ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 24 เด็กน้อย เจ้ามาตอบ

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 24 เด็กน้อย เจ้ามาตอบ

เวลานี้สวี่ชิงตรงกลับมายังที่พักแล้ว ถึงจะถอนหายใจยาวออกมา

เขาคิดว่าตนเองทำเช่นนั้นไม่ค่อยดีนัก แต่การกระหายความรู้ก็ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่น

และเขาก็เข้าใจ ว่าลูกไม้ของตนถูกมองออกแล้ว

“หลังจากนี้ต้องตอบแทนเสียแล้ว”

เด็กหนุ่มงึมงำเสียงเบา จดจำเรื่องนี้ไว้ในใจ เขาไม่รู้ว่าตนเองสามารถตอบแทนอะไรได้ แต่ในใจก็ยังคิดเช่นนี้ ไม่แน่ว่าภายหลังอาจมีโอกาสดังว่า

สวี่ชิงกลัวว่าตนเองจะลืม จึงหยิบเอาตำราไม้ไผ่ม้วนหนึ่งออกมาจากถุงหนัง ใช้เหล็กแหลมสลักชื่อปรมาจารย์ไป่สามตัวอักษรลงไปบนนั้น

และพอมองอย่างละเอียด ตำราไม้ไผ่นี้นอกจากปรมาจารย์ไป่แล้ว ยังมีหัวหน้าเหลย รวมไปถึงชื่ออื่นด้านบนอีกสามชื่อ

สามชื่อนั้น ล้วนเป็นคนที่เคยช่วยเหลือเขาไว้ตอนอยู่ที่ถ้ำยาจก ต่อให้จะเพียงแค่เล็กน้อย แต่ก็ถูกเขาจดจำไว้ในใจ

เป็นเช่นนี้ หลังจากสลักชื่อลงไปแล้ว สวี่ชิงก็ยังหยิบเอาตำราไม้ไผ่อีกม้วนหนึ่งออกมา ระลึกไปถึงเนื้อหาของบทเรียนคาบวันนี้ จากนั้นก็จดบันทึกลงไป

และนำเอาตำราไม้ไผ่ของคาบที่แล้วหยิบออกมาท่องเงียบๆ หลังจากแน่ใจว่าตนเองจดจำทั้งหมดได้แล้ว สีหน้าของเขาก็เผยความพึงพอใจออกมา

“สมุนไพรที่ข้ารู้จักตอนนี้มียี่สิบเจ็ดชนิดแล้ว”

สวี่ชิงดีใจมาก อารมณ์นี้คงอยู่ต่อไปทั้งวัน กระทั่งตอนที่ฝึกบำเพ็ญก็ยังรู้สึกจิตใจเบิกบาน

ดังนั้นวันถัดมาเขาจึงลุกแต่เช้า หลังจากออกไปขายหญ้าเจ็ดใบบางส่วน ซื้อสมุนไพรที่ดูคล้ายกับดอกลิขิตฟ้า จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่ด้านนอกกระโจมปรมาจารย์ไป่ตามทางที่คุ้นเคย

สวี่ชิงยังคงยืนรอที่ตำแหน่งเมื่อวานเงียบๆ ที่นั่นเพราะสนใจบทเรียนด้านในกระโจมเช่นเคย นำสมุนไพรเข้าไปสอบถามอย่างตึงเครียดและกระสับกระส่ายเมื่อปรมาจารย์ไป่เดินออกมาหลังจากบทเรียนเสร็จสิ้น

จ้องมองสมุนไพร ปรมาจารย์ไป่กระแอมขึ้นเสียงหนึ่ง ขณะที่ส่ายศีรษะ ก็บอกเล่าข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพรที่สวี่ชิงซื้อมาให้รู้

นี่ยิ่งทำให้สวี่ชิงเข้าใจสมุนไพรมากขึ้นอีกชนิดหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้เขาพึงพอใจและซาบซึ้งยิ่งขึ้น หลังคารวะและจากมา เขายังหันหน้ากลับไปมองเช่นเดียวกับเมื่อวานนี้จากที่ไกลๆ และมองเห็นปรมาจารย์ไป่ยืนอยู่ที่เดิม พยักหน้าเป็นสัญญาณให้กับตนเอง

ภาพนี้ สะท้อนในดวงตาของสวี่ชิง และสลักลงไปในหัวเขา

เป็นเช่นนี้ ผ่านไปครึ่งเดือน

ทุกวันสวี่ชิงล้วนนำสมุนไพรต่างๆ เข้ามาสอบถามปรมาจารย์ไป่หลังจากจบฟังบทเรียนที่ด้านนอกกระโจมจบ

เขาได้รับความรู้สมุนไพรมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งต่อมายังได้ยินเรื่องเกี่ยวกับวิธีการปรุงสมุนไพรอีกด้วย

สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงได้รับประโยชน์มามากมาย มีจดบันทึกตำราไม้ไผ่ได้หลายสิบม้วนแล้ว

ส่วนปรมาจารย์ไป่ทางนั้นก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องที่สวี่ชิงครูพักลักจำเลย ทุกวันก็อธิบายอย่างอดทนกับคำถามเรื่องสมุนไพรของเขา

กระทั่งว่าท้ายที่สุด ไม่ได้มีเพียงองครักษ์ที่ชินกับการปรากฏตัวของเด็กน้อยเสื้อขนสัตว์ในช่วงเช้าตรู่ของทุกวันแล้ว เด็กหนุ่มเด็กสาวในกระโจมเองก็ยังประทับใจในตัวเขาอย่างมากเช่นกัน

กระทั่งมีวันหนึ่งที่ด้านนอกฝนตกหนัก ไม่ว่าจะปรมาจารย์ไป่หรือเด็กหนุ่มเด็กสาวก็ล้วนคิดว่าสวี่ชิงจะไม่มา แต่สวี่ชิงกลับสวมเสื้อกันฝนเดินมาท่ามกลางสายฝน

ตั้งใจเล่าเรียนไม่มีเหน็ดเหนื่อย ไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออก

สิ่งนี้ทำให้ปรมาจารย์กับศิษย์ข้างกายทั้งสองคนประทับใจเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้นมีวันหนึ่งเมื่อถึงเวลาเรียน แต่สวี่ชิงกลับไม่ปรากฏตัวตรงตามเวลาปกติ เด็กหนุ่มกับเด็กสาวก็เอาแต่มองออกมาด้านนอกอยู่เนืองๆ

เหมือนกำลังประหลาดใจว่าคนเก็บกวาดสกปรกตัวน้อยคนนั้น ทำไมวันนี้จึงยังไม่มา

จนเมื่อเงาของสวี่ชิงที่เหนื่อยล้าสะท้อนที่กระโจม เด็กหนุ่มเด็กสาวจึงถอนสายตากลับมา

สาเหตุที่มาสายเป็นเพราะนอกจากสวี่ชิงจะเข้ามาฟังบทเรียนของปรมาจารย์ไป่แล้วยังต้องเข้าไปในพื้นที่ต้องห้าม ขณะที่ออกค้นหาดอกลิขิตฟ้ากับหินขจัดแผลเป็นก็ยังต้องคอยลับฝีมือและร่างกายออกล่าอสูรกลายพันธุ์อีกด้วย

แต่ขั้นตอนการค้นหาก็ไม่ได้ราบรื่นนัก

ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาหาสองสิ่งนี้ไม่พบเลย แต่อันตรายในพื้นที่ต้องห้าม ก็ทำให้สวี่ชิงตระหนักลึกซึ้งขึ้นอีกครั้ง

ต่อให้เขาที่มีเคล็ดคีรีสมุทรขั้นสี่ และมีพร้อมไปด้วยการพิจารณาและการสังเกตที่เฉียบคมของคนเก็บกวาดมือฉมัง ถ้าระวังเสียหน่อยก็ยังรักษาชีวิตหรือกระทั่งออกล่าได้ในพื้นที่ป่ารอบนอก แต่บางครั้งก็เจอกับอันตรายบ้างเหมือนกัน

ครั้งนี้ที่สายก็เพราะเขาไปเจอเข้ากับอสูรกลายพันธุ์ที่ออกมาจากส่วนลึก วิ่งหนีตลอดทั้งคืน รอดมาได้อย่างหวุดหวิด จึงเพิ่งกลับมาถึงช่วงฟ้าสาง

หลังจากกลับมาเขาก็ยังไม่ได้พักผ่อน แต่ไปฟังบทเรียนอยู่เงียบๆ

นอกจากนี้ ช่วงหลายวันมานี้ สวี่ชิงยังได้รับผลประโยชน์เล็กน้อยด้วย นั่นก็คือข้อเสนอรับประกันความปลอดภัยที่ดาบกระดูกเคยเสนอมา

ดาบกระดูกยังใช้ชีวิตได้อย่างดี

นับตั้งแต่ที่เขาซื้อประกันทางนี้ไปครั้งที่แล้ว ทุกครั้งที่จะเข้าพื้นที่ต้องห้ามก็ล้วนแวะเวียนเข้ามาซื้ออีก แม้ว่าหมอกลวงตาจะไม่ได้ปรากฏออกมาอีกเลย สวี่ชิงก็ไม่ได้แสดงฝีมือ

แต่ดาบกระดูกยังคงดึงดัน กระทั่งไม่รู้ว่าไปเล่าต่อกันอย่างไร จึงค่อยๆ มีคนเข้ามาซื้อประกันกับเขามากขึ้น

สวี่ชิงระมัดระวังเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ล้วนไม่สนใจ มีเพียงคนที่เคยช่วยไว้ก่อนหน้านี้เท่านั้นที่เขาตอบรับ

เรื่องนี้ทำให้รายรับของสวี่ชิงเพิ่มมากขึ้น เมื่อรวมกับรายรับจากการล่าในพื้นที่ต้องห้ามของเขา ชีวิตแต่ละวันก็ค่อยๆ ดีขึ้น

ถึงแม้หัวหน้าเหลยจะไม่สามารถออกไปทำภารกิจได้อีก แต่สวี่ชิงก็ให้ค่าเช่าบ้านเสียเยอะแยะ แม้หัวหน้าเหลยจะไม่รับ แต่สวี่ชิงเองก็ยังยืนยัน จนสุดท้ายหัวหน้าเหลยก็จำใจต้องรับไป

เงินก้อนนี้ส่วนใหญ่ หัวหน้าเหลยนำไปใช้กับเรื่องอาหารการกิน ทำให้ทุกครั้งที่สวี่ชิงกลับมาจากพื้นที่ต้องห้าม ก็จะได้ทานกับข้าวกับปลาอุ่นร้อนอยู่เสมอ

และหัวหน้าเหลยก็ยังซื้อเสื้อผ้าบางส่วนให้กับสวี่ชิงอีกด้วย

เสื้อผ้าเหล่านี้ล้วนเป็นของใหม่ สวี่ชิงจึงทำใจใส่ไม่ลง ทุกตัวจึงถูกพับเก็บวางไว้บนชั้นอย่างดี บางครั้งหยิบออกมาดูให้รู้สึกเบิกบานใจ

และช่วงเวลาอาหารของทุกวัน ก็เป็นช่วงเวลาที่สวี่ชิงรู้สึกอบอุ่นที่สุด

เพราะไม่เพียงแต่ได้กินของดีๆ ช่วงนี้หัวหน้าเหลยยังมักทำตัวเหมือนเป็นผู้อาวุโสในครอบครัว พออายุมากขึ้นก็ชอบเล่าเรื่องเพื่อนบ้านบ้าง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในฐานที่มั่นให้ฟังบ้าง

ช่วงนี้กางเขนกับเขี้ยวหงส์ก็กลับมาอยู่เป็นเพื่อนหัวหน้าเหลยพักหนึ่ง จากนั้นก็ออกไปอีกครั้ง

พูดได้ว่า ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่สวี่ชิงพึงพอใจที่สุดในรอบหกปี

มีอาหารร้อนๆ กิน มีเสื้อผ้าใหม่ มีหัวหน้าเหลยเป็นเพื่อน พลังบำเพ็ญพัฒนา ความรู้ด้านสมุนไพรเองก็เพิ่มพูนขึ้น

ดังนั้นนอกจากความพึงพอใจ เขาจึงรู้สึกหวงแหนทุกสิ่งอย่างในตอนนี้มาก ทุกวันที่ไปฟังบทเรียนด้านนอกกระโจม ก็ตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษ

จนกระทั่งวันนี้ สวี่ชิงที่ยืนอยู่นอกกระโจมภายใต้แสงตะวันยามรุ่ง ก็ได้ยินปรมาจารย์ไป่ทดสอบเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่

“เฉินเฟยหยวน เจ้าลองพูดถึงหญ้าสมุนไพรเชียนหนิวราตรีนี้หน่อย”

เฉินเฟยหยวน คือคำเรียกเด็กหนุ่มคนนั้นของปรมาจารย์ไป่ สวี่ชิงรับรู้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว และรู้ว่าชื่อเล่นของเด็กสาวคนนั้นคือถิงอวี้

เมื่อได้ยินคำถามจากปรมาจารย์ไป่ เด็กหนุ่มก็ตอบไม่ได้ หลังจากอึกอักเล็กน้อยก็พูดต่อไปไม่ได้อีก

สวี่ชิงมองไม่เห็นกระโจม แต่ก็จินตนาการถึงใบหน้าที่อยากจะร้องไห้ของอีกฝ่ายที่เห็นจากหางตาทุกครั้งที่กระโจมเปิดออกได้

“ไม่เรียนก็ไร้ซึ่งวิชา ถิงอวี้ เจ้ามาตอบแทน” น้ำเสียงปรมาจารย์ไป่เข้มงวดมาก หันมาเรียกชื่อเด็กสาวให้ตอบ

เพียงแต่ครั้งนี้ ทางเด็กสาวนั้นก็เหมือนเตรียมตัวมาไม่พร้อมอย่างชัดเจนเช่นกัน

“เชียนหนิวราตรี มีอีกชื่อว่า…รากเขาพิษ…อาจารย์ ข้า ข้าจำไม่ได้” เด็กสาวเอ่ยถึงจุดนี้ก็นิ่งงันไป

ในกระโจมเงียบลงทันที เห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์ไป่กำลังคุกรุ่นด้วยโทสะ ตอนนั้นเอง เสียงของปรมาจารย์ไป่ก็ดังขึ้นด้วยความโกรธที่กลั้นไว้ไม่อยู่ สะท้อนก้องออกมา

“เด็กน้อย เจ้ามาตอบ”

สวี่ชิงที่อยู่นอกกระโจมตะลึงงัน ส่งเสียงตอบกลับทันทีด้วยสัญชาตญาณ

“เชียนหนิวราตรี มีอีกชื่อว่ารากเขาพิษหญ้าดอกขาว เป็นรากพร้อมเถาของพืชตระกูลหญ้าดอกขาว ลักษณะเป็นไม้เถา ขึ้นอยู่ตามหุบเขาที่มีร่มเงา ริมธารน้ำเย็นรวมถึงในป่าทึบ รสชาติขมฝาด พอเข้าปากแล้วจะอุ่นเล็กน้อย สัมผัสเปื่อยยุ่ย มีสรรพคุณมหัศจรรย์ในการขับลม แต่หากใช้มากเกินไปจะเป็นพิษ เป็นสมุนไพรที่มีเพียบพร้อมหยินหยาง” สวี่ชิงตอบถึงจุดนี้แล้วหยุดลง

“รับมากเกินไปแล้วจะมีอาการเช่นไร” ปรมาจารย์ไป่เอ่ยถามขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความไม่พอใจเล็กน้อยของเด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งสองคนในกระโจม

“อาการเป็นพิษคือปวดท้อง มึนหัว ตาลาย หากไม่รักษาในหนึ่งเค่อก็จะตาย” สวี่ชิงด้านนอกกระโจมจิตใจตึงเครียด แต่ก็ไม่ชักช้า รีบตอบกลับมาทันที

“แล้วแก้พิษอย่างไร”

“สามารถทำให้อาเจียนเพื่อบรรเทาอาการ ใช้ไข่ขาวรวมไปถึงเกสรดอกเข็มแดง และทำการรักษาในช่วงที่มีแสงตะวันเข้มข้น เวลาในการรักษาห้ามเกินครึ่งชั่วยาม ทำติดต่อกันสามวัน”

จากคำตอบของสวี่ชิง แม้ปรมาจารย์ไป่ในกระโจมจะสีหน้าเรียบเฉย แต่เด็กหนุ่มเด็กสาวข้างๆ กลับเบิกตาค้าง ตกตะลึงเล็กน้อย

“อะไรคือสมุนไพรที่เพียบพร้อมหยินหยาง” ปรมาจารย์ไป่ถามขึ้นอีกครั้ง

“เพียบพร้อมหยินหยาง คือมีสิ่งที่ดีและไม่ดีอยู่ด้วยกัน หยางคือยา หยินคือพิษ” สวี่ชิงตอบกลับอย่างไม่ลังเล สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความรู้ที่เขาได้ยินมาช่วงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังท่องจำมาหลายรอบ จึงคุ้นเคยเป็นอย่างดี

“แล้วเจ้าสิ่งนี้มีคุณสมบัติเช่นไร” ปรมาจารย์ไป่ถามรวดเร็วขึ้น

“ยกตัวอย่างจากเชียนหนิวราตรี เมื่อนำมาใช้ร่วมกับใบฟางชุ่น จะทำให้คุณสมบัติหยางเพิ่มขึ้นเท่าตัว สามารถบรรเทาอาการบาดเจ็บของจิตวิญญาณและไอพลังประหลาดได้บางส่วน แต่ถ้านำไปใช้ร่วมกับดอกขนอ่อน จะทำให้คุณสมบัติหยินเพิ่มขึ้นมหาศาล ความเป็นพิษอยู่ระดับที่คนธรรมดากินลงไปจะตายได้ในสามสิบลมหายใจ”

“แล้วดอกขนอ่อนจัดการอย่างไร”

“รากใบฟางชุ่นมีประโยชน์อะไร” ปรมาจารย์ไป่ถามเร็วขึ้นเรื่อยๆ ความตึงเครียดในใจสวี่ชิงเองก็น้อยลงเรื่อยๆ ตอบกลับมาด้วยความเร็วเช่นเดียวกัน

เป็นเช่นนี้ หนึ่งชราหนึ่งเด็กหนุ่ม ถามตอบข้ามกระโจมกันไปมา เวลาก็ล่วงผ่านไปถึงหนึ่งก้านธูป

คำถามที่ปรมาจารย์ไป่ถามออกมามีมากมาย จนแม้แต่การสอนของหลายๆ วันที่ผ่านมารวมไว้ด้วยกัน ถึงจะสามารถตอบกลับได้ แต่คำถามเหล่าก็ถูกสวี่ชิงตอบกลับอย่างราบรื่น

และเด็กหนุ่มกับเด็กสาวนั้น ก็เปลี่ยนจากตกตะลึงกลายเป็นสั่นสะเทือน มองเงาที่สะท้อนอยู่ด้านนอกอย่างงงงัน

กระทั่งท้ายสุด ปรมาจารย์ไป่ก็ถามคำถามสุดท้ายออกมาในขณะที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวถลึงตาอ้าปากค้าง

“เชียนหนิวราตรีอายุหนึ่งปีสามต้น มารวมกับหญ้าข้ามเมฆาอายุสามปีหกต้น แล้วบวกเข้ากับหญ้าตะขาบน้ำหูเดียวพืชตระกูลกกอายุสิบปีอีกเก้าต้น ตัวยาน้ำที่ปรุงออกมามีสรรพคุณอะไร”

คำถามนี้พอถามออกมา สีหน้าเด็กหนุ่มกับเด็กสาวก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ลมหายใจก็หอบถี่ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เกี่ยวข้องกับเรื่องสมุนไพรง่ายๆ แต่เป็นเรื่องการปรุงยา

คำถามนี้ เป็นคำถามที่สวี่ชิงนิ่งงันไปนานที่สุดในการทดสอบนี้ เขาคิดคำนวนกว่าสามสิบอึดใจ จากนั้นจึงสูดลมหายใจลึก เอ่ยตอบเสียงขรึม

“ความชั่วร้ายยากจะสะกดความถูกต้อง หยางแกร่งกว่าหยิน ผลลัพธ์จากการใช้ร่วมกับหญ้าข้ามเมฆา สามารถทำให้คุณสมบัติการขจัดพิษของหญ้าตะขาบน้ำหูเดียวพืชตระกูลกกเพิ่มไปถึงระดับที่น่าตกใจ” สวี่ชิงพูดจบ ดวงตาเปิดกว้าง ตระหนักถึงอะไรขึ้นมาได้รางๆ

“นี่คือสูตรลูกกลอนพื้นฐานเจ็ดส่วนของลูกกลอนปริวรรตที่อยู่ในกลุ่มลูกกลอนขจัดพิษ ถ้าเพิ่มสมุนไพรอีกสามชนิด อุ่นในไฟอีกเจ็ดชั่วยาม ก็สามารถหลอมมันออกมาได้” เสียงของปรมาจารย์ไป่ดังจากในกระโจมออกมาเรียบๆ

“ทดสอบไปมากมายขนาดนี้ ในใจเจ้าคงมีสิ่งที่อยากสอบถามอยู่บ้างกระมัง”

สวี่ชิงจิตวิญญาณสั่นสะเทือน หายใจหอบถี่

ในเวลาเดือนกว่านี้ เขาที่ทำได้เพียงแอบฟังมีปัญหามากมายที่ไม่เข้าใจจริงๆ แม้ปรมาจารย์ไป่จะใจดีไม่ขัดขวางห้ามปราม แต่ตนเองก็ไม่อยากรบกวนการสอนของอีกฝ่าย จึงสอบถามออกมาไม่ได้

ตอนนี้เมื่อได้ยินปรมาจารย์ไป่เอ่ยปาก สวี่ชิงจึงรีบร้อนจัดเรียงความคิด แล้วถามออกมาทันที

“ปรมาจารย์ไป่ เหยียนสั่วหมากับหนามหน่อตะวันไม่ว่าจะแหล่งกำเนิดหรือสรรพคุณ ก็ล้วนเหมือนกันหมด แล้วสมุนไพรสองชนิดนี้แตกต่างกันอย่างไร

“เหตุใดดอกสะกดวิญญาณจึงห้ามเก็บเกี่ยวตอนกลางวัน

“เห็นๆ อยู่ว่าของเหลวจากหญ้าฟางชุ่นสรรพคุณขับไล่ความชั่วร้าย แล้วเหตุใดจึงใช้ร่วมกับการขับไล่ความชั่วร้ายของกิ่งตาชีวิตไม่ได้กัน”

คำถามของสวี่ชิงพรั่งพรูออกมา ปรมาจารย์ไป่ทยอยตอบ และทุกคำตอบก็อธิบายอย่างละเอียด

และสวี่ชิงก็เหมือนจะถามได้ไม่จบสิ้นอย่างไรอย่างนั้น กระทั่งเวลาล่วงผ่านไปจนเกินเวลาเรียน สวี่ชิงจึงมองไปที่สีท้องฟ้าด้วยความไม่ค่อยพอใจ จำใจต้องหยุดการสอบถามลงท่ามกลางสายตาของเด็กหนุ่มกับเด็กสาวสองคนที่มองตนเหมือนมองอสูรกลายพันธุ์

เขารู้สึกว่า สำหรับตนเองแล้ววันนี้ได้รับสิ่งที่ยิ่งใหญ่จนไม่อาจพรรณนาออกมาได้เลย คำถามในใจของเขากว่าครึ่งถูกแถลงไข กระทั่งมีความรู้สึกถึงบูรณาความเข้าใจร่วมกันขึ้นมาอีกด้วย

สิ่งนี้ทำให้เขาเกิดความกระหายต่อความรู้อย่างแรงกล้า เตรียมที่จะกลับไปจดบันทึกทั้งหมด

ขณะที่กำลังจะปลีกตัวออกไปนั้นเอง ในกระโจมก็มีเสียงเหนื่อยล้าบางส่วนของปรมาจารย์ไป่ลอดออกมา

“หลังจากวันนี้เจ้าไม่ต้องยืนอยู่ด้านนอกแล้ว แล้วก็ไม่ต้องหาสมุนไพรมั่วๆ มาด้วย จากพรุ่งนี้ไป เจ้าเข้ามาเรียนในกระโจมได้เลย”

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท