ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 11 รวมกลุ่ม

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 11 รวมกลุ่ม

ในคืนมืดมิด ร่างสวี่ชิงราวกับเป็นแมว เดินตรงไปด้านหน้าทั้งปราดเปรียวและเงียบเชียบ

มือของเขายกขึ้นมาปิดปากเป็นระยะ ฝืนสะกดอาการไอ

หลายครั้งก่อนหน้านี้ยังไม่เท่าไร แต่ยิ่งสวี่ชิงเคลื่อนไหว ยิ่งเขาสะกดเอาไว้หลายครั้ง ในปอดก็ค่อยๆ รู้สึกเหมือนไฟเผา และทำให้สีหน้าเขายิ่งซีดขาว

ยังดีที่ที่นี่ห่างจากที่พักเขาไม่ไกล และฐานที่มั่นเองก็ไม่ใหญ่มากนัก ดังนั้นเพียงไม่นานสวี่ชิงก็มองเห็นเรือนของหัวหน้าเหลย

เขาไม่ได้เข้าไปทันที แต่ยืนอยู่ด้านนอกสูดลมหายใจลึก พยายามทำให้ตัวเองเป็นปกติที่สุด จากนั้นจึงผ่อนความเร็วเดินเข้าไปอย่างไม่เร่งไม่ร้อน

ผลักเปิดประตูเรือนไม้ไผ่ สายตาสวี่ชิงกวาดตามองไปรอบๆ เดินช้าๆ เข้าไปในห้องเล็ก

ชั่วขณะที่เข้าไปในห้อง สวี่ชิงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ไอสำลักเลือดสีดำสนิทออกมาเสียงหนึ่ง ตอนที่หกถึงพื้นมีเสียงฉ่าๆ ออกมา

เมื่อได้พ่นเลือดพิษ สีหน้าของสวี่ชิงก็เปลี่ยนเป็นปกติจากที่ซีดขาวก่อนหน้า นั่งหอบหายใจอยู่ตรงนั้น และขัดสมาธิเริ่มควบคุมลมหายใจ

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงลืมตาโพลง สีหน้าฟื้นฟูกลับมาหมดแล้ว

“เป็นพิษที่แรงเสียจริง!” สวี่ชิงงึมงำ

หมอกพิษสุดท้ายของเจ้าอ้วน มีความเป็นพิษอยู่สูงจริงๆ

แต่สถานการณ์ตอนนั้นถ้าหากสวี่ชิงหลบ อีกฝ่ายจะต้องหนีไปแล้วตะโกนเรียกเป็นอันดับแรก ดึงดูดความสนใจผู้คนเป็นแน่ แล้วถ้าถึงตอนนั้น เรื่องคงจะยุ่งยากขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ทางตนเองแสดงอาการบาดเจ็บก็เกรงว่าจะหลอกเจ้าอ้วนที่ปลิ้นปล้อนคนนั้นไม่ได้

หลังจากที่อีกฝ่ายรู้สึกว่าถูกสะกดรอย การกระทำทั้งหมดก็มีแบบแผนขึ้น มีเพียงสิ่งเดียวที่คำนวณพลาดก็คือประเมินพลังของสวี่ชิงต่ำเกินไป

ดังนั้น ในช่วงเวลาสำคัญ สวี่ชิงจึงเลือกเชื่อมั่นพลังการฟื้นฟูของผลึกวารีสีม่วงที่พกมา ฝืนทะลวงหมอกพิษ รีบสู้รีบจบ สังหารอีกฝ่ายไปในคราวเดียว

เวลานี้เมื่อดูแล้ว ตัวเลือกของเขาไม่ผิด

การฟื้นฟูของผลึกวารีสีม่วงแข็งแกร่งกับการรุกล้ำของพิษจริงๆ

ปอดเขาสั่นอยากจะไอตลอดการเดินทาง อันที่จริงเป็นผลลัพธ์จากพลังการฟื้นฟู

“ในหมู่คนเก็บกวาด ไม่มีใครธรรมดาเลยจริงๆ ดูท่าเจ้าม้าคนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะข้าลงมือเฉียบขาด ไม่ปล่อยโอกาสให้เขาได้ตอบโต้ เกรงว่าคงจะพัวพันกันอยู่นานเป็นแน่”

สวี่ชิงงึมงำในใจ เริ่มสรุปจุดที่บกพร่องของตนเองครั้งนี้

ผ่านไปสักพัก สวี่ชิงสูดหายใจลึก ก้มหน้าลงมองถุงหนังของตนเอง ในดวงตาเผยความประหลาดใจออกมา

‘เจ้าอ้วนที่เดินทางมาคนเดียว เป็นเพราะต้องการของอย่างหนึ่งของเจ้าม้า ดังนั้นเขาจึงเตรียมตัวออกล่าข้า คิดจะชิงเอาสิ่งของของเจ้าม้าในตัวข้าไป’

สวี่ชิงเปิดถุงหนัง หยิบสิ่งของที่เป็นของเจ้าม้าทั้งหมดออกมา รวมไปถึงเหรียญวิญญาณเหล่านั้นออกมาวางเรียงกันด้านหน้า

สายตาสวี่ชิงกวาดมองสิ่งของเหล่านี้ สังเกตทีละชิ้นอย่างละเอียด

จนถึงชิ้นสุดท้าย เขาข้ามของชิ้นอื่นไปทั้งหมด แล้วมองไปยังก้อนเหล็กชิ้นนั้น คิ้วขมวดขึ้น ดูไม่ค่อยแน่ใจ

อันที่จริงสิ่งของของเจ้าม้าล้วนเป็นของธรรมดาทั้งสิ้น ก้อนเหล็กชิ้นนี้เมื่อเทียบกับของชิ้นอื่นแล้ว ดูไม่ค่อยรู้ที่มาที่ไปหน่อยเท่านั้น

‘เจ้านี่หรือ แต่ดูแล้วก็ไม่มีส่วนใดที่ประหลาดเลย หรือว่าจะเป็นวัตถุดิบที่มีมูลค่ากัน’

สวี่ชิงคิดแล้ว จัดการเก็บมันลงไปอย่างระมัดระวัง เตรียมตัวว่าหลังจากนี้จะหาโอกาสค้นหาที่มาที่ไปของมันเสียหน่อย

จากนั้น เขาก็หยิบถุงหนังของเจ้าอ้วนออกมาตรวจสอบเสียรอบหนึ่ง

ด้านในไม่มีลูกกลอนขาว แต่มีเหรียญวิญญาณอยู่ไม่น้อย และยังมีขวดที่ดูเหมือนพิษอยู่อีกมาก สวี่ชิงไม่รู้เรื่องวิชาพิษ จึงไม่กล้าที่จะเปิดออกดู

ท้ายสุดเขาก็หยิบอำพันที่เต็มไปด้วยรอยแตกออกมา ย้อนนึกถึงท่าทางเจ้าอ้วนกำไว้แน่นก่อนจะตาย

‘แล้วของชิ้นนี้มันคืออะไรกัน…เหมือนว่าก่อนที่เจ้านั่นจะตาย ทำท่าจะบีบมันให้แตก’ สวี่ชิงสงสัย เขารู้สึกว่าตนเองขาดความรู้ที่เกี่ยวข้อง พอขบคิดจบก็เก็บมันลงไป

เมื่อจัดการเสร็จ เขาก็หลับสองตาลง ฝึกบำเพ็ญต่อ

หลายวันมานี้ สวี่ชิงพบว่าหลังจากที่ตนเองเขาสู่ระดับรวมปราณขั้นสอง เหมือนว่าจะไม่ได้ใช้เวลานอนมากเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว มักจะใช้เพียงแค่ประมาณหนึ่งชั่วยาม กำลังวังชาก็ฟื้นฟูกลับมาหมด

ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่ เขาจึงจมอยู่กับการฝึกบำเพ็ญ

และเพราะวันนี้เขาไม่ต้องออกไปข้างนอกเพื่อสอดส่อง จึงฝึกบำเพ็ญนานกว่าเดิมเสียหน่อย จนกระทั่งผ่านไปทั้งวัน ค่ำคืนเข้ามาเยือนอีกครั้ง สวี่ชิงก็เหมือนจะสัมผัสได้ ลืมตามองออกไปด้านนอกประตูเรือน

ขณะที่เขามองไป ตรงนั้นก็มีเสียงหัวหน้าเหลยส่งมา

“เด็กน้อย มาในเรือนหน่อย”

สวี่ชิงพอได้ยินก็ลุกขึ้นนั่ง เดินออกไปเงียบๆ มองเห็นหัวหน้าเหลยที่อยู่ในเรือน

ในเรือนวางโต๊ะตัวใหญ่ไว้ตัวหนึ่ง ด้านบนมีอาหารกับสุราเล็กน้อย เก้าอี้ทั้งหมดหกตัว ชามตะเกียบหกชุด หัวหน้าเหลยนั่งอยู่ในนั้น กวักมือมาทางสวี่ชิง

กวาดตามองโต๊ะกับชามและตะเกียบผาดหนึ่ง ในใจสวี่ชิงก็เดาได้ ก้าวเบาเข้าไปนั่งลงข้างๆ หัวหน้าเหลย

“หลายวันนี้คุ้นเคยกับฐานที่มั่นแล้วหรือยัง” หัวหน้าเหลยมองไปด้านนอกเรือน เอ่ยขึ้นกับสวี่ชิงด้วยท่าทีเป็นกันเอง

“ใกล้เคียงแล้ว” สวี่ชิงตอบกลับ สายตากวาดไปยังอาหารบนโต๊ะ

บางทีอาจจะเพราะการฝึกบำเพ็ญทั้งวัน หรือบางทีอาจจะเพราะกลิ่นอาหารช่างเย้ายวน เพียงไม่นานท้องของสวี่ชิงก็ส่งเสียงโครกครากออกมา

เมื่อหัวหน้าเหลยที่อยู่ข้างๆ ได้ยินก็หัวเราะ

“ไม่ต้องรีบ รอพวกเขาก่อน”

“คนของกลุ่มสายอัสนีหรือ” สวี่ชิงก่อนหน้านี้เดาได้บางส่วนแล้ว จึงถามขึ้นมาคำหนึ่ง

ชายชราพยักหน้า ขณะที่กำลังจะพูดก็เหมือนสัมผัสอะไรได้ มองออกไปด้านนอก ขณะเดียวกัน ในใจสวี่ชิงเองก็สัมผัสได้เช่นกัน กวาดตามองออกไป

นอกเรือน หัวถนนที่มืดมิด ปรากฏเงาชายร่างใหญ่คนหนึ่ง

ระดับความใหญ่โตล่ำสันของชายคนนี้มากกว่ากระทิงโฉดก่อนหน้าเสียอีก ร่างทั้งร่างราวกับเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ กล้ามเนื้อทั้งตัวปูดโปน มีพลังบีบคั้นคนอื่นได้ สะพายโล่เหล็กกล้าขนาดยักษ์มาด้วยใบหนึ่ง ในมือถือกระบองเขี้ยวหมาป่าที่สูงกว่าตัวสวี่ชิง เดินสาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามา

ทุกก้าวที่ย่ำลงส่งเสียงปึงปังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนถึงนอกประตูไม้ไผ่ เมื่อผลักประตูเปิด ร่างกายที่ใหญ่โตจนน่าตกตะลึงก็เหยียบย่ำเข้ามาในเรือน

การปรากฏตัวของเขา ทำให้ในเรือนเหมือนเล็กลงไปถนัดตา พลังที่ร่างอันใหญ่โตของเขานำมาก็ยิ่งแผ่ซ่านกว้าง จนสวี่ชิงรู้สึกเหมือนตอนเผชิญหน้ากับอสูรกลายพันธุ์ที่แข็งแกร่งในซากเมืองครั้งนั้น ม่านตาหดเล็กลงมา

“หัวหน้า ข้ากลับมาแล้ว”

ชายร่างใหญ่ฉีกยิ้มให้หัวหน้าเหลย ส่งเสียงทึมๆ ออกมา เมื่อสายตาตกไปบนอาหารที่อยู่บนโต๊ะ ดวงตาก็เป็นประกาย หลังจากสาวเท้าเดินเข้ามาก็ปลดโล่ลงวางไว้ข้างๆ โยนกระบองเขี้ยวหมาป่าในมือลงบนพื้น ส่งเสียงปึงปังดังลั่นออกมาสองครั้ง

เมื่อจัดการตัวเองเสร็จ เขาก็นั่งลงทันที เสียงเก้าอี้ลั่นดังเปรี๊ยะน่าตกใจออกมาทันทีเหมือนแบกเอาไว้เต็มกลืน และตั้งแต่ต้นจนจบ เขาก็ไม่มองสวี่ชิงเลย ราวกับว่าไม่สนใจ

หัวหน้าเหลยยิ้มๆ ไม่พูดจา ชายร่างใหญ่คนนั้นจ้องเขม็งไปที่อาหาร ก็ไม่ลงมือเช่นกัน เฝ้ารออยู่เงียบๆ

ส่วนสวี่ชิงเอง ก็มองไปยังโล่กับกระบองเขี้ยวหมาป่าบนพื้น

ฟังจากเสียงเมื่อครู่เขาก็พิจารณาได้แล้ว ว่าน้ำหนักของของสองชิ้นนี้ น่าจะ…หนักกว่าตัวเขามากเลย

ผ่านไปไม่นาน หัวถนนนอกประตูไม้ไผ่ ก็ปรากฏเงาขึ้นอีกสองเงาท่ามกลางความเงียบสงบของด้านในเรือน หนึ่งหญิงหนึ่งชาย

ผู้ชายเป็นชายหนุ่ม สะพายธนูยาวไว้คันหนึ่ง ลำตัวสูงตั้งตรงใบหน้ามีแผลเป็นรูปกากบาทรอยหนึ่ง เหมือนถูกคนบังคับให้สลักไว้ ขณะที่กำลังตกตะลึง สายตาของเขาก็เฉียบแหลมเป็นพิเศษ

ส่วนหญิงสาวคนนั้น ดูเหมือนอายุสามสิบกว่า หน้าตาธรรมดา แต่รูปร่างที่อยู่ใต้ชุดหนังรัดรูปนั้นกลับร้อนแรงอย่างมาก แผ่ซ่านความเย้ายวนแบบดั้งเดิมออกมา

ทั้งสองคนเดินเข้ามาในเรือนไม้ไผ่ หลังจากที่ทักทายกับหัวหน้าเหลยแล้ว ตอนที่นั่งลงบนเก้าอี้ ชายหนุ่มที่สะพายธนูคนนั้นก็มองไปยังสวี่ชิงผาดหนึ่งเหมือนกำลังพิจารณา

ส่วนหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ กลับมีสายตาอยากรู้อยากเห็น น้ำเสียงมีแววออดอ้อน เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“หัวหน้า ทำไมพวกข้าออกไปแค่หนเดียว ท่านก็มีเด็กน้อยเพิ่มมาคนหนึ่ง แก่แล้วแต่ยังมีแรงนี่นาหัวหน้า อย่าบอกนะว่าครั้งนี้ที่เรียกพวกเรากลับมาก็เพราะจะบอกกับทุกคนว่า ไปไข่ทิ้งไว้ข้างนอกโดยปิดบังพวกเราไว้”

“อายุไม่ได้นะ” ชายร่างใหญ่เอ่ยเสียงทึม

สวี่ชิงไม่พูดจา เท้าซ้ายกางออกเล็กน้อย ทำให้กริชที่ผูกไว้ตรงขาล้วงออกมาได้ง่ายหน่อย เขารู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย สามคนที่เข้ามานี้ ทุกคนล้วนทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งมหาศาล

เทียบกับเจ้าอ้วนเมื่อวานนี้ ก็ยังแข็งแกร่งกว่าระดับหนึ่ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่สะพายธนูคนนั้น กระทั่งให้ความรู้สึกราวกับมีเข็มจ่ออยู่ข้างหลังแก่สวี่ชิงเลยทีเดียว

“ผีเถื่อน ฝึกกายาขั้นสาม พลังเทวะแต่กำเนิด” หัวหน้าเหลยไม่ได้สนใจต่อปากต่อคำกับพวกเขา มองไปทางสวี่ชิง ชี้ไปยังชายร่างใหญ่

“เขี้ยวหงส์ รวมปราณขั้นสาม สามารถสื่อสารกับสัตว์ร้ายได้ สุนัขป่าที่เจ้ามองเห็นในฐานที่มั่นนี้ส่วนใหญ่เป็นหูเป็นตาให้กับนาง

“กางเขน รวมปราณขั้นสี่สมบูรณ์ ระดับเดียวกันหาคู่มือด้วยได้ยากยิ่ง” หัวหน้าเหลยแนะนำกับสวี่ชิงทีละคนจนจบ จากนั้นจึงชี้ไปที่ตัวสวี่ชิงให้กับคนทั้งสาม

“เด็กน้อย ฝึกกายาขั้นสอง”

จากการเอ่ยขึ้นของหัวหน้าเหลย ทั้งสามคนในกลุ่มก็ล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึมกันไม่น้อย สวี่ชิงนั่งอยู่ข้างๆ ฟังอย่างตั้งใจ

“กินกันก่อน กินไปด้วยคุยไปด้วย” กวาดตามองคนทั้งสี่ หัวหน้าเหลยเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ จากนั้นก็คีบเนื้อชิ้นเล็กขึ้นมาแล้วเอาเข้าปาก

“ครั้งนี้ที่เรียกพวกเจ้ากลับมาก่อนเป็นเพราะการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ผลิของปีนี้มาถึงก่อนกำหนด หัวหน้าฐานมอบหมายภารกิจมาชิ้นหนึ่ง นอกเหนือจากราคาเก็บเกี่ยวของหญ้าเจ็ดใบแล้ว กลุ่มที่หามาได้มากที่สุด จะมอบลูกกลอนล้างธุลีที่มีคุณสมบัติมากกว่าลูกกลอนขาวให้อีกสามเม็ด!

“สถานที่ที่พวกเราเก็บไว้เป็นความลับในพื้นที่ต้องห้ามสามารถไปเก็บเกี่ยวล่วงหน้าได้แล้ว ความเห็นของพวกเจ้าล่ะ” เมื่อคำพูดของหัวหน้าเหลยออกมา สายตาของพวกผีเถื่อนทั้งสามคนก็มีความคมกริบขึ้น หลังจากมองหน้ากันก็ต่างพยักหน้า

สวี่ชิงไม่เคยได้ยินชื่อลูกกลอนล้างธุลี แต่จากในคำพูดของหัวหน้าเหลยก็ชัดเจนมากว่าลูกลอนนี้มีคุณสมบัติที่ดีกว่าลูกกลอนขาว

“ในเมื่อพวกเจ้าเห็นด้วย เช่นนั้นก็เตรียมตัวกันเถอะ พื้นที่ต้องห้ามครั้งนี้ เด็กน้อยจะติดตามไปด้วย” หัวหน้าเหลยเอ่ยขึ้นแช่มช้า

“เขาเนี่ยนะ” ผีเถื่อนทั้งสามคนมองไปทางสวี่ชิง

ทางกางเขน ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“หัวหน้า ฝึกกายาขั้นสองอ่อนแอเกินไป นอกเหนือจากทำภารกิจให้สำเร็จ หากพวกเรายังต้องคอยดูแลเขาอีกล่ะก็ มันยากอยู่นะ”

“ใครก็ต้องมีครั้งแรกกันทั้งนั้น” หัวหน้าเหลยกวาดตามองกางเขน จากนั้นจึงมองไปทางสวี่ชิง

“เด็กน้อย เจ้าตัดสินใจเอาเอง”

“ข้าทำได้” สวี่ชิงพยักหน้า

ในกระเป๋าเขายังมีลูกกลอนขาวอีกห้าเม็ด ไม่ได้ต้องการลูกกลอนล้างธุลีมากนัก แต่เขาเข้าใจว่าการใช้ชีวิตในฐานที่มั่นคนเก็บกวาด ไม่ว่าจะช้าเร็วก็ต้องเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามอยู่ดี แล้วถ้าเป็นเช่นนี้…การได้ร่วมเดินทางไปกับกลุ่มที่มีประสบการณ์เต็มเปี่ยม จะต้องได้เรียนรู้มากขึ้นแน่นอน

กางเขนนิ่งงัน ไม่พูดอะไรอีก

“พวกเจ้ากินเสร็จแล้วก็แยกย้ายเถอะ พรุ่งนี้เช้ามาร่วมกันที่นี่ แล้วพวกเราจะออกเดินทางกัน!” หัวหน้าเหลยพูดจบ ก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้อง

สวี่ชิงเองก็แทงเนื้อชิ้นใหญ่ กลืนลงไปแล้วมองไปยังคนทั้งสาม จากนั้นก็รีบสาวเท้ากลับไปที่ห้อง เขาไม่อยากอยู่ที่นั่นนาน สำหรับคนแปลกหน้าแล้ว สวี่ชิงยังคงระแวดระวังอยู่เสมอ

หนึ่งคืนที่เงียบงัน สิ่งที่สวี่ชิงเตรียมตัวไปทำงานมีไม่มากนัก เพราะความเคยชินของเขาทำให้สามารถลงมือได้อย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้นพอถึงเช้าวันถัดมา พวกเขาทั้งห้าคนก็เดินออกมาจากในฐานที่มั่นภายใต้การนำของหัวหน้าเหลย

ท้องฟ้าสีคราม แสงตะวันส่องจ้า

บนท้องฟ้ามีเหยี่ยวตัวหนึ่งบินวนรอบฐานที่มั่นราวกับกำลังจับตามอง และเงาร่างของพวกเขาก็ดึงดูดเอาสายตาของคนเก็บกวาดที่อยู่รอบๆ

เหมือนว่าเป็นเพราะร่างกายที่ใหญ่โตผิดปกติของผีเถื่อน รวมกับความสะโอดสะองของเขี้ยวหงส์ ขนาดในขบวนรถที่จอดอยู่ที่นี่เมื่อหลายวันก่อนหน้าก็ยังมีคนมองมาทางพวกเขา

ส่วนด้านนอกขบวนรถ คนเก็บกวาดจัดขบวนกันอย่างน่าแปลกตาหาได้ยากอยู่ทางนั้นมีมากกว่า ราวกับกำลังเฝ้ารอ

เมื่อวานสวี่ชิงไม่ได้ออกมาข้างนอกทั้งวัน ไม่รู้ว่าที่นั่นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ขณะที่สายตากวาดออกไป เขี้ยวหงส์ที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“เมื่อคืนข้าได้ยินคนคุยกัน ว่าขบวนรถนี้มาจากผืนอินทนิล ด้านในเหมือนจะมีคนที่มีวิชาแพทย์สูงส่งอยู่ด้วยนะ เมื่อวานจัดการรักษาขาของตาเฒ่าชีกอเจ้าหมาไนขาเป๋คนนั้นจนหายดี ก็เลยมีคนมากมายมาเข้าแถวเพื่อรักษากัน”

“หมอคนนี้คงได้เงินไม่น้อยเลย” ผีเถื่อนพอได้ยินก็เอ่ยเสียงทึมด้วยความอิจฉา

สวี่ชิงเองก็อิจฉา มองไกลออกไปผาดหนึ่งแล้วเบนสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว จู่ๆ ตาของเขาแข็งค้างขึ้นมาเล็กน้อย

ไม่ใช่แค่เขา ผีเถื่อนกับเขี้ยวหงส์เองก็มีดวงตาที่เฉียบคมขึ้นทันที มีเพียงกางเขนกับหัวหน้าเหลย ที่สีหน้ายังคงปกติ แต่พอสังเกตอย่างละเอียด ก็จะมองเห็นความเย็นเยียบในดวงตาของพวกเขา

เพราะว่ากลุ่มคนกลุ่มหนึ่งด้านหน้าของพวกเขา กลุ่มอีกกลุ่มหนึ่งกำลังรวมตัวสมาชิกอยู่ตรงนั้น

กลุ่มนี้มีอยู่ประมาณเจ็ดแปดคน มีทั้งชายและหญิง บนตัวทุกคนล้วนมีเจตนาโหดเหี้ยมแฝงอยู่

โดยเฉพาะชายชราคนหนึ่งด้านในที่ถูกคนทั้งกลุ่มติดตามเหมือนกับหัวหน้าเหลย

ผมเขากระเซอะกระเซิง ดวงตามีความกระหายเลือด ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนศพของสุนัขป่าตัวหนึ่ง ขณะที่กินเนื้อขาสดๆ นั้น ก็ส่งเสียงพูดคุยที่เย็นเยียบออกมา

“ไปลากตัวเจ้าขยะไอ้ม้ากับไอ้อ้วนทั้งสองตัวนั่นออกมาเสีย เวลาออกเดินทางยังกล้ามาสายอีก พวกเขาเหนื่อยกับชีวิตแล้วกระมัง”

กลุ่มเงาโลหิตนั่นเอง!

ชายชราที่กินเนื้อสดคนนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นหัวหน้ากลุ่มเงาโลหิตนี้

คลื่นพลังวิญญาณที่กำเริบเสิบสานไม่เกรงกลัวใครแผ่ออกมาจากทั้งตัว ทำให้สวี่ชิงที่ได้ยินคำพูดนี้ หรี่ตาลงเล็กน้อย เพื่อปิดบังความคมกริบในสายตา

ส่วนเขี้ยวหงส์หลังจากที่มองเห็นเนื้อในมือของหัวหน้ากลุ่มเงาโลหิตรวมไปถึงศพสุนัขที่อยู่ข้างล่าง ความโกรธแค้นกับจิตสังหารก็แผ่ซ่านออกมาอย่างรุนแรงในพริบตา นั่นเป็นสุนัขของนาง

และขณะเดียวกัน กลุ่มเงาโลหิตเองก็เห็นกลุ่มของหัวหน้าเหลยด้วย ชายชราที่นั่งอยู่บนศพสุนัขแสยะยิ้ม แลบลิ้นเลียมองมาทางเขี้ยวหงส์

“สาวน้อย สุนัขที่เจ้าเลี้ยงรสชาติใช้ได้เลย ไม่รู้ว่าเนื้อบนตัวเจ้า รสชาติจะเป็นอย่างไร”

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท