ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 16 ถามว่าข้ากลับมาเมื่อไร ข้าก็ตอบเจ้าไม่ได้

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 16 ถามว่าข้ากลับมาเมื่อไร ข้าก็ตอบเจ้าไม่ได้

ใต้แสงระเรื่อ เงาของเด็กหนุ่มทำให้จิตใจอีกาเพลิงสั่นสะเทือน

ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนเก็บกวาดอาวุโสแล้วเป็นคนอื่น เกรงว่าทั้งๆ ที่เวลานี้พลังบำเพ็ญสูงกว่าอีกฝ่ายแต่จิตวิญญาณคงถูกทำให้สั่นสะเทือนไปแล้ว

ต่อให้เป็นเขาในใจเองก็ยังเกิดระลอกคลื่น แต่เพียงไม่นานก็ถูกความโหดร้ายของพวกไม่กลัวตายและความโกรธแค้นจากอาการบาดเจ็บเข้าสะกดข่ม ในดวงตาเผยจิตสังหารที่รุนแรงออกมา

“เจ้าหมาป่าตัวน้อย ข้าจะเอาฟันของเจ้า ถอนออกมาทีละซี่ๆ แล้วนำมาเป็นสินสงครามของข้า”

ขณะที่อีกาเพลิงเอ่ยเสียงต่ำก็กระชากเสื้อออก เผยให้เห็นร่างท่อนบนที่ผอมแห้ง

เขาไม่สนใจส่วนที่หายไปอย่างหูหรือรูบนหน้าอกเลย มือทั้งคู่ทำปางมือพร้อมสีหน้าที่แดงก่ำ ลูกไฟที่ใหญ่กว่าก่อนหน้าลูกหนึ่งปรากฏขึ้นฉับพลัน

สวี่ชิงหดม่านตาลง ร่างกายไหววูบเคลื่อนย้ายทันควัน

“กระจาย!” อีกาเพลิงคำรามเสียงต่ำ ลูกไฟใหญ่ในมือเขาก็แยกออกเป็นห้าลูกพุ่งเข้าหาสวี่ชิงทันที

เสียงครืนครันดังก้องในพริบตา เปลวไฟปกคลุมบนพื้น สวี่ชิงพุ่งตัวออกมาอีกครั้งท่ามกลางไฟที่ลุกไหม้ ใช้สองหมัดทำลายกำแพงลงเช่นเคย

แม้ร่างกายตนเองจะถูกดีดกลับ จนได้รับบาดเจ็บมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นแม้เปลวไฟอุณหภูมิสูงยังแผดเผาจนบาดเจ็บต่อเนื่อง แต่เจตนาสังหารของเขาก็ไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย

ใช้วิธีต่อสู้โดยไม่สนอาการบาดเจ็บของตนเองเช่นนี้ เขากับอีกาเพลิงทั้งสองคน ก็ประหัตประหารกันร้อนแรงขึ้นในป่าแห่งนี้

ยิ่งสู้ยิ่งดุเดือด

สวี่ชิงไม่ใช่คู่มือของอีกาเพลิงจริงๆ

ไม่ว่าจะกำแพงพลังวิญญาณหรือว่าลูกไฟก็ทำให้เขาเสียเปรียบอย่างมาก อย่างแรกทำให้เขาเข้าโจมตีประชิดตัวได้ยาก อย่างหลังก็มีพลังคุกคามกับเขามหาศาล

แต่พลังฟื้นฟูของสวี่ชิงก็น่าตกตะลึง ทำให้หลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บก็สามารถฟื้นฟูกลับได้อย่างรวดเร็ว ไม่ส่งผลต่อพลังต่อสู้เขาเลย

พลังกายของเขาก็เต็มเปี่ยมเช่นกัน แม้ว่าร่างกายที่มีอาการบาดเจ็บยาวนานจะทรมานจิตใจมากขึ้น แต่เขาที่เติบโตมาจากถ้ำยาจก ก็ถูกชุบเลี้ยงให้ทรหดมากกว่าคนปกติมานานแล้ว

สิ่งสำคัญที่สุดคือ…พลังวิญญาณที่มีไอพลังประหลาดเข้มข้นไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อสวี่ชิง แต่สำหรับอีกาเพลิงแล้ว ถือว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

จะอาการบาดเจ็บที่หูของเขาก็ดี หรือแผลที่หน้าอกของเขาจะยิ่งเลวร้ายลงก็ดี แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือพลังวิญญาณของเขา…

ต่อให้ฝึกบำเพ็ญระดับรวมปราณขั้นห้า ก็ไม่สามารถแบกรับการใช้งานเช่นนี้ไหว ทำให้จำเป็นต้องสูดรับเอาพลังวิญญาณเข้าไปเสริม

และการต่อสู้ที่รุนแรง แรงกดดันของสวี่ชิงทำให้เขาไม่มีเวลาได้พักหายใจ ถ้าเป็นเช่นนี้ ไอพลังประหลาดในร่างกายเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ

เพียงไม่นานอีกาเพลิงจากความโกรธแค้นตอนแรกสุด ก็เปลี่ยนเป็นความตึงเครียด จนกระทั่งท้ายที่สุดสีหน้าก็เริ่มปรากฏความร้อนรนออกมา

เขาสัมผัสได้ว่าร่างกายของตนเองเริ่มผิดปกติ และสัมผัสได้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านี้มีปัญหา!

ถ้าเป็นขั้นสามคนอื่น ต่อให้ไม่ใช่ขั้นสามแต่เป็นขั้นห้าเหมือนกับเขา ขณะที่เผชิญหน้ากับการโจมตีของลูกไฟก็ไม่มีทางทนได้จนถึงตอนนี้ ควรจะกลายเป็นศพแห้งไปนานแล้ว

เขาถามตนเองว่าถ้าหากนั่นเป็นตัวเขาเองก็ทำมาถึงจุดนี้ไม่ได้เช่นกัน

แต่เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ อาการบาดเจ็บดูแล้วหนักหนามาก ยิ่งไปกว่านั้นยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ตั้งแต่เริ่มจนจบความเร็วกับพลังกลับไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย

สิ่งนี้ทำให้จิตใจอีกาเพลิงไม่สงบ และยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

แต่ไอพลังประหลาดในร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเกือบจะบีบอีกาเพลิงเข้าสู่จุดขอบการกลายพันธุ์แล้ว ทำให้เขายิ่งหายใจหอบถี่

“อีกาเพลิงเจ้าคนไม่ได้เรื่อง รีบสู้รีบจบเสียที!!”

ห่างออกไป หัวหน้ากลุ่มเงาโลหิตที่กำลังสู้กับหัวหน้าเหลยก็จำใจต้องแบ่งความสนใจมาทางนี้ เมื่อเห็นกับเหตุการณ์ก็คำรามขึ้นด้วยความโกรธ

เขาอยากไปช่วย แต่หัวหน้าเหลยทางนั้นจู่ๆ ก็ระเบิดพลังเข้ามาขวางไว้ จนเขาไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้ ตอนนี้ทำได้เพียงร้อนรน

และหัวหน้าเหลยเองก็มองออกนานแล้ว ว่าการต่อสู้ของสวี่ชิงจะป็นการถ่วงเวลาให้อีกาเพลิงกลายพันธุ์

แม้ยังไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายจึงมั่นใจเช่นนั้น ทำไมจึงแสดงฝีมือได้ปกติทั้งที่มีอาการบาดเจ็บ แต่ทุกคนก็ล้วนมีความลับของตนเองทั้งสิ้น จุดนี้หัวหน้าเหลยเข้าใจดี เขาเองก็มีเช่นกัน

ดังนั้นจึงเลิกคิด สิ่งที่เขาทำได้ก็คือไม่ยอมให้หัวหน้ากลุ่มเงาโลหิตตรงหน้านี้เข้าไปช่วยเหลือ

การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป

มีลูกไฟอีกสามลูกระเบิดออกมา อีกาเพลิงที่ทำอะไรสวี่ชิงไม่ได้ ก็ถูกก่นด่าจากหัวหน้าของเขาอีกครั้ง ความร้อนรนในใจระเบิดออกมา จนกลายเป็นความบ้าคลั่ง

มือซ้ายของเขาทุบลงไปที่หน้าอก กระอักเลือดกองใหญ่ออกมา แต่ไม่รอให้หกรดถึงลงพื้น มือซ้ายก็รีบโบกคว้ามาได้ส่วนหนึ่ง

ในปากมีเสียงสาปแช่งออกมา เลือดในมือก็เปลี่ยนเป็นสีดำ

สวี่ชิงตาตึงเขม็ง สัมผัสได้ถึงอันตรายที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ร่างกายไหววูบพุ่งตัวออก คิดจะหยุดวิชาของอีกฝ่าย

แต่วิชาเวทของอีกาเพลิงครั้งนี้สำแดงออกมาไวมาก พริบตาที่ร่างกายสวี่ชิงเคลื่อนไหว อีกาเพลิงก็เงยหน้าขึ้นฉับพลัน สีหน้าบิดเบี้ยว สายตามีความโหดเหี้ยม โบกมือขวาอย่างดุดัน

เลือดสีดำในมือเขาพองออกมาเป็นก้อนเลือดขนาดเท่าศีรษะทันที

ด้านในเหมือนจะมีฟองเดือดปุดๆ พลังน่าตกตะลึง พุ่งหวีดหวิวไปทางสวี่ชิง

“ตายเสีย!” อีกาเพลิงคำรามกราดเกรี้ยว

บางทีอาจเพราะวิชาเวทครั้งนี้ใช้พลังมากเกินไป อีกทั้งไอพลังประหลาดในร่างกายเขายังระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ในเวลานี้สองขาของเขาสั่นไหวอ่อนแรงลง

จิตสังหารในดวงตาสวี่ชิงก็แข็งแกร่งขึ้นฉับพลัน เป็นเช่นเดียวกับที่หัวหน้าเหลยคิดไว้ เขาเตรียมจะประวิงเวลาให้อีกฝ่ายกลายพันธุ์จริงๆ แต่ก็ยังมีจุดที่แตกต่างกันอยู่

นั่นคือในระหว่างนี้สวี่ชิงไม่เคยล้มเลิกความคิดที่จะสังหารเขาลงก่อนเลยแม้แต่น้อย

แม้ว่ากริชและเหล็กแหลมของเขาจะไม่อยู่ในมือแล้ว แต่เขาก็ยังหาโอกาสที่จะสังหารอยู่ตลอด

ซึ่งโอกาสนี้ปรากฏขึ้นแล้วจากการที่อีกาเพลิงอ่อนแอลง

แทบจะพริบตาเดียวที่ก้อนเลือดสีดำหวีดหวิวเข้ามา ร่างกายที่พุ่งไปด้านหน้าของสวี่ชิงก็เพิ่มความเร็วขึ้นอย่างฉับพลัน

ไม่ได้พุ่งเข้าหาอีกาเพลิงตรงๆ แต่เบี่ยงตัวออกมาเล็กน้อย จนมาถึงตำแหน่งที่ศพของผีเถื่อนอยู่

ศพของเขาเต็มไปด้วยรอยเผาไหม้เพราะอยู่ในขอบเขตที่อีกาเพลิงระเบิดลูกไฟออกมาก่อนหน้า แต่นอกจากศพแล้ว ก็ยังมี…อาวุธของผีเถื่อนอยู่ด้วย!

กระบองเขี้ยวหมาป่าด้ามหนึ่ง โล่เหล็กกล้าที่แตกเป็นชิ้นเล็กและใหญ่สองชิ้น

เป้าหมายของสวี่ชิง ก็คือโล่ชิ้นใหญ่ชิ้นนั้น

ร่างของเขาเข้าประชิดในพริบตาคว้าโล่เหล็กกล้าที่หนักอึ้งขึ้นมา ขณะที่ร่างผอมเล็กถูกโล่บดบัง เขาก็พุ่งตัวเข้าหาอีกาเพลิงที่อยู่ด้านหลังก้อนเลือดสีดำนั่นในพริบตา

เสียงตูมก้องสะท้าน ก้อนเลือดของอีกาเพลิงปะทะกับสวี่ชิง กระแทกลงบนโล่จนเลือดสีดำนับไม่ถ้วนสาดกระจาย

โล่เหล็กกล้านั้นก็ทานรับไม่ไหวจนแตกกระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในพริบตาด้วยเช่นกัน แต่มันก็แบกรับพลานุภาพไปแล้วกว่าครึ่ง

ทำให้สวี่ชิงที่อยู่ด้านหลังของโล่ บนตัวแม้จะโดนเลือดสีดำบ้างบางส่วน แต่ก็ไม่ถึงชีวิต ตอนนี้เขาจึงฝืนกัดฟันไม่ลดความเร็ว ไม่หยุดรีรอ พุ่งตัวจนกลายเป็นภาพค้างสายหนึ่งพุ่งเข้าหาอีกาเพลิงราวกับลูกธนู

สายตาอีกาเพลิงเผยความเย้ยหยัน ไม่หลบไม่เลี่ยง เมื่อสองมือทำปาง ก้อนเลือดสีดำที่กระจายอยู่ด้านหลังสวี่ชิงก็ลอยขึ้นฟ้าทีละหยดๆ เพียงไม่นานนักทั้งหมดก็กลายเป็นลูกศรเลือดยิ่งพุ่งขึ้นไปในอากาศ

ทั้งหมดนี้ ทำให้สวี่ชิงไม่มีทางให้หลบเลี่ยง แต่เดิมทีเขาก็ไม่คิดจะถอยหนีอยู่แล้ว

เมื่อเข้าประชิดตัวได้ เขากำหมัดซ้าย แต่ที่โจมตีออกคือมือขวา ซัดออกไปหนึ่งหมัด

ตูม!

กำแพงพลังวิญญาณของอีกาเพลิงปรากฏรอยร้าว และหมัดขวาของสวี่ชิงเวลานี้ก็มีเลือดสดซ่านกระเซ็น ด้านในยังมีเลือดเนื้อที่มีเกล็ดบางส่วนอยู่ด้วย

ไม่รอให้อีกาเพลิงมองเห็นได้ชัด สวี่ชิงดวงตาแดงฉาน ซัดหมัดที่สองออกไป

เสียงเพล้งดังขึ้นกำแพงพังทลายกระจัดกระจาย พลังปะทะขนาดใหญ่แผ่ออกมาจากด้านใน ผลักร่างของสวี่ชิงเหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่ผิดเพี้ยน เข้าใกล้อีกไม่ได้แม้แต่น้อย

ความเย้ยหยันในดวงตาอีกาเพลิงเข้มข้นขึ้น แต่ตอนนั้นเอง!

ร่างของสวี่ชิง ก็เหมือนมีแรงฮึดเหลือเพิ่มมาจากความว่างเปล่า

ในแรงปะทะจากการแตกกระจายของกำแพงนี้ กลับไม่ได้ถอยกลับไป

ทว่าพุ่งตัวฉับพลันต้านทานกับแรงปะทะ มือขวายื่นคว้าที่ตำแหน่งหน้าอกที่เลือดเนื้อเหวอะหวะจากการถูกเหล็กแหลมแทงทะลุอย่างดุดัน

เหมือนว่าแรงฮึดที่เหลือทำให้สวี่ชิงมีเพียงแค่แรงคว้านี้เท่านั้น แม้จะเปิดปากแผลอีกาเพลิงให้กว้างขึ้นได้ แต่กลับไม่ได้สร้างบาดแผลถึงชีวิตแก่เขา ตอนนี้จึงทำได้เพียงถอยกลับอย่างรวดเร็ว

และอีกาเพลิงเองก็หน้าเปลี่ยนสี ร่างกายถอยหลังโซซัดโซเซ

พอสังเกตเห็นว่าการคว้านี้ของสวี่ชิงไม่ได้สร้างแรงคุกคามอะไรกับตนเอง เขาจึงหัวเราะเหี้ยมเกรียมขึ้นเสียงหนึ่งแล้วตั้งท่าเตรียมจะยิงวิชาเลือดดำต่อ

แต่พริบตาต่อมา หน้าของเขาก็เปลี่ยนสีอีกครั้ง ก้มหน้าลงฉับพลัน

ในตำแหน่งแผลเหวอะหวะที่หน้าอกเขา ที่นั่น…มีเศษเขี้ยวหักรวมไปถึงเศษเนื้อที่มีเกล็ดอยู่

ขณะเดียวกันที่ตำแหน่งบาดแผล เลือดพิษหลั่งทะลักจากด้านใน เลือดเนื้อก็กำลังถูกกัดกร่อน เลือดไหลไปถึงจุดใด ผิวหนังตรงนั้นก็เน่าลงอย่างรวดเร็ว

ความเจ็บปวดที่ยากจะทานทนหลั่งทะลักออกมาอย่างรุนแรงในวินาทีนี้ จนทำให้อีกาเพลิงกรีดร้องเสียงแหลมออกมา สีหน้าเผยความหวาดกลัวตกตะลึง

ระหว่างที่ถอยหนีอย่างต่อเนื่อง เขามองเห็นสวี่ชิงที่ย่อตัวห่างออกไป ในฝ่ามือขวาที่เขายื่นออกมาสะบัดเศษเนื้อกับเศษฟันแบบเดียวกัน

ถ้าหากสามารถรวมเศษเนื้อกับฟันนี้เข้าด้วยกัน ก็จะกลายเป็นหัวงูหัวหนึ่ง

นั่นคือหัวงูพิษที่สวี่ชิงเอาไว้จัดการศพนั่นเอง

และมือซ้ายของเขาเวลานี้สั่นกระตุกเล็กน้อย กางออกช้าๆ หลังจากที่เศษอำพันส่วนหนึ่งร่วงลงมา ก็เผยให้เห็นหางของแมงป่องหน้าผีแทงอยู่ใจกลางฝ่ามือ!

อย่างแรกทำให้ฝ่ามือเขามีพิษแฝง อย่างหลังคือทำให้เขามีแรงฮึดที่จะลงมือระหว่างที่มีแรงปะทะจากกำแพง!

“เจ้า…” อีกาเพลิงสั่นระริก ระหว่างกรีดร้องก็พูดอะไรไม่ออก ไม่ต้องพูดเรื่องกระตุ้นวิชาเวทเลย

ในดวงตาเขามีความหวาดกลัวต่อความตายอย่างแรงกล้าเผยออกมา ดิ้นรนคิดจะปัดเลือดพิษออกจากตัว แต่เลือดพิษที่หลั่งทะลักมหาศาลทำให้พลังกายกับพลังชีวิตเขาหายไปอย่างรวดเร็ว

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก การฟื้นฟูของผลึกวารีสีม่วงตอนที่สู้กับเจ้าอ้วน ทำให้เขารู้ว่าตนเองสามารถขจัดพิษออกไปได้ด้วย

มือขวาที่เปื้อนพิษงูไม่ถูกกัดกร่อน ก็อธิบายได้ทั้งหมดแล้ว

นี่ ก็คือการโจมตีสังหารที่เขาเตรียมไว้เพื่ออีกาเพลิง

ตอนนี้เขายืนขึ้น ทะยานตัวไปทางอีกาเพลิง

เมื่อเห็นว่าสวี่ชิงเข้ามา ความตกตะลึงหวาดกลัวในตาอีกาเพลิงก็แปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวัง ดิ้นรนถอยกรูดไปด้านหลัง ปากก็เปล่งเสียงเจ็บปวดโหยหวนออกมา

“หัวหน้า ช่วยข้าด้วย!!”

ฉากที่น่าเวทนานี้ ทำให้หัวหน้าเงาโลหิตที่สู้กับหัวหน้าเหลยดวงตาเบิกโพลง อยากจะไปช่วยเหลือ แต่หัวหน้าเหลยก็เข้ามาขวางไว้ ทำให้เขาออกไปได้ลำบากยิ่ง

ทำได้เพียงมองร่างของสวี่ชิงพุ่งเข้าประชิดตัวอีกาเพลิงอย่างรวดเร็วเท่านั้น

และในการเข้าใกล้นี้ อาการบาดเจ็บของอีกาเพลิงกับจิตใจที่แตกสลาย ทำให้ไอพลังประหลาดที่สะสมอย่างเข้มข้นในร่างกายเขาไม่อาจสะกดได้อีกต่อไป

ไม่ต้องรอให้สวี่ชิงเข้ามาหา เขาก็ตัวแข็งทื่อไปท่ามกลางความสิ้นหวัง ไอพลังประหลาดกระจายไปทั่วร่าง เสียงโพละดังขึ้น…กลายเป็นหมอกเลือด

มีบางคนกลายพันธุ์เหลือร่างดำคล้ำทิ้งไว้ บางคนกลับระเบิดกลายเป็นหมอกเลือด

สวี่ชิงหยุดเท้าลง มองจุดที่อีกาเพลิงกลายเป็นหมอกเลือด หันหน้ากลับ จ้องมองไปทางหัวหน้าเงาโลหิตที่ต่อสู้กับหัวหน้าเหลยอย่างเย็นชา

ตอนนี้ดวงตะวันลับขอบฟ้าแล้ว แต่ท้องฟ้าเวลาโพล้เพล้กลับแตกต่างจากปกติ ไม่มีค่ำคืนอันมืดมิดตรงเข้ามา ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงประหลาดทั้งผืน

ร่างของสวี่ชิงก็ถูกย้อมอยู่ท่ามกลางสีแดงที่ลึกซึ้งนี้เช่นกัน เขายืนแผลเต็มตัว สายตาที่เย็นชาเหมือนปล่อยแรงบีบคั้นที่ยากจะพรรณนาวูบหนึ่งออกมา

แรงบีบคั้นนี้ทำให้หัวหน้าเงาโลหิตที่พลังบำเพ็ญแกร่งกว่าเขา ยังจิตใจสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

การตายของอีกาเพลิงน่าเวทนาเกินไป จนเกิดแรงปะทะโครมใหญ่ในใจของหัวหน้าเงาโลหิตคนนี้

และการที่ล้มหัวหน้าเหลยลงไม่ได้เสียที รวมกับวิชาชั่วร้ายบนตัวสวี่ชิง ทั้งหมดนี้ทำให้จิตใจของหัวหน้าเงาโลหิตรู้สึกไม่ปลอดภัย สายตาเวลานี้เปล่งประกาย พริบตาที่สวี่ชิงมองมา เขาก็ซัดหมัดไปยังหัวหน้าเหลย ถอยกลับไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเล

เขาไม่อยากสู้แล้ว

หัวหน้าเหลยเดิมทีคิดจะไล่ตามไป แต่พอเงยหน้าขึ้นมองสีแดงประหลาดบนท้องฟ้าแล้ว จู่ๆ เขาก็หน้าเปลี่ยนสี ราวเกิดคลื่นอารมณ์ขึ้นมา กระอักเลือดสดออกมา ร่างกายยิ่งดำคล้ำ โยกไหวเหมือนจะล้ม

สวี่ชิงรีบเดินเข้าไปประคองตัวหัวหน้าเหลย

ขณะที่หัวหน้าเหลยหอบหายใจสวี่ชิงก็พาเขาลงมานั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ เงยหน้ามองไปทางหัวหน้าเงาโลหิตที่วิ่งห้อเข้าไปในป่า สายตาเปล่งประกายจิตสังหาร

“เจ้าคนเดียวอย่าตามไปเลย เขาที่กลุ่มเงาโลหิตแตกพ่าย ทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นสีแดงเช่นนี้บนท้องฟ้า ข้าก็เหมือนจะเคยเห็นมาก่อน…”

หัวหน้าเหลยจับตัวสวี่ชิงไว้ เงยหน้าจ้องเขม็งไปทางท้องฟ้า

“แต่เขาเป็นภัยแฝงเร้น” สวี่ชิงเอ่ยขึ้นแช่มช้า

เขาไม่ชอบภัยแฝงเร้นใดๆ ยิ่งไปกว่านั้นในป่าพื้นที่ต้องห้าม เขาก็ยังมั่นใจว่าตนเองไหวที่จะประวิงเวลาสังหารหัวหน้าเงาโลหิตได้อย่างที่ประวิงเวลาสังหารอีกาเพลิง แต่คำพูดของหัวหน้าเหลยก็ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองตามสัญชาตญาณ มองไปบนท้องฟ้า

ตอนนี้เอง…

เสียงเพลงแผ่วเหมือนถอนหายใจเสียงหนึ่งดังแว่วเข้ามาในป่าผืนนี้

เสียงสัตว์ประหลาดคำรามทั้งหมดในป่าพื้นที่ต้องห้ามล้วนหายไปหมดในพริบตา

ในป่าที่เงียบงัน เสียงนี้ก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้น

ราวกับหญิงสาวคนหนึ่งคร่ำครวญต่อการจากไปของสามี จากเสียงสะท้อนก้อง ก็มีปราณหมอกสีแดงจางปรากฏขึ้นในทิศทางที่หัวหน้าเงาโลหิตทะยานไป

พัดม้วนทุกทิศทาง แผ่กระจายออกไป

ร่างสวี่ชิงสั่นสะท้านฉับพลัน หัวหน้าเหลยที่นั่งพิงต้นไม้ใหญ่ก็ร่างกายสั่นเทิ้มขึ้นเช่นกัน ทั้งสองคนมองตรงไปยังจุดที่เสียงเพลงแว่วออกมา

เพียงแต่ว่าคนแรกระมัดระวังอย่างเต็มที่ แต่คนหลัง…สายตากลับเลื่อนลอยเล็กน้อย

เสียงนั้นก้องสะท้อนต่อเนื่องเข้ามาในหูของสวี่ชิง ทำให้ทั่วร่างเขาเกิดความหนาวเย็นที่ไม่อาจพรรณนาได้ขึ้นมา เหมือนตอนที่อยู่ท่ามกลางฝนเลือดหนาวเย็นในซากเมืองนั้น

ต่อให้ตอนนี้เขาหลอมกายาขั้นสาม ก็ยังทานรับไม่ไหว ฟันเริ่มสั่นกระทบ ร่างกายสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนที่ไปแล้ว

ในใจสวี่ชิงก้องคำราม ในหัวปรากฏข้อห้ามในพื้นที่ต้องห้ามที่กางเขนพูดไว้อย่างห้ามไม่อยู่

และจุดที่พวกเขาจับตามอง ร่างของหัวหน้ากลุ่มเงาโลหิตก็หยุดสาวเท้า ร่างกายสั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด

ราวกับมีอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นกำลังใกล้เข้ามา ทำให้เขาหมดสิ้นเรี่ยวแรงหลบหนี

จากดวงตาของสวี่ชิง ปราณสีขาวกลุ่มหนึ่ง ลอยออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของหัวหน้าเงาโลหิตที่กำลังตัวสั่นสะท้าน หลอมรวมเข้าไปกับหมอกสีเลือดที่แผ่ซ่านมา

และร่างกายของหัวหน้าเงาโลหิตก็ถูกกัดกร่อน แห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็วในระหว่างนั้น จนกระทั่งกลายเป็นศพแห้ง ป่นสลายหายไปเป็นฝุ่น ไม่เหลือทิ้งไว้แม้แต่ร่องรอย

ปราณหมอกปกคลุมพื้นที่ทั้งหมด แผ่ซ่านตรงเข้ามาทางสวี่ชิงและหัวหน้าเหลย

ร่างกายของสวี่ชิงสั่นสะท้านจากการเข้าใกล้ของปราณหมอก ในที่สุดก็มองเห็นที่มาของสิ่งที่ทำให้หัวหน้าเงาโลหิตถึงแก่ความตาย นั่นเป็น…รองเท้าหญิงสาวสีแดงสดที่ดูเก่ามากคู่หนึ่ง

“นี่มัน…” สวี่ชิงหายใจหอบถี่ เบิกตาโพลง เขามองเห็นรองเท้าคู่นั้นปรากฏอยู่ด้านหน้าปราณหมอกที่ห่างออกไป กำลังเดินย่ำด้วยตนเองบนโคลน ก้าวทีละก้าวมาทางพวกเขา

บนรองเท้าว่างเปล่า…มีเพียงเสียงเพลงที่ขมขื่นนั่นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

เหมือนกับว่ามีหญิงสาวที่มองไม่เห็นร่างคนหนึ่งสวมรองเท้าสีแดงคู่นี้ ร้องเพลงพลางเดินเข้ามาหา

เสียงเพลงแจ่มชัดขึ้นทุกขณะ รองเท้าสีเลือดย่ำเดินบนดินโคลน ทิศทางที่มาหาคือสวี่ชิง

ฉากประหลาดนี้ ทำเอาม่านตาสวี่ชิงหดลงอย่างรุนแรง ร่างกายคิดจะขยับ แต่กลับทำไม่ได้เลย

ราวกับน้ำแข็งแช่ร่างเขาเอาไว้ทั้งหมด กระทั่งทำให้ฟันของเขาส่งเสียงกึกๆ ออกมา จ้องมองรองเท้าสีแดงสดคู่นั้น เดินย่ำเข้ามาทีละก้าวๆ จนห่างจากเข้าเพียงแค่ครึ่งจั้ง…

พลังคุกคามแห่งความตาย ครอบทับความคิดทั้งหมดในใจสวี่ชิงชั่วพริบตานั้น เขาอยากจะถอยหนี แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำ ในดวงตามีเพียงเส้นเลือดปรากฏขึ้นมากมาย เผยความดิ้นรนเอาตัวรอดอย่างแรงกล้าของเขาในเวลานี้ออกมา

และรองเท้าสีเลือดคู่นั้นกำลังจะก้าวมาหาเขา แต่ตอนนี้เอง…เสียงสั่นพร่าเสียงหนึ่ง ก็ดังขึ้นมาจากข้างตัวของสวี่ชิง หัวหน้าเหลยนั่นเอง

“เถาหง…นั่นเจ้าหรือ…” เสียงแหบพร่า สั่นระริก มีความไม่แน่ใจ

วินาทีที่ประโยคนี้ออกมา เสียงเพลงประหลาดก็หยุดลงฉับพลัน

รองเท้าข้างหนึ่งที่กำลังยกขึ้นก็หยุดลง จากนั้นจึงเปลี่ยนทิศทางช้าๆ ราวกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงนั้น หมุนตัวมองไปทางหัวหน้าเหลย

พอเห็นฉากนี้ ร่างกายของหัวหน้าเหลยก็สั่นสะท้านขึ้นอย่างชัดเจน ลมหายใจหอบถี่แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างกายที่อ่อนล้าเวลานี้ก็เหมือนใช้แรงฮึด ดวงตาเผยประกายที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จ้องมองความว่างเปล่าที่อยู่บนรองเท้าคู่นั้น

ราวกับว่าในดวงตาเขา เขามองเห็นหญิงสาวที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของเขาคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงนั้น

สี่ตาจ้องประสานผ่านความว่างเปล่า ผ่านโลกอีกใบ ผ่านแสงสว่างและความมืดกับตัวเขา

คนที่แข็งแกร่งอย่างหัวหน้าเหลย เวลานี้ดวงตาก็มีน้ำตาหลั่งรินลงมาอย่างควบคุมไม่ได้

“เจ้า…กลับมาแล้วหรือ…” เขายกมือขึ้นด้วยอาการสั่นสะท้าน ราวกับจะคว้าจับอะไร และรองเท้าสีแดงคู่นั้น ก็ค่อยๆ ยกขึ้น เดินมาอยู่เบื้องหน้าหัวหน้าเหลย โค้งตัวลงเล็กน้อย

ราวกับว่าหญิงสาวที่มองไม่เห็นคนนั้นกำลังคุกเข่าลงอย่างอ่อนโยนเบื้องหน้าหัวหน้าเหลย ยอมให้มือที่สั่นเทาของหัวหน้าเหลยสัมผัสเข้ากับใบหน้าของนาง

แต่มือของหัวหน้าเหลยก็คว้าได้เพียงความว่างเปล่า สัมผัสอะไรไม่ได้เลย คว้าได้เพียงลม และน้ำตา…ก็ไหลลงมามากขึ้น

มีเพียงเสียงงึมงำในปาก อ้างว้างอยู่ในความโศกเศร้านี้

ผ่านไปนาน ราวกับมีเสียงถอนหายใจเบาของหญิงสาวส่งออกมาจากความว่างเปล่า รองเท้าสีแดงคู่นั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินถอยหลัง

จนตอนที่ถอยไปถึงสามจั้ง ถึงได้หันตัวกลับ อ้อมตัวสวี่ชิง แล้วนำเอาหมอกสีแดงด้านหลังเดินหายลับจากไป

ถามว่าข้ากลับมาเมื่อใด ข้าตอบเจ้าไม่ได้

หมอกซ่อนพรางความเสียใจ หายลับไปพร้อมเสียงเพลง

เสียงเพลงยังคงแว่วมา ในความโศกเศร้าราวกับมีความขมขื่นกับความห่อเหี่ยว เดินจากไปไกล

และปราณหมอกสีเลือดก็อ้อมตัวพวกเขาทางนี้ ไหลกระจายตรงไปยังที่ห่างไกล

จนกระทั่งเสียงเพลงเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่ง…ปราณหมอกหายไปจนหมดสิ้น เสียงเพลงก็ค่อยๆ หายไป

ในที่สุดร่างกายของสวี่ชิงตอนนี้ก็กลับมาเคลื่อนไหวได้แล้ว เขาหายใจถี่รั่ว ดวงตามีความหวาดผวา สิ่งแรกที่ทำก็คือหันหน้าไปมองหัวหน้าเหลยที่นั่งอยู่ทางนั้น

หัวหน้าเหลยเวลานี้ มองออกไปไกลอย่างเหม่อลอย ดวงตาไร้ประกาย น้ำตาหลั่งรินออกมาอย่างเงียบงัน

สวี่ชิงนิ่งเงียบ คำพูดที่คิดจะถามไถ่ในตอนแรก เวลานี้กลับไม่สามารถพูดออกมาได้

ผ่านไปนาน หัวหน้าเหลยจึงงึมงำเสียงแผ่วออกมา

“เจ้ารู้สึกแปลกมากใช่หรือไม่”

สวี่ชิงพยักหน้าตอบเงียบๆ

“ก่อนหน้านี้กางเขนบอกกับเจ้า ว่าข้าเป็นคนส่วนน้อยที่ได้ยินเสียงเพลง” หัวหน้าเหลยมองไกลออกไป เอ่ยเสียงต่ำอย่างแช่มช้า

“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเสียงเพลงของพื้นที่ต้องห้ามนี้ประหลาดมาก คนที่ได้ยินส่วนใหญ่จะตาย และคนที่ได้ยินเสียงเพลงแล้วรอดมาได้ ก็มีอยู่น้อยมาก

“แต่ถ้ารอดออกมาได้ คนผู้นี้ก็จะได้รับ ‘ของขวัญ’ ครั้งหนึ่งจากพื้นที่ต้องห้ามผืนนี้ ทำให้เขาคนนั้นตอนที่ได้ยินเสียงเพลงครั้งหน้า…มองเห็นคนที่เขาอยากเห็นมากที่สุดในชีวิตคนนั้น

“เดิมทีข้าคิดว่านี่เป็นเพียงแค่ตำนาน จึงเฝ้ารออย่างเงียบๆ อยู่ที่ฐานที่มั่นด้านนอกมาหลายสิบปีเพื่อตำนานนี้ รอจนผมหงอกไปจนหมดแล้ว…

“จนกระทั่งวันนี้ ข้าก็ได้เห็นเสียที”

หัวหน้าเหลยพูดถึงจุดนี้ ทั้งร่างก็ราวกับแก่ชราลงไปมาก รอยย่นบนใบหน้าซ้อนเป็นชั้น ความอ่อนแอวูบหนึ่งแผ่ซ่านไปทั่วตัวของเขา

“เจ้าเองก็มีคนที่อยากจะพบข้ามผ่านแสงสว่างและความมืดนี้ด้วยใช่หรือไม่…ถ้าหากมี อย่าทำแบบข้า อย่ารออยู่ที่นี่…

“เพราะถึงได้พบ มันก็ยังคงเป็นความว่างเปล่า…” หัวหน้าเหลยงึมงำอย่างขมขื่น หลับตาลง น้ำตาวาดผ่านรอยย่นบนใบหน้าอย่างยั้งไว้ไม่อยู่ หยดร่วงลงมาบนเสื้อผ้า

สวี่ชิงนิ่งงัน เงยหน้ามองไปยังจุดที่เสียงเพลงหายไป ในตาก็ค่อยๆ มีความทรงจำปรากฏขึ้น

เขาเองก็มีคนที่อยากพบเช่นกัน

คนที่คิดถึง คิดถึง คิดถึงมากเหลือเกิน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท