บทที่ 9 ผลจากการคุกคามที่ตามมา
‘ในที่สุดก็ทะลวงขั้น’
สวี่ชิงลุกขึ้นยืน เมื่อซัดออกไปหนึ่งหมัดก็มีเสียงใสกังวานดังก้องสะท้อนอยู่ในอากาศ กระทั่งลมที่ถูกกระพือขึ้นยังพัดตัวเรือนจนสั่นไหว
ฉากนี้ ทำให้สวี่ชิงเบิกตากว้าง เขาสัมผัสได้ว่าตนเองเวลานี้แข็งแกร่งกว่าเมื่อวานนี้มาก
ถ้าหากสภาพร่างกายตอนนี้ไปเผชิญหน้ากับงูเหลือมเขายักษ์ตัวนั้น สวี่ชิงเชื่อว่าหนึ่งหมัดของตนเองก็สามารถซัดเกล็ดท้องของมันจนระเบิดได้เลย
ไม่เพียงเท่านั้น ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขายังเฉียบคมยิ่งกว่าก่อนหน้า ไม่ใช่แค่มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น การฟังเองก็ยังเฉียบคมขึ้นด้วย เสียงเคาะประตูที่ด้านนอกเรือนเวลานี้ก็ดังเข้ามาในหูของสวี่ชิง
สวี่ชิงงงงัน เดินไปข้างประตูใหญ่ หยิบยืมแสงจันทร์จากภายนอก เขามองเห็นเงาเด็กสาวคนนั้นยืนอยู่ด้านนอกประตูไม้ไผ่จากช่องลอด
อีกฝ่ายเหมือนบาดเจ็บอยู่ด้วย ร่างกายสั่นสะท้านเล็กน้อย
สวี่ชิงเลิกคิ้วขึ้น เดิมทีคิดจะไม่สนใจ แต่เด็กสาวคนนั้นก็ยังยืนหยัดเคาะประตูเบาๆ
ผ่านไปครู่หนึ่งสวี่ชิงถึงผลักประตูเดินออกไป
หลังจากที่เห็นสวี่ชิง เด็กสาวก็ตึงเครียดขึ้นมาอย่างชัดเจน แต่ฝืนตัวไม่ถอยหลัง มองสวี่ชิงโดยมีบานประตูคั่นไว้
“มีธุระหรือ” สวี่ชิงเอ่ยปาก
“ข้า…ข้าเองก็ได้รับสิทธิ์อยู่อาศัยในฐานที่มั่นเช่นกัน แล้ว…แล้วก็ยังได้งานในฐานที่มั่นมางานหนึ่งอีกด้วย” เด็กสาวพูดออกมาอึกอักๆ
“รู้แล้ว” สวี่ชิงพยักหน้า และจะหันหลังกลับ
“รอก่อน…ขอบคุณเจ้ามาก ที่ข้ามาก็เพราะอยากขอบคุณเจ้า” เด็กสาวรีบร้อนเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไร เพราะข้าอยากกินเนื้องู ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้า” สวี่ชิงตอบ หันหลังเดินกลับเข้าไปในเรือน
มองแผ่นหลังของสวี่ชิง เด็กสาวเม้มปาก จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นเสียงดังว่า
“ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ยังต้องขอบคุณเจ้า บุญคุณนี้…ข้าจะตอบแทนภายหลังแน่นอน” พูดจบ นางก็เดินขากะเผลก หายลับจากไปในค่ำคืนมืดมิด
สวี่ชิงหันไปมองผาดหนึ่ง ไม่ได้นำมาใส่ใจ หลังจากกลับมาถึงห้องเขาก็สูดลมหายใจลึก เมื่อสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนเอง จึงยิ่งมั่นใจความคิดที่อยากจะมีชีวิตให้ดีขึ้นบ้างแล้ว
เพียงแต่ความเจ็บปวดรางๆ ที่มาจากแขนขวา ทำให้เขาเดาได้ว่าไอพลังประหลาดในร่างกายคงจะเข้มข้นมากขึ้นแล้ว ต่อให้เป็นดีงูก็ไม่ได้บรรเทาลงเท่าไรนัก
ขณะนี้เป็นกลางดึกเงียบสงัด ด้านนอกไม่มีเสียงสัตว์ร้ายคำราม สวี่ชิงเดินมาที่ข้างเตียง มองดูชุดเครื่องนอนที่สะอาดสะอ้าน จากนั้นจึงมองไปที่เสื้อผ้าสกปรกของตนเอง
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง จัดการม้วนชุดเครื่องนอนที่สะอาดขึ้นวางไว้ข้างๆ จากนั้นจึงทิ้งตัวลงนอนบนเตียง
มือหยิบเหล็กแหลมสีดำออกมาด้วยสัญชาตญาณ คว้าไว้ในมือ เตรียมจะนอน
เหล็กแหลมนี้ เป็นคู่หูที่เขาไว้วางใจมากที่สุด
นับตั้งแต่ค้นเจอในกองขยะเมื่อหลายปีก่อน เพราะสังเกตเห็นถึงความแหลมคมและแข็งแรงของมัน ดังนั้นเขาจึงพกติดตัวเอาไว้ในฐานะอาวุธประจำกายตั้งแต่นั้นจนตอนนี้
“พรุ่งนี้ค่อยไปหาสถานที่ขายลูกกลอนขาวในฐานที่มั่น”
สวี่ชิ่งงึมงำเสียงต่ำ ลูบถุงหนังของตน ด้านในมีสิ่งที่เขาสะสมไว้ในช่วงหลายปีนี้ และยังมีอัญมณีมีค่าที่หามาได้จากในเมืองอีกหลายก้อน
เขาไม่กล้าพกอัญมณีไว้เยอะด้วยหลักการผิดเพราะถือครองหยก[1] ตอนเด็กๆ เขาเคยเห็นมานักต่อนัก
ความง่วงค่อยๆ ถาโถมเข้ามาในระหว่างความคิดนี้ ตาทั้งสองของสวี่ชิงก็ค่อยๆ ปิดลง
เพียงแต่ในมือยังกำเหล็กแหลมเอาไว้แน่น ไม่ผ่อนลงแม้แต่น้อย
ค่ำคืนที่สงบผ่านไปเพราะแสงตะวันสาดส่องลงมา
เช้าตรู่วันที่สอง สวี่ชิงที่ตื่นแต่เช้าออกมาจากเรือนเล็ก
ก่อนออกมาเขามองไปทางห้องของหัวหน้าเหลย เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้อยู่ด้านในอาจออกไปด้านนอก สวี่ชิงจึงหันเหสายตากลับ เดินไปยังด้านในฐานที่มั่น
บางทีคงเป็นเพราะเรื่องเมื่อวานที่เขาล้วงเอาดีงูออกมาทั้งเป็นช่างเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึง สวี่ชิงที่เดินอยู่ในฐานที่มั่น ก็สัมผัสได้ถึงสายตาคนเก็บกวาดรอบด้านที่ต่างออกไปมองมายังตนเองอย่างชัดเจน
เพราะเห็นว่าภายนอกของเด็กหนุ่มดูน่ารังแก จึงไม่สามารถทำเรื่องชั่วตามสันดานมนุษย์ได้อีกต่อไป
ได้รับการยอมรับมากส่วนหนึ่ง มีความระแวดระวังขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง ขณะเดียวกันสายตาไร้ประกายของเหล่าคนอายุไล่เลี่ยกับเขาที่หลบอยู่ตามมุมเหล่านั้น ขณะที่มองมาทางเขาก็ปรากฏความอิจฉาด้วยเช่นกัน
เกียรติยศ เป็นสิ่งที่ต้องไขว้คว้ามาด้วยตนเอง
สวี่ชิงเอ่ยเงียบๆ ในใจ
ขณะที่ค้นหาร้านในฐานที่มั่น สวี่ชิงเองก็กำลังปรับตัวให้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมไปด้วย
เขาพบสุนัขป่าที่คอยขู่ฟ่อแย่งอาหารกันในฐานที่มั่นอยู่ไม่น้อย ถึงแม้จะดูผอมแห้ง แต่ก็ยังดูแข็งแรงกว่าคนบางส่วนเสียอีก
หลังจากจับตาดูสุนัขป่าเหล่านี้เสร็จ สวี่ชิงก็สอดส่องฐานที่มั่นต่อ
จนกระทั่งวาดฐานที่มั่นในหัวออกมาได้ทั้งหมด เขาก็เดินตามแผนที่ในหัว หาร้านหนึ่งจนพบที่พื้นที่รอบใน
ร้านขนาดไม่เล็ก คนเข้าคนออกก็คึกคัก ราวกับไม่ว่าจะสิ่งของใด ด้านในก็มีขายหมด
สวี่ชิงมองจากด้านนอกอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นว่าเด็กสาวเมื่อวานคนนั้นแต่งตัวเป็นพนักงานอยู่ด้านในร้าน เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังทำงานอยู่ที่นี่ วิ่งวุ่นไปทั่ว หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
จนกระทั่งตอนที่สวี่ชิงเดินเข้าไปในร้าน นางถึงสังเกตเห็นทางนี้ ขณะกำลังจะพูดอะไร คนเก็บกวาดคนหนึ่งเข้ามาสอบถามถึงสินค้า
สวี่ชิงไม่ได้สนใจของอย่างใดอย่างหนึ่งในร้านทันที แต่เดินเข้าไปดูของรอบๆ เช่นเดียวกับคนที่มาซื้อสินค้า
คนในร้านมีทั้งหมดเจ็ดคน บางคนก็ค้นหาสินค้า บางคนก็ก้มหน้าครุ่นคิด บางคนก็กำลังต่อรองราคา ในนี้มีสองคน หนึ่งอ้วนหนึ่งผอมเหมือนเป็นพวกเดียวกัน
คนอ้วนก็อ้วนกลม คนที่ผอมก็หน้าเหมือนม้า ท่าทางแข็งกร้าวอย่างเห็นได้ชัด บนตัวมีคลื่นพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งอยู่ด้วย ในนี้คนหนึ่งกำลังตะคอกใส่เด็กสาว เหมือนว่าเด็กสาวจะให้คำตอบที่ไม่ค่อยน่าพอใจกับพวกเขาเท่าไรนัก
ระหว่างที่เด็กสาวกำลังขอโทษขอโพยอย่างร้อนรน สวี่ชิงก็มองไปยังสินค้าในร้าน
ที่นี่เป็นร้านขายของจิปาถะ ยาลูกกลอน อาวุธ เสื้อผ้า ของกินเป็นต้น มีหมดทุกสิ่งอย่าง ไม่ค่อยแตกต่างจากที่เขาพิจารณาไว้นัก
เขาจึงเบนสายตากลับมา เมื่อเดินถึงตู้สินค้า มองเจ้าของร้านที่ท่าทีไม่แยแสกำลังสูบยา เอ่ยถามเสียงเรียบว่า
“ลูกกลอนขายขายอย่างไรหรือ”
“ลูกกลอนขาวมีจำนวนจำกัด ขายเพียงวันละห้าเม็ดต่อวันเท่านั้น วันนี้ยังมีอีกสองเม็ด หนึ่งเม็ดราคาสิบเหรียญวิญญาณ”
เจ้าของร้านเหลือบตาขึ้น กวาดมองไปทางสวี่ชิงผาดหนึ่ง คงนึกออกว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มที่ประลองกับสัตว์เมื่อวานนี้ ท่าทีจึงดีขึ้นมาหน่อย
แต่ตอนที่ได้ยินราคานี้ ต่อให้เตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่สวี่ชิงก็ยังขมวดคิ้วเล็กน้อย
เหรียญวิญญาณที่เขาสะสมมาหลายปีมีเพียงยี่สิบสามเหรียญเท่านั้น แต่ความเจ็บปวดของจุดกลายพันธุ์บนแขนทำให้เขาไม่ลังเล ล้วงเอาเหรียญวิญญาณยี่สิบเหรียญออกจากถุงหนังอย่างระมัดระวัง ยื่นให้เจ้าของร้าน
มือขวาเจ้าของร้านเก็บเหรียญวิญญาณลงไป หยิบถุงผ้าใบหนึ่งออกมาจากตู้สินค้า โยนส่งไปให้สวี่ชิง
สวี่ชิงรับไปเปิดออก มองเห็นในถุงผ้ามียาลูกกลอนสีขาวอยู่สองเม็ด คิ้วจึงเลิกขึ้นอีกครั้ง
ภายนอกของยาลูกกลอนสองเม็ดนี้ มีส่วนที่ดำคล้ำ เห็นได้ชัดว่าคุณสมบัติเปลี่ยนไปบ้างแล้ว ไม่ใช่ของที่สดใหม่ และไม่มีกลิ่นหอมของตัวยาลอยออกมาดูแล้วเป็นของคุณภาพต่ำ
“ลูกกลอนขาวในฐานที่มั่นล้วนเป็นเช่นนี้ หากคุณภาพดีหน่อยที่นี่ไม่มี ของสิ่งนี้ต่อให้เสียไปแล้วแต่ก็ยังมีประโยชน์อยู่ ทำใจให้สบายแล้วกินลงไปก็จบแล้ว”
เจ้าของร้านมองการลังเลของสวี่ชิงออก จึงเอ่ยมาประโยคหนึ่งหน้าตาย
สวี่ชิงระมัดระวังอย่างมาก ไม่ได้กินลงไปทันที เขาตัดสินใจว่าจะกลับไปถามหัวหน้าเหลยก่อนสักหน่อย จึงเก็บแล้วทำท่าจะเดินออกจากร้าน
แต่ตอนนั้นเอง สายตาเขาไหววูบ ร่างกายเบี่ยงหลบไปด้านข้างฉับพลัน
ขณะที่เขาเบี่ยงตัวหลบ มือข้างหนึ่งก็คว้ามาในตำแหน่งที่เขาอยู่เมื่อครู่พลาด
สวี่ชิงมองเย็นชา เห็นคนเก็บกวาดหน้าเหมือนม้าที่ตะคอกใส่เด็กสาวในร้านก่อนหน้านี้คนนั้น ซึ่งตอนนี้เก็บมือกลับไปแล้ว มองมายังตนเองด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ขณะเดียวกัน ร่างอ้วนกลมของเพื่อนเขาก็มายืนอยู่ขวางทางที่ประตู จ้องเขม็งมาที่สวี่ชิง แสยะปากยิ้ม เผยให้เห็นฟันเหลืองอ๋อย
“เจ้าอ้วนกับเจ้าม้าจากกลุ่มเงาโลหิตนี่!”
“เจ้าเด็กคนนี้หัวหน้าเหลยพากลับมา สายอัสนีกับเงาโลหิตไม่ถูกกันมาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นเรื่องของพวกเจ้าข้าจะไม่ยุ่ง แต่อย่าเสียเวลาอะไรกันมากนัก ข้าต้องค้าต้องขาย”
การกระทำของทั้งสองคนดึงดูดสายตาคนอื่นๆ ในร้าน มองพลางสนทนาเสียงเบา
และประโยคท้ายสุด ก็มาจากเจ้าของร้านหน้าตายนั่นเอง
ขณะนี้คนที่อยู่ด้านนอกร้านก็สังเกตเห็นแล้ว ทยอยเดินเข้ามาดูด้วยความสนใจ
เด็กสาวคนนั้นกลับสีหน้าร้อนรนขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะช่วยเหลืออย่างไร
“วางใจเถอะ ไม่นานหรอก” เจ้าหน้าเหมือนม้ายิ้มๆ มองไปทางสวี่ชิง สายตามีประกายเย็นเยียบแล่นวาบ
“เด็กน้อย งูเหลือมเขายักษ์ข้าก็สังหารมาไม่น้อย จะไม่สร้างความลำบากใจกับเจ้าหรอกนะ ข้าต้องการลูกกลอนขาว ส่งลูกกลอนขาวสองเม็ดนั้นมา แล้วข้าจะให้เจ้าออกไปอย่างปลอดภัย ไม่เช่นนั้น ข้าจะปาดคอของเจ้าเสีย แล้วจะเอาลูกกลอนขาวจากร่างของเจ้าไปแทน”
คำพูดนี้ทำให้สวี่ชิงสายตาเย็นเยียบลงกว่าเดิม เขามองไปที่คอของอีกฝ่าย แล้วก็มองไปทางชายอ้วนที่ประตู สังเกตเห็นว่ากลุ่มคนด้านนอกก็มีอยู่ไม่น้อย ในใจก็ชั่งน้ำหนักขึ้นมา
สองคนนี้ไม่ว่าจะคนไหน คลื่นพลังวิญญาณก็แข็งแกร่ง ล้วนอยู่ในขั้นที่สองทั้งสิ้น เขามั่นใจว่าตัวคนเดียว สิบอึดใจตนเองก็คว่ำลงได้
ต่อให้สองรุมหนึ่ง เขาก็ยังสามารถสังหารไหว แต่อาจใช้เวลานานหน่อย
แต่ที่นี่คือตลาด ถ้าสู้กันขึ้นมา อีกฝ่ายที่เป็นสมาชิกของกลุ่มเล็กๆ ต้องมีคนคอยสนับสนุนเป็นแน่
เขาไม่อยากจะคาดหวังเต็มร้อยว่าหัวหน้าเหลยจะมาทัน นี่ไม่ใช่นิสัยของเขา เขาไม่ชอบฝากความหวังไว้กับคนอื่น จัดการด้วยตนเองคือสิ่งดีที่สุด
สวี่ชิงจึงกวาดตามองไปยังลำคอของคนเก็บกวาดที่หน้าเหมือนม้าอีกครั้ง มือขวาล้วงหยิบถุงผ้าลูกกลอนขาวออกมา โยนออกไปโดยไม่รีรอ อีกฝ่ายก็คว้าไว้แล้วมองมาผาดหนึ่ง ยิ้มขึ้นมาอย่างหยิ่งผยอง
พ่างซ่านที่เป็นเพื่อนกันก็หลีกทางให้พร้อมเสียงหัวเราะ สวี่ชิงก็ไม่ได้หันหน้าหนี ก้าวเดินออกไป
ปฏิกิริยากลุ่มคนรอบๆ ไม่ว่าจะด้านในหรือนอกร้าน ล้วนรู้สึกกันว่านี่เป็นเรื่องปกติ กฎปลาใหญ่กินปลาเล็ก คนอ่อนแอก็ต้องรู้จักกาลเทศะ จึงจะมีหนทางอยู่รอด
เด็กสาวเองก็ผ่อนลมหายใจ เมื่อครู่นางเองก็เหงื่อตก เมื่อเห็นว่าตอนนี้สถานการณ์คลี่คลายลงแล้ว จึงกลับไปสาละวนกับงานต่อ
ส่วนเจ้าอ้วนกับเจ้าม้า กลับเดินอาดๆ ออกไปจากร้าน คุยจ้อกันพลางเดินห่างออกไป
เพียงแต่ว่า…ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ว่าด้านหลังของเจ้าอ้วนกับเจ้าม้า มีเงาหนึ่งที่เหมือนเดินห่างหายไปแล้ว และกำลังใช้ความอดทนอย่างมาก ติดตามอยู่ห่างๆ เหมือนเงาตามตัวโดยไม่เปิดเผยตัวตน
ดวงตาราวกับหมาป่าจับจ้องที่เหยื่อ จ้องมองไปยังพวกเขาทั้งสองคน
เงานี้ ก็คือสวี่ชิงนั่นเอง
เวลาผ่านไป ฟ้าค่อยๆ มืดลง
เจ้าอ้วนกับเจ้าม้าไปหลายสถานที่ในฐานที่มั่น ตลอดเวลาที่เลี้ยวไปเวียนมาตลอดทั้งวัน ก็ยังไม่สังเกตเห็นเงาที่คอยตามอยู่ด้านหลังมาโดยตลอด
จนพระจันทร์ลอยสูงเด่น ในที่สุดทั้งสองคนก็แยกกัน
สถานที่ที่เจ้าอ้วนไปมีกองไฟ แต่เจ้าม้ากลับเดินตรงไปยังกระโจมที่มีขนนกในพื้นที่มืดรอบนอกของฐานที่มั่นด้วยความหื่นกระหาย
และพริบตาตอนที่เขาใกล้จะถึง ขณะที่จะเดินออกจากพื้นที่มืดของฐานที่มั่น จู่ๆ ด้านหลังก็มีเสียงลมแว่วมา
เจ้าม้าหันหน้ากลับอย่างระมัดระวัง แต่ด้านหลังก็ไม่มีอะไร เขางงงันอยู่ครูหนึ่งหน้าเปลี่ยนสี ตอนที่กำลังคิดจะทำอะไร แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว
มือเล็กข้างหนึ่งยื่นออกมาข้างตัวเขาชั่วพริบตา ปิดปากเขาไว้แน่น ขณะเดียวกันกริชคมกริบก็ออกแรงกรีดลงไปบนคออย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
เสียงพรวดดังขึ้น เลือดสดสาดกระเซ็นฉับพลัน เจ้าม้าเบิกตาโต คิดจะขัดขืน
แต่มือเล็กที่ปิดปากเขาไว้นั้นมีแรงมหาศาล ลากร่างของเขาไปด้านหลัง ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนอย่างไรก็ทำอะไรไม่ได้
สองขาทำได้เพียงถีบกระทืบดิ้นรนอย่างเปล่าประโยชน์ หยุดยั้งการลากเข้าไปในมุมมืดไม่ได้เลย
ในที่สุด เขาก็ถูกลากเข้าไปในมุมมืดราวกับลูกเจี๊ยบตัวหนึ่ง
แต่จนถึงตอนนี้ มือเล็กที่อุดปากเขาไว้ยังคงไม่ปล่อย แต่รออยู่พักหนึ่งจนแน่ใจว่าเขาหมดแรงจะขัดขืน หายใจไม่ออกและเลือดออกมามากพอแล้ว จึงคลายมือออก ทิ้งร่างอ่อนแรงสั่นระริกของเขาลงไปบนพื้น
และตอนนี้เอง เจ้าม้าถึงมองเห็นเบื้องหน้าตนเองผ่านแสงจันทร์ทึบทึมอย่างสิ้นหวัง ร่างเงาของเด็กหนุ่มที่สีหน้าเย็นชาคนนั้น
“อึกๆ…”
สายตาเจ้าม้าปรากฏความไม่อยากเชื่อ เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มที่ส่งลูกกลอนขาวให้อย่างว่าง่ายเมื่อตอนกลางวัน จะลงมือได้เด็ดขาดโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้
เหมือนเขาอยากจะอ้าปากบอกกับเด็กหนุ่มว่าที่ตนเองพูดว่าจะเชือดคอเจ้าเมื่อตอนกลางวันเป็นแค่คำขู่เท่านั้น ไม่ได้คิดจะสังหารจริงๆ…
แต่เลือดในลำคอ ทำให้เขาไม่สามารถอ้าปากได้ ทำได้เพียงส่งเสียงอึกๆ อย่างอ่อนแรงเท่านั้น จ้องมองเด็กหนุ่มที่โน้มตัวลงมาควานล้วงกระเป๋าของตนเองอย่างสิ้นหวัง
จนกระทั่งค้นหมด สวี่ชิงก็หาลูกกลอนขาวของตนเองเจอ ทั้งยังมีเพิ่มมาอีกห้าเม็ด นอกเหนือจากนี้ยังมีสิ่งของและเหรียญวิญญาณของอีกฝ่ายอยู่อีกส่วนหนึ่งด้วย
หลังจากเก็บเสร็จ ขณะที่เจ้าม้าอยู่ในอาการพรั่นพรึงตกตะลึง สวี่ชิงก็นำผ้าที่ห่อหัวงูเอาไว้ออกมาอย่างระมัดระวัง เปิดออกอย่างรอบคอบ ใช้เขี้ยวงูแทงลงไปบนร่างของเจ้าม้าอย่างชำนิชำนาญ
ร่างของเจ้าม้าชักกระตุกอีกครั้ง เริ่มจากตำแหน่งของบาดแผลละลายอย่างช้าๆ ความรู้สึกกับความเจ็บปวดที่ถูกหลอมละลายทั้งเป็นช้าๆ เช่นนี้ทำให้คนรู้สึกหมดอาลัยตายอยากเลยทีเดียว
จนกระทั่งสวี่ชิงยกมือขึ้น แล้วปิดตาของเขาลงมา โลกของเจ้าม้าก็ไร้ซึ่งแสงไปตลอดกาล
ทั้งร่างละลายกลายเป็นกองเลือด ซึมลงไปในดิน
สวี่ชิงได้เรียนรู้จากความประมาทเลินเล่อมาแล้ว เก็บเอาสิ่งของและเสื้อผ้าทั้งหมดของเจ้าม้าใส่ลงไปในกระเป๋าที่เตรียมไว้แล้ว จากนั้นจึงหมุนตัวเดินจากไป
หลังจากที่เขาออกไป ตรงจุดที่เจ้าม้าตาย ในความมืดก็มีร่างคนเดินออกมาสองร่าง
เป็นชายชราในชุดคลุมยาวสีม่วงกับคนติดตามที่ไม่มีใครเห็นในลานประลองสัตว์เมื่อวานนี้นั่นเอง
ชายชราก้มหน้าลงมองร่างของเจ้าม้าที่ละลายบนพื้น จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองเงาร่างสวี่ชิงที่ห่างออกไป สายตาเผยความชื่นชมออกมา
“เป็นต้นอ่อนที่ทั้งอดกลั้นและสังหารอย่างเด็ดขาด ที่หาได้ยากคือขณะที่ลงมืออย่างโหดเหี้ยมก็ยังจัดการได้อย่างสะอาดหมดจดอีกด้วย ไม่เลวเลยจริงๆ”
คนติดตามข้างๆ ก็มีสีหน้าเกินคาดอยู่บ้าง
เขาอยู่กับชายชราคนนี้มาหลายปี น้อยครั้งที่จะได้ยินคำว่า ‘ไม่เลว’ จากปากของอีกฝ่าย และเด็กหนุ่มคนนี้ก็ถูกเขาให้ความสำคัญถึงสองครั้งแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมองทิศทางที่สวี่ชิงหายตัวไปเช่นกัน
“เป็นเด็กที่น่าสนใจ” ชายชรายิ้มๆ จากนั้นก็ถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ
“ปรมาจารย์ไป่ทางนั้น อีกนานแค่ไหนจะมาถึง”
“เรียนนายท่านเจ็ด ดูจากการเดินทางของปรมาจารย์ไป่แล้ว น่าจะมาถึงที่นี่ภายในวันสองวันนี้” คนติดตามเบนสายตากลับมา เอ่ยตอบอย่างเคารพ
“มาได้เสียที ครั้งนี้ข้าต้องเตือนเขาเสียหน่อย สถานที่แย่ๆ อย่างผืนอินทนิลนั่นก็แค่ทำตามทำนองคลองธรรมเท่านั้น มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์กัน สู้มาที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตของข้ายังจะสบายใจเสียกว่า”
ชายชราหัวเราะร่า ดูเหมือนจะปรีดามาก จากนั้นก็มองไปยังจุดที่สวี่ชิงเดินจากไป
“ไปเถิด พวกเราไปดูกัน ว่าเจ้าหมาป่าน้อยตัวนี้จะทำอะไรต่อ”
[1] เป็นสำนวนจีนมาจากสำนวนที่ว่า 匹夫无罪,怀璧其罪หรือ 君子无罪,怀璧其罪 แปลว่า คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก ใช้เปรียบเปรยถึง คนที่ได้รับเคราะห์ เพราะมีความสามารถ หรือมีของล้ำค่า