แค่นางเอ่ยออกมาประโยคเดียว เหล่าบุรุษต้องเงียบกริบเหล่าสตรีพากันน้ำตาไหลพราก
ทุกคนต่างจดจ้องไปที่นาง ราวกับว่าได้เห็นตัวประหลาด
รอบกายนางแวดล้อมไปด้วยประกายแสงจากสายรุ้ง ผิวพรรณกระจ่างใสราวเนื้อหยก แสงจากสายรุ้งดูเรียบลื่นละมุนละไม
ท่ามกลางแสงสว่างทอทาบเช่นนี้ นางจึงดูเหมือนเทพธิดาที่เดินลงมาจากหมู่เมฆ
ขอเพียงนางไม่เอ่ยปากพูด ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ ต่อให้ไม่มีแสงจากสายรุ้งทั้งเจ็ดสี นางก็ดูเหมือนเทพธิดาอยู่แล้ว
แต่พอเอ่ยปากอย่างอวดโอ้เช่นนี้ ย่อมเป็นการร้องรำจนเกินงาม
แต่ว่านางกลับเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งสิ้น ริมฝีปากมีรอยยิ้มอยู่มิได้ขาด รอยยิ้มนั้นเดิมทีก็งดงามจนล่มบ้านล่มเมืองอยู่แล้ว แต่เป็นการโอ้อวดที่มากเกินไป ถึงจะดูอย่างไรก็ไม่สบอารมณ์อยู่ดี
“เอ๋ เป็นเพราะว่าข้าไม่งดงามน่าดูหรอกหรือ? ทำไมถึงไม่มีใครพูดอะไรเลย?”
นางยังทำท่าน้อยใจขึ้นมา
ก็ในสถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนควรจะพูดอะไรดีเล่า?
หรือจะให้คุกเข่าลงไปเชลียร์พื้น?
ท่านเทพธิดาผู้สูงส่งท่านงดงามจนฟ้าจะถล่มลงมาอยู่แล้ว สวยจนคนเขาแสบตาไปหมด งดงามเสียจนพวกเราเกือบจะเป็นเหมือนอดีตฮ่องเต้ต้าโจว ตายขึ้นสวรรค์ไปเลยดีไหม?
“เป็นเพราะศิษย์น้อยงดงามเกินไปแล้ว พวกเขาจึงตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก”
คิดไม่ถึงเลยว่า ท่านเจ้าสำนักจะเชลียร์ได้เป็นที่หนึ่งเช่นนี้!
ทุกคนต่างก็เหมือนจะขาดอากาศหายใจขึ้นมา ว่าตามจริงนะ ทำถึงขนาดนี้ต้องเรียกว่าหลงหนักแล้ว
จากนั้นฟ่านอิงเองก็พยักหน้าตามมา ราวกับจะบอกว่าหลานสาวของข้านั้นงดงามที่สุด หลานสาวของข้าพูดอะไรก็ล้วนเป็นไปตามนั้น
ต้าซือมิ่งอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก
เดิมทีวันนี้เขาคิดเอาไว้ว่าจะได้เห็นงิ้วเด็ดๆจากสำนักหยินหยาง ใครจะไปรู้ว่า คนที่ต้องเสียหน้าที่สุดกลับเป็นตัวเขาเอง
เขาหลุบตาลง ในแววตามีแประกายแสงเย็นวาบ ท่านเจ้าตำหนักคงจะลืมไปแล้วสินะว่า…..เขาขึ้นมาถึงตำแหน่งนี้ได้อย่างไร?
ประกายแสงในแววตานั้นถูกเขาเก็บซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด ไม่ให้ผู้ใดได้เห็นแม้แต่น้อย
มีแต่ฟ่านอิงที่เหลือบตามาทางเขาแวบหนึ่ง โดยมิได้ส่งเสียงอะไร
สายตาของเขามักถูกตู๋กูซิงหลันดึงดูดไปอยู่ตลอดเวลา ราวกับสมัยก่อนที่มักถูกอาเย่วดึงดูดเอาไว้
เพียงแต่บางครั้งก็จะมองไปทางเจ้าสำนักอย่างตั้งใจหรือไม่ตั้งใจอยู่บ้าง
ในใจของเขาทบทวนชื่อหนึ่งอยู่ตลอด
ตู๋กูต้าฉุย
คนผู้นี่มีชื่ออยู่ ทั้งยังใช้แซ่ตู๋กู….แต่ว่าเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับราชวงศ์จีจริงๆน่ะหรือ?
เป็นไปไม่ได้ …..เหล็กแหลมพิสูจน์เลือดไม่มีทางโกหก ตามเหตุผลแล้วเขาสมควรจะเป็นจีเฉวียนจึงจะถูก
พอมองเห็นเขามีท่าทีทำตัวสนิทสนมกับตู๋กูซิงหลัน ใบหน้าที่น่าหวาดกลัวหลังม่านหมอกสีดำของฟ่านอิงก็ต้องบิดเบี้ยวไปอีกหลายส่วน
ท่านเจ้าสำนักเองก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกเช่นนั้นอยู่เหมือนกัน แต่เขากลับเลือกที่จะขยับเข้าไปใกล้ตู๋กูซิงหลันอย่างไม่ใส่ใจ ไม่เหลือบแลฟ่านอิงแม้แต่แวบเดียว
ครู่ต่อมา ฟ่านอิงถึงได้ออกคำสั่งให้ผู้คนที่อยู่ในสถานที่นี้ทั้งหมดแยกย้ายกันไป
ส่วนตัวเขาก็พาตู๋กูซิงหลันเดิมชมสวนดอกไม้รอบหนึ่ง
ตู๋กูซิงหลันเดินอยู่ตรงกลาง ท่านเจ้าสำนักและฟ่านอิงขนาบอยู่ทางซ้ายและขวาข้างกายนาง
นี่เท่ากับเป็นการประกาศต่อทั้งดินแดนจิ่วโจวอย่างจงใจว่าสาวน้อยผู้นี้มีสองบุรุษที่แข็งแกร่งคอยปกป้องอยู่
นับจากวันนี้ไปเมื่อได้พบเจอ หากไม่คุกเข่าลงกราบกรานก็จนเดิมอ้อมหลบไป
ตู๋กูซิงหลันชมสวนดอกไม้อย่างพึงพอใจ
ในสวมดอกไม้มีบุปผานานาพันธุ์ผลิบาน ทุกดอกล้วนงดงามอย่างที่สุด ในบรรดาดอกไม้เหล่านี้ยังมีอยู่หลายชนิดที่นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน
“ดอกไม้ในเทศกาลหมื่นบุปผชาติ ไม่เพียงงดงามน่าชม ยังมีประโยชน์ทางยา ที่ขาดไม่ได้ก็คือปลูกวิญญาณ”
ฟ่านอิงไม่เพียงแต่สามารถแสดงบทบาทท่านตาได้เป็นอย่างดี ทั้งยังมีแก่ใจแนะนำในรายละเอียด “ใต้เกาะลอยฟ้าแห่งนี้ สวนดอกไม้ที่อยู่ในใจกลางที่สุด ก็คือดอกไม้ที่ล้ำค่าที่สุดในดินแดนจิ่วโจว บุปผาวิญญาณ….หากนำไปทำยาเพียงแค่ดอกเดียวก็สามารถชำระไขกระดูกได้”
ตู๋กูซิงหลันไม่ได้คุ้นเคยกับเรื่องการหลอมยาตันเท่าไรนัก
ดังนั้นกับเรื่องบุปผาวิญญาณ นางจึงไม่ได้สนใจสักเท่าไร
ยามที่ฟ่านอิงพานางเดินผ่านไป ตู๋กูซิงหลันก็เพียงแต่เหลือบมองแวบหนึ่งอย่างเฉยชาเท่านั้น
ดอกไม้ที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ ในหนึ่งก้านมีดอกเล็กห้าดอก ในดอกเล็กๆแต่ละดอกประกอบด้วยห้ากลีบ สีแดงอมทอง เกสรดอกเป็นเส้นยาว
ดูไปแล้วก็คล้ายกับดอกพลับพลึงแดง เพียงแต่ว่าเป็นคนละสีกัน
ยามที่พวกเขาไปถึง รอบส่วนดอกไม้แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยผู้คน ผู้คนทั้งหลายต่างกำลังทอดถอนหายใจ บุปผาวิญญาณของดินแดนจิ่วโจว ไม่เพียงแต่สามารถชำระล้างไขกระดูก ตลอดทั้งต้นของมันคือขุมทรัพย์อันล้ำค่า มีประโยชน์มากมายมหาศาล
แม้แต่ทองคำพันตำลึงยังไม่อาจแลกได้
แต่ว่าขณะที่ตู๋กูซิงหลันกำลังเดินผ่าน ผู้ดูแลสวนดอกไม้แห่งนี้ ก็เป็นฝ่ายเสนอตัวส่งให้นางกระถางหนึ่ง
ผู้ดูแล เป็นเพียง…..สุนัขปีศาจตนหนึ่ง
บนศีรษะของมันมีหูสุนัขอยู่สองคู่ ด้านหลังมีหางสีเทาๆ ขณะที่ส่งกระถางบุปผาวิญญาณให้กับนางนั้น หางของมันก็กระดิกอยู่ตลอดเวลา
“ฮ่องเต้หญิงน้อยที่เคารพ นี่เป็นสิ่งที่เจ้านายของพวกเรามอบให้กับท่าน ขอท่านโปรดรับเอาไว้”
ในสมองของตู๋กูซิงหลันมีแต่ความงุนงง เห็นเจ้าสุนัขปีศาจตัวนั้นส่งกระถางใส่อ้อมอกของนางอย่างรีบร้อน
จากนั้นเจ้าสุนัขปีศาจตัวนั้นก็เอาแต่เขินอาย วิ่งหนีแวบหายไปจนไกล พอไปแอบอยู่หลังต้นไม้ต้นใหญ่ในสวนต้นหนึ่ง ก็โผล่ศีรษะออกมาเพียงครึ่งเดียว แอบมองดูนางอย่างระมัดระวัง
ตู๋กูซิงหลันโอบอุ้มกระถางบุปผาวิญญาณเอาไว้ พลางเงยหน้าขึ้นมองไปทางสุนัขปีศาจน้อย “นั่นเอ่อ นายของเจ้า…คือใครกันหรือ?”
นางพึ่งจะเอ่ยปากก็เห็นดวงหน้าของปีศาจสุนัขน้อยนั่นเป็นสีแดง ใต้เท้าของมันราวกับมีไฟสุมอยู่ ขยับเพียงสองทีก็วิ่งหนีไปจนไกลแล้ว
มันวิ่งไปที่ต้นไม้อีกต้นหนึ่ง ปลายหางที่สั่นไปมาโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้
ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?”
ดูอย่างไรก็เหมือนกับว่านางโปรยเสน่ห์ใส่หนุ่มน้อยโดยไม่ทันระวังเข้าเสียแล้วปีศาจต่างๆในดินแดนจิ่วโจว ต่างก็ขี้อายเช่นนี้นะหรือ?
พอพูดถึงปีศาจขึ้นมา นางก็อดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงเจ้าจิ้งจอกน้อย
ช่วงเวลาที่เขาหายตัวไป ยังก่อนอาจารย์และจีเฉวียนตั้งนานเสียอีก ผ่านมากว่าครึ่งปีก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ เขาไม่เคยกลับมาหานางแม้แต่ครั้งเดียว และก็ไม่เคยมีแม้แต่ข่าวคราว
นางก้มศีรษะลงมองดูบุปผาวิญญาณในกระถางแวบหนึ่ง ในใจก็คิดไปว่า บางทีปีศาจพวกนี้อาจจะรู้ข่าวของเจ้าจิ้งจอกน้อยก็เป็นได้
นางจะต้องเสาะหาโอกาส เสาะหาปีศาจน้อยมาสักหลายๆตัว มาช่วยนางเสาะหาเจ้าจิ้งจอกน้อย
ฟ่านอิงเห็นนางเอาแต่จ้องมองดูบุปผาวิญญาณ ก็เอ่ยว่า “เจ้าของบุปผาวิญญาณแห่งจิ่วโจว คือเผ่าปีศาจ บุปผาวิญญาณนี้ไม่อาจได้มาโดยง่าย เพียงให้กับผู้มีวาสนา”
“หลันหลันมีวาสนากับเผ่าปีศาจ พวกเขาจึงได้มอบให้กับเจ้า เจ้าก็รับเอาไว้เถอะ ไม่มีอันตรายหรอก”
น้ำเสียงของฟ่านอิงแม้จะไม่น่าฟัง แต่ว่ายามที่พูดกับตู๋กูซิงหลันกลับอ่อนโยนขึ้นมาก
รูปลักษณ์ของเขาในตอนนี้ก็น่าเกลียดน่ากลัวอยู่แล้ว หากว่าน้ำเสียงยังคงเย็นชาอีกล่ะก็ คงจะทำให้นางต้องตกใจมากแล้ว
ท่านเจ้าสำนักยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง เขามองดูบุปผาวิญญาณของจิ่วโจว ขณะเดียวกันก็เหลือบตาไปมองดูเจ้าปีศาจสุนัขตัวน้อยที่วิ่งไปแอบหลังต้นไม้ใหญ่เสียไกล จมูกของเขาถึงกับขยับฟุดฟิด
ในอากาศมีกลิ่นของบางสิ่งที่เขาไม่ชอบ กลิ่นสุนัขจิ้งจอก
จมูกของเขาว่องไวกว่าผู้อื่นมาก แม้แต่ตู๋กูซิงหลันและฟ่านอิงต่างก็ยังไม่ได้กลิ่นนั้น
ท่านเจ้าสำนักขยับฝ่ามืออย่างไร้สุ้มเสียง ถ่ายทอดพลังออกไปโดยมิให้ผู้อื่นรู้สึกตัว
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกแต่เพียงว่ามีสายลมหนาวหอบหนึ่งพัดผ่านด้านหลังไป พอนางหันไปดูก็เห็นด้วยตาหงส์ที่เย็นชาคู่นั้น
“มีอะไรหรือ?” นางถามออกไป
กริยายามสาวน้อยในชุดสีแดงตลอดร่างผู้หนึ่งประคองกระถางดอกไม้เอาไว้พลางหันมาหาเขานั้น ดวงตาดอกท้อมีแต่ความกระจ่างใสที่อธิบายไม่ถูก
“แค่ยุง ข้าเลยตบมันไปครั้งหนึ่ง”
…………………..