าร้องเพลง แต่บุตรสาวของข้าร้องไม่เป็น ก็ยังจะให้บุตรสาวของข้าไปดื่มสุรากับพวกเขา อย่างน้อยข้าก็เคยเรียนหนังสือ ให้บุตรสาวตัวเองออกมาทำงานแบบนี้เพราะไม่มีทางเลือก จะให้บุตรสาวไปดื่มสุรากับพวกเขาได้อย่างไร” พูดจบ สายตาของเขาก็มีความฉุนเฉียว บุตรสาวเองก็สะอื้นไห้ “จึงเกิดการทะเลาะกัน…”
“ไท่ฮูหยินมอบเงินให้พวกเจ้า” สวีลิ่งอี๋ไม่ถามอะไรอีก “เจ้าไปรับกับเติงฮวา แล้วพาบุตรสาวกลับบ้านเกิดเถิด!”
คนเป็นบิดาตกอกตกใจ
“ท่านพ่อ เช่นนั้นเรากลับบ้านได้หรือยังเจ้าคะ” บุตรสาวถามบิดาด้วยความตื่นเต้น
คนเป็นบิดาดีใจ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้สติกลับมา เขาพยักหน้าให้บุตรสาวตัวเอง “เรากลับบ้านได้แล้ว!” จากนั้นก็โค้งคำนับสวีลิ่งอี๋แล้วพูดว่า “ขอบพระคุณขอรับ”
เขามีท่าทีรักในศักดิ์ศรีของตัวเองตั้งแต่ต้นจนจบ
สองพ่อลูกออกไปกับเติงฮวา
สวีลิ่งอี๋เรียกพ่อบ้านไป๋เข้ามา “ไปสืบมาว่าคนที่ต่อยตีกับจิ่นเกอคือใคร”
พ่อบ้านไป๋ขานรับแล้วเดินออกไป
จากนั้นก็มารายงานสวีลิ่งอี๋ยามบ่าย
“คือเฉินจี๋ บุตรชายของเฉินปั๋วจือ ผู้ว่าการกรมขนส่งเสบียงอาหารขอรับ” พ่อบ้านไป๋พูด “เขามีความดีความชอบ ฝ่าบาทจึงแต่งตั้งบุตรชายของเขาขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาการณ์ เฉินจี๋เข้ามาเมืองหลวงตามพระราชโองการขอรับ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ศาลว่าการว่าเช่นไร”
“ตอนพวกเขาไป คุณชายน้อยหกก็ต่อยตีกับพวกเขาเสร็จแล้ว” พ่อบ้านไป๋พูด “พวกเขาจึงไม่เห็นอะไรเลยขอรับ!” เขาพูดต่อไปว่า “ส่วนคนของกองปัญจทิศรักษานครบอกว่าพวกเขาไปถึงช้ากว่าคนของศาลว่าการเสียอีก”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะออกมา เขาสะบัดมือ “ข้ารู้แล้ว!”
พ่อบ้านไป๋ไม่ได้ออกไปทันทีเหมือนเมื่อก่อน แต่สีหน้าของเขามีความลังเล
“มีเรื่องอันใดอีก” สวีลิ่งอี๋ถามด้วยรอยยิ้ม
พ่อบ้านไป๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดเสียงเบา “ท่านโหวขอรับ ท่านคิดว่าควรไปทักทายคนของศาลว่าการหรือไม่…ถึงแม้คุณชายน้อยหกจะบุ่มบ่าม แต่ไม่ว่าใครเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็คงโมโห…อย่างน้อยเขาก็ทำเรื่องดี...”
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดอะไร แต่จู่ๆ กลับพูดว่า “หลังจากขึ้นปีใหม่ เถ้าแก่ใหญ่ที่ซานซีก็อายุหกสิบสามแล้ว ปีนี้เขาคงจะพูดเรื่องกลับบ้านเกิดอีก ข้าคิดว่าจะให้สวีซื่ออวี้ปรึกษากับจุนเกอ เลือกคนมาให้ข้าดู ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก็เลือกคนที่จะไปแทนที่เถ้าแก่ใหญ่ที่ซานซีเถิด”
พ่อบ้านไป๋รู้ว่าสวีลิ่งอี๋กำลังบอกว่าไม่ให้เขาสนใจเรื่องนี้ เขาเลยรีบตอบกลับ “บ่าวจะไปบอกให้คุณชายน้อยสองปรึกษากับคุณชายน้อยสี่ประเดี๋ยวนี้ขอรับ”
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดอะไร
หลังจากที่พ่อบ้านไป๋ออกไปก็ยืนเอามือไขว้หลังมองนอกหน้าต่างอยู่นาน จากนั้นก็กลับไปที่เรือนหลัก
“จิ่นเกอเล่า” ทันทีที่นั่งลงเขาก็ถามหาบุตรชายตัวเอง
สืออีเหนียงรับถ้วยชาร้อนจากสาวใช้มาวางไว้ข้างสวีลิ่งอี๋ “บอกว่ากลัวมีคนมาหาเรื่องสองพ่อลูกคู่นั้นเลยจะไปส่งพวกเขาออกไปจากเมืองหลวงด้วยตัวเองเจ้าค่ะ!” นางเดินไปนั่งข้างๆ สวีลิ่งอี๋ “ทำไมข้าถึงรู้สึกแปลกๆ ด้วยนิสัยของจิ่นเกอแล้ว ช่วยพวกเขาไว้ก็คงแค่มอบเงินให้แล้วให้บ่าวรับใช้เป็นคนไปจัดการ แต่ครั้งนี้กลับพาสองพ่อลูกคู่นั้นเข้ามาในจวน” นางส่ายหน้า “ข้าคิดว่ามันไม่เหมือนพฤติกรรมของเขา แล้วยังมีอวี้เกอ เขาทำอะไรหนักแน่นมาตลอด กลับมาวันแรก ทั้งๆ ที่รู้ว่าไท่ฮูหยินจัดงานเลี้ยงต้อนรับเขากลับมา แต่เขากลับไม่กลับจวนทั้งคืนเพียงเพราะสหายตัวเอง…” พูดจบก็มองสวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาที่มีความกังวล “ท่านโหวเจ้าคะ ท่านคิดว่าเรื่องนี้มีลับลมคมในอะไรหรือไม่”
“ปีใหม่แบบนี้ เด็กๆ กลับจวนได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน เจ้าอย่าเอาแค่คิดเรื่องนี้เลย” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยรอยยิ้ม “รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปทานอาหารที่เรือนของท่านแม่กันเถิด”
หรือว่าตนคิดมากเกินไป?
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา
สืออีเหนียงไปเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็ไปที่เรือนของไท่ฮูหยินกับสวีลิ่งอี๋
นอกจากสวีซื่ออวี้กับจิ่นเกอ ทุกคนล้วนมากันครบแล้ว
“เด็กสองคนนี้ บอกให้เขากลับมาเร็วๆ เหตุใดป่านนี้แล้วยังไม่กลับมาอีก!” ไท่ฮูหยินบ่นขึ้นมา
“ท่านย่าขอรับ น้องหกกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมจบง่ายๆ” ไม่มีใครพูดอะไร แต่สวีซื่อเจี้ยที่ปกติไม่ค่อยพูดอะไรกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ทำอะไรต้องมีจุดเริ่มต้นและจุดจบ น้องหกก็แค่ทำความดีให้ถึงที่สุด สำหรับพี่สอง ประเดี๋ยวก็จะปีใหม่แล้ว สหายของเขายังเดินทางไกลมาหาเขา คงมีเรื่องขอร้องเขากระมัง พี่สองจะไม่สนใจก็คงไม่ได้”
สายตาของทุกคนจ้องมองไปยังสวีซื่อเจี้ย
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ “เจ้าพูดมีเหตุผล!”
อิงเหนียงเห็นสายตาที่เฉียบแหลมของสวีลิ่งอี๋มองไปที่สวีซื่อเจี้ย
หัวใจของนางเต้นแรง
พ่อสามีสังเกตเห็นอะไรเช่นนั้นหรือ
“ท่านย่าเจ้าคะ” นางเดินเข้าไปหาไท่ฮูหยิน “ครั้งก่อนท่านบอกว่าจะปักกระเป๋าแว่นตา ข้าว่าจะทำลวดลายดอกไม้สีเขียวและดอกไม้สีแดง ท่านชอบสีเขียวหรือสีแดงเจ้าคะ”
“ชอบหมดเลย ชอบหมดเลย” ไท่ฮูหยินระบายยิ้ม “แต่ท่านแม่ของเจ้าปักลายดอกสีฟ้าขอบสีทองให้ข้าแล้ว สวยยิ่งนัก” พูดจบก็ให้สาวใช้ไปหยิบมา ยื่นให้อิงเหนียงดูด้วยความภาคภูมิใจ “ดูสิ สวยหรือไม่!”
อิงเหนียงกำลังจะพูดชื่นชม สวีซื่ออวี้และจิ่นเกอก็เดินเข้ามาพร้อมกันพอดี
ไท่ฮูหยินลืมเรื่องกระเป๋าแว่นตาไปทันที นางรีบเรียกพวกเขาสองคนเข้าไป จับมือจิ่นเกอ “ส่งพวกเขาออกไปแล้วหรือยัง หนาวหรือไม่” จากนั้นก็ถามสวีซื่ออวี้ “ธุระของเจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง!”
พวกเขาสองคนพูดพร้อมกัน คนหนึ่งตอบ “ส่งไปแล้วขอรับ” อีกคนหนึ่งตอบ “เรียบร้อยแล้วขอรับ”
สวีลิ่งอี๋ยืนขึ้น “เช่นนั้นก็ทานข้าวกันเถิด!” จากนั้นก็เดินไปประคองไท่ฮูหยิน
ทุกคนเดินไปห้องปีกทิศตะวันออก
สวีซื่อจุนดึงสวีซื่อเจี้ยมาถามเบาๆ “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้าต้องช่วยพูดให้พี่สองกับน้องหกด้วย”
“ประเดี๋ยวค่อยเล่าให้ท่านฟัง!” สวีซื่อเจี้ยตอบกลับอย่างรวดเร็ว
สวีซื่อจุนไม่ถามอะไรอีก หลังทานข้าวเสร็จ ทุกคนไปดื่มชาที่ห้องปีกทิศตะวันตก สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยเดินอยู่ข้างหลังด้วยกัน
“ตอนนี้ข้ายังเล่าให้พี่สี่ฟังไม่ได้ขอรับ” สวีซื่อเจี้ยพูดเสียงเบา “ข้าต้องถามพี่สองกับน้องหกก่อน หากพวกเขาเห็นด้วย ข้าถึงจะเล่าให้ท่านฟัง!”
สวีซื่อเจี้ยไม่เคยนินทาคนอื่นลับหลัง เขาจริงใจต่อทุกคน สวีซื่อจุนชื่นชมจุดนี้ของสวีซื่อเจี้ย
“ได้!” เขาไม่ถามอีก เมื่อทุกคนกำลังปรึกษากันเรื่องฉลองปีใหม่ปีนี้ สวีซื่อจุนก็สังเกตสวีซื่ออวี้และจิ่นเกอตลอด
เวลาผ่านไปครึ่งถ้วยชา สวีซื่ออวี้ลุกขึ้นไปห้องชำระ ผ่านไปอีกไม่นาน จิ่นเกอก็ตามออกไป
“เป็นเช่นไรบ้าง” สวีซื่ออวี้รอจิ่นเกออยู่ตรงมุมข้างห้องเอ่อร์ฝัง “ท่านอาห้าว่าอย่างไร”
“ท่านอาห้าหัวเราะเยาะข้าขอรับ” จิ่นเกอทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “บอกว่าไม่ต้องยุ่งยากขนาดนี้ก็ได้ คนของศาลว่าการไม่รู้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่หากพวกเขารู้ เราไม่ได้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ พวกเขาทำให้ทั้งสองสกุลไม่พอใจไม่ได้ จึงต้องแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด เราไม่จำเป็นต้องไปหาใครขอรับ ไม่เพียงแต่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น แล้วยังทำให้เราดูไม่มีอำนาจ บอกให้เราไม่ต้องสนใจ ควรทำอะไรก็ทำ เกิดเรื่องอันใดขึ้นก็ค่อยว่ากัน!”
สวีซื่ออวี้อดไม่ได้ที่จะเกาหัวตัวเอง “ทำเช่นนี้ไม่ประมาทเกินไปหรือ ตอนนี้เราอยู่ในที่มืดแต่พวกเขาอยู่ในที่สว่าง เรากำลังได้เปรียบจะให้พวกเขาฉวยโอกาสไม่ได้”
“ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน!” จิ่นเกอปรึกษาสวีซื่ออวี้เบาๆ “พรุ่งนี้ข้าจะให้คนไปบอกขันทีน้อยคนนั้น บอกให้องค์หญิงใหญ่เรียกข้าเข้าพระราชวัง ช่วงนี้ข้าคอยช่วยเหลือองค์หญิงใหญ่ คงต้องเข้าไปรายงานองค์หญิงใหญ่แล้ว”
“ไม่เลว ไม่เลว” สวีซื่ออวี้ยิ้มพร้อมกับพูดว่า “เจ้าบอกว่าเพราะถูกเฉินจี๋ต่อยเลยมีแผลบนใบหน้า ถึงแม้เจ้าจะหาเหตุผลจะจัดการเรื่องนี้แล้ว แต่เกรงว่าต่อไปคงจะออกจวนทำตามอำเภอใจไม่ได้อีกแล้ว องค์หญิงใหญ่ต้องถามแน่นอนว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เจ้าก็เล่าความจริงให้องค์หญิงใหญ่ฟังเถิด” เขาพูดต่อไป “วิธีที่ดีที่สุดคือเล่าเรื่องหลานชายของรองเจ้ากรมพิธีกรรมให้ยงอ๋องฟัง ให้ยงอ๋องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ดีกว่าเจ้าก่อเรื่องเช่นนี้อีก”
จิ่นเกอพยักหน้า
เห็นว่าจิ่นเกอไม่ยืนกรานที่จะช่วยองค์หญิงใหญ่ต่อ สวีซื่ออวี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
จิ่นเกอถามสวีซื่ออวี้ “พ่อลูกคู่นั้นคงจะไม่ถูกจับได้ใช่หรือไม่ขอรับ”
“ไม่มีทาง! สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาคือเรื่องจริง แต่คนที่ช่วยพวกเขาเปลี่ยนจากฟังจี้มาเป็นเจ้าก็เท่านั้น เจ้าไม่ต้องห่วง!”
เห็นว่าจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว สีหน้าของจิ่นเกอก็ผ่อนคลายลง
“พี่สองรีบกลับเข้าไปเถิด หายกันไปสองคน ประเดี๋ยวพวกเขาจะสงสัย!”
“ได้ เจ้าก็รีบกลับเข้าไปข้างใน ข้างนอกนั้นอากาศหนาว”
จิ่นเกอพยักหน้า ยืนรออยู่ข้างนอกเป็นเวลาครึ่งถ้วยชา จากนั้นก็เข้าไปข้างใน