บทที่ 29 ลาลับไปจากสายตา
คนชุดคลุมดำเหล่านี้ ล้วนมีรูปร่างสูงใหญ่ ชุดคลุมดำปกคลุมทั้งตัวรวมถึงใบหน้า มองหน้าตาที่อยู่ด้านในของพวกเขาไม่ออก
สายตาเย็นชาที่ลอดออกมาจากชุดคลุมดำบางครั้ง ทำให้จิตใจพวกคนเก็บกวาดเดนตายที่คอยมองอยู่รอบๆ สั่นสะเทือน
สายตาของคนชุดดำเหล่านี้แฝงความเฉยชากับชีวิต ไม่มีประกายอย่างที่มนุษย์ควรจะเป็นอยู่เลย ราวกับว่าพวกเขาเป็นเพียงเครื่องจักรสังหารเท่านั้น
พวกเขาที่ยืนอยู่ที่นั่น ทำให้กระทั่งอากาศร้อนในเดือนหกก็ยังถูกบางสิ่งที่ไร้รูปลักษณ์พัดสลายไป จนทำให้ด้านนอกร้านชำตกอยู่ท่ามกลางความหนาวเย็น
และสวี่ชิงก็รู้สถานะของพวกเขามาจากคำซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์ของคนเก็บกวาดรอบด้านขณะที่มาถึง
“นี่เป็นกลุ่มคุมกฎจากลัทธินอกวิถี!”
“ลัทธินอกวิถี…นั่นเป็นกลุ่มคนบ้าเลยนะ พวกเขาไม่ค่อยปรากฏตัวในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดนี่ ครั้งนี้ทำไมถึงเข้ามากัน”
“ได้ยินว่ามาหาคนนะ ค้นหาไปทั่วเมืองทั้งหมดในพื้นที่นี้รวมถึงฐานที่มั่นคนเก็บกวาดแล้วด้วย”
เสียงรอบด้านลอดเข้ามาในหูสวี่ชิง ดวงตาเขาค่อยๆ หรี่ลง เมื่อพลิกมือเหล็กแหลมก็ปรากฏออกมา จ้องมองไปยังร้านชำอย่างเย็นชา และขณะที่เขามองไป ในร้านชำก็มีคนเดินออกมาสามคน
ด้านหน้าสองคน สูงคนหนึ่งเตี้ยคนหนึ่ง
ร่างสูงนั้นลำตัวยืดตรงไหล่ผึ่งผาย ราวกับเป็นกระบี่แหลมคมออกจากฝักที่อาบไปด้วยเลือดเล่มหนึ่ง
สวมเสื้อสีเลือด รูปดวงตะวันบนอาภรณ์กลับเป็นสีดำต่างจากกลุ่มผู้คุมกฎลัทธินอกวิถีด้านนอก บนศีรษะเวลานี้ไม่มีการปกปิด เผยให้เห็นผมดำขลับและเค้าโครงใบหน้าชัดเจน
นั่นเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง
พริบตาที่เขาเดินออกมา คนทั้งหมดของกลุ่มคุมกฎลัทธินอกวิถีด้านนอกก็ล้วนเคลื่อนไหวแบบเดียวกัน ทั้งหมดก้มหัวลง นั่งชันเข่าข้างหนึ่ง
เมื่อเห็นฉากนี้ สวี่ชิงดวงตาเครียดขึง กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวอีกฝ่ายทำให้เขาสัมผัสได้เหมือนตอนที่พบสัตว์ร้ายแข็งแกร่งในส่วนลึกของป่า
ส่วนข้างกายชายหนุ่ม ร่างเตี้ยร่างนั้นก็คือเด็กสาวนั่นเอง
บนหน้านางเวลานี้มีรอยยิ้มเบิกบานอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ออกแรงกุมมือชายหนุ่ม
มองจากอายุ อีกฝ่ายดูเหมือนจะเป็นพี่ชายนาง และความเย็นชาเคร่งขรึมบนตัวชายหนุ่มตอนที่ก้มหน้าลงมามองเด็กสาว ก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนอย่างมาก เพียงแต่ความเสียใจที่ยากจะสลายไปกลับยังคงฉายชัด
ราวกับเป็นญาติที่หายไปจากหายนะครั้งใหญ่
ด้านหลังพวกเขาคือเจ้าของร้านชำคนนั้น เขามีสีหน้าประจบสอพลอ เดินตามหลังอย่างระมัดระวัง เอ่ยสนทนาด้วยเสียงเบา
สวี่ชิงที่เห็นทั้งหมด ค่อยๆ เก็บเหล็กแหลม จากนั้นจึงลูบไปยังก้อนหินเล็กในถุงหนัง ลังเลเล็กน้อย
ขณะเดียวกัน เด็กสาวที่เดินออกมาจากร้านชำ ก็มองเห็นสวี่ชิงในฝูงคน
นางรีบร้อนเอ่ยกับชายหนุ่มข้างกายเล็กน้อย จากนั้นเด็กสาวก็ปล่อยมือออกแล้ววิ่งมาทางสวี่ชิงขณะที่สายตาพิจารณาของชายหนุ่มจ้องเขม็งมาที่เขาเช่นกัน
คนเก็บกวาดข้างๆ สวี่ชิง ก็หลีกตัวถอยด้วยสัญชาตญาณ ทำให้เด็กสาววิ่งมาอยู่ด้านหน้าสวี่ชิงได้อย่างราบรื่น เข้ามาบอกลาเขา
“พี่ชายข้ามารับข้าแล้ว พี่เด็กน้อย ท่านอยากไปกับข้าด้วยหรือไม่”
ในการบอกลานี้ เด็กสาวจ้องมองสวี่ชิงอย่างคาดหวัง
สวี่ชิงส่ายศีรษะ
เด็กสาวที่ได้รับคำตอบก็ผิดหวังเล็กน้อย นางมองสวี่ชิงผาดหนึ่ง จากนั้นใบหน้าก็เผยรอยยิ้มมาอีกครั้ง
“ไม่เป็นไร รอข้าโตเสียก่อน พวกเราก็ยังสามารถพบกันได้อีก พี่เด็กน้อย ข้าเคยพูดไว้แล้วว่าจะตอบแทนบุญคุณที่ท่านช่วยชีวิตไว้ ข้าทำได้แน่นอน
“ข้าต้องไปกับพี่ชายแล้ว พี่ชายข้าดีกับข้ามาก อยากได้อะไรเขาก็จะหามาให้ข้าได้ทั้งสิ้น ท่านก็มีพี่ชายใช่หรือไม่”
เด็กสาวพูดเยอะมาก ขณะกำลังพูด ชายหนุ่มด้านนอกร้านชำก็ร้องเรียกนาง
“ข้าต้องไปแล้วนะ พี่ชายเด็กน้อย”
เด็กสาวมองสวี่ชิง สองเดือนกว่าที่นางอยู่ในฐานที่มั่นแห่งนี้ ความคุ้นเคยเพียงหนึ่งเดียวก็คือคนตรงหน้า เวลานี้ในใจจึงเกิดความอาลัยอาวรณ์
สวี่ชิงมองเด็กสาวผาดหนึ่ง ล้วงเอาหินก้อนเล็กเจ็ดสีก้อนหนึ่งออกมาจากในถุงหนัง ส่งให้นาง
“หินก้อนนี้สามารถขจัดรอยแผลเป็นได้ ข้าให้เจ้า”
เด็กสาวตกตะลึง ถือก้อนหินมองไปทางสวี่ชิง เหมือนจะพูดอะไรแต่ก็หยุดชะงัก และพี่ชายนางก็ร้องเรียกขึ้นอีกครั้ง สุดท้าย เด็กสาวจึงมองสวี่ชิงลึกซึ้งผาดหนึ่ง กุมหินเจ็ดสีในมือแล้วกลับไปอยู่ข้างชายหนุ่ม เดินจากไปท่ามกลางการห้อมล้อมของกลุ่มคนชุดดำ
ระหว่างทาง นางหันหน้ากลับมารอบหนึ่ง โบกมือให้กับสวี่ชิง
สวี่ชิงโบกมือเช่นเดียวกัน มองส่งเด็กสาวที่เหมือนจะมีรอยยิ้มสดใสอยู่ตลอดเวลาเดินจากไป เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายออกไปจากที่นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
“ขอให้ โชคดีนะ”
พูดจบสวี่ชิงก็หมุนตัว เดินไปทางที่พัก
และใช้ชีวิตดังเช่นที่ผ่านมา ทำอาหารเงียบๆ กินไปเงียบๆ เก็บกวาดเงียบๆ นั่งสมาธิเงียบๆ เรียนไปเงียบๆ
วันเวลาผ่านไป ชีวิตเช่นนี้ก็ผ่านไปเจ็ดวัน
ท่าทางสวี่ชิงเองก็กลับไปสภาพเดียวกับขณะอยู่ในถ้ำยาจกแล้ว และเขายังตระหนักได้ว่าปรมาจารย์ไป่…ก็น่าจะไม่อยู่ในฐานที่มั่นนานนักเช่นกัน
จุดนี้ สวี่ชิงเริ่มคาดเดาได้ตั้งแต่ที่ขบวนรถของปรมาจารย์ไป่เริ่มเก็บของเมื่อสองสามวันก่อน
ปรมาจารย์ไป่เคยพูดกับเขา พวกเขามาจากผืนอินทนิล และผืนอินทนิล…สวี่ชิงก็ได้ยินคนมากมายเอ่ยถึง ที่นั่นคือศูนย์กลางของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ
จนกระทั่งเช้าตรู่วันนี้ ตอนสวี่ชิงมาถึงกระโจมปรมาจารย์ไป่ เขาไม่เห็นองครักษ์คนใด และไม่เห็นเฉินเฟยหยวนกับถิงอวี้ด้วย
ในกระโจม มีเพียงปรมาจารย์ไป่คนเดียวเท่านั้น
สวี่ชิงมีคำตอบแล้วในใจ
ปรมาจารย์ไป่สอนเนื้อหาคาบนี้อย่างละเอียด สวี่ชิงฟังอย่างตั้งใจ แต่เวลาก็ยังผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็ถึงเวลาเลิกเรียน ปรมาจารย์ไป่มองสวี่ชิ่งที่เงียบนิ่งตรงนั้น ถอนหายใจเบาออกมาเสียงหนึ่ง
“ข้าจะไปแล้ว
“ก่อนหน้าจะไป ข้าจะสอนความรู้ที่จะช่วยเหลือชีวิตเจ้าในอนาคตได้เสียหน่อยแล้วกัน เนื่องจากข้อจำกัดของคำสาบาน ข้าคงบอกกับเจ้าตรงๆ ไม่ได้ เจ้าจะชำนาญได้เพียงใดก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าแล้ว” ปรมาจารย์ไป่มองสวี่ชิงลึกซึ้งผาดหนึ่ง
สวี่ชิงตาแข็งค้าง จ้องมองไปทางปรมาจารย์ไป่
พริบตาที่ตาของทั้งสองคนสบกัน คำพูดที่แผ่วเบาของปรมาจารย์ไป่ก็ดังก้องขึ้นในกระโจม
“เด็กน้อย เจ้านำเอาสมุนไพรที่ข้าเคยพูดถึงในวันที่สาม วันที่เจ็ด วันที่สิบเอ็ด วันที่สิบห้า วันที่สิบเจ็ดรวมไปถึงวันที่สิบเก้า หกวันนี้ ใช้อัตราหนึ่งต่อสองต่อสี่ ปรุงเข้ากับหญ้าเจ็ดใบในปริมาณเท่ากัน ผ่านการหลอมด้วยความร้อนต่อเนื่อง ก็สามารถหลอมสิ่งที่คนมากมายต้องการบนโลกใบนี้…ลูกกลอนขาวที่มีค่าเท่าเหรียญวิญญาณนั่น!”
พอพูดออกมา สวี่ชิงเบิกตาโพลง หอบหายใจถี่ขึ้นมา
ตัวเขาเวลานี้ไม่ใช่คนที่ไม่เข้าใจเรื่องสมุนไพรก่อนหน้านี้แล้ว การเรียนเกือบสองเดือนที่ผ่านมา ทำให้เข้าใจคุณค่าของตำรับยาบนโลกใบนี้!
เช่นนั้นนี่คือทรัพยากรที่ล้ำค่าที่สุดที่อยู่ในมือขั้วอำนาจใหญ่ๆ ตระกูลดัง!
โดยเฉพาะ…ลูกกลอนขาวที่อยู่ในสกุลเงินตราพื้นฐาน มูลค่าความยิ่งใหญ่ของยาตำรับนี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะเปิดเผยออกไปภายนอกง่ายๆ
และเมื่อเชี่ยวชาญวิธีการหลอมลูกกลอนขาว กระทั่งเขาไม่จำเป็นต้องมีพลังบำเพ็ญสูงส่ง เพียงแค่ยาตำรับนี้ เขาก็สามารถมีชีวิตที่ดีมากได้
นี่มันบุญคุณครั้งใหญ่!
สวี่ชิงร่างกายสั่นเบาๆ มองปรมาจารย์ไป่ตรงหน้า เห็นผมขาวจอนขมับของเขา มองดวงตาที่อบอุ่นนั่น สมองก็ปรากฏภาพแต่ละฉากของสองเดือนนี้ที่ผ่านมา
จากแอบฟังอยู่นอกกระโจม จนได้เข้าเรียนในกระโจม การสั่งสอนปลูกฝังของอีกฝ่าย ทำให้คำพูดหมื่นล้านคำในใจ แปรเปลี่ยนเป็นซาบซึ้งและอาลัยอาวรณ์อย่างหนักหนาสาหัส
สุดท้ายจึงก้มหน้าลงต่ำ คารวะนอบน้อมอย่างลึกซึ้งไปทางชายชราที่ดูเหมือนเคร่งขรึมแต่จิตใจอบอุ่นตรงหน้าคนนี้
“ขอบคุณ…ท่านอาจารย์”
ถ้าหากกล่าวว่าหัวหน้าเหลยให้ความรู้สึกเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่แล้วล่ะก็ เช่นนั้นปรมาจารย์ไป่ตรงหน้าคนนี้ก็เป็นเช่นปรมาจารย์ที่มอบทักษะการเอาตัวรอดสำคัญยิ่งบนโลกใบนี้ให้แก่เขา
ปรมาจารย์ไป่มองการคารวะของสวี่ชิง บนหน้าก็เผยรอยยิ้ม และยังสังเกตถึงอารมณ์ของสวี่ชิงอีกด้วย จึงยิ้มออกมา
“เด็กน้อย ที่ข้าทำกับเจ้าเช่นนี้เป็นเพราะเจ้าตั้งใจเรียน และมีความเข้าใจลึกซึ้ง แล้วข้าก็รังเกียจพวกที่กำหนดมาว่าห้ามตำรับยารั่วไหลอย่างมากอีกด้วย
“แต่บางครั้ง สถานะของข้าก็ทำให้ข้าไร้ซึ่งอิสระ เจ้าก็ไม่ใช่คนที่ข้าถ่ายทอดวิถีสมุนไพรและตำรับยาให้เป็นคนแรกหรอกนะ ข้าเดินทางไปทั่วปักษาสวรรค์ทักษิณ ถ่ายทอดไปก็มากมาย วิถีสมุนไพรของเผ่ามนุษย์จะตกต่ำลงด้วยกำแพงตัวตนฐานะไม่ได้
“สุดท้าย ระหว่างพวกเรา…เจ้าต้องรู้เอาไว้ ว่าฟ้าดินคือที่พักของสรรพชีวิต แสงสว่างความมืดเป็นแขกที่ผ่านไปมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอแค่ยังไม่ตาย ในที่สุดก็จะได้พบกัน ข้าหวังว่าวันนั้นที่ได้เจอเจ้าอีก เจ้าจะกลายเป็นคนมีความสามารถนะ”
คำพูดเหล่านี้ของปรมาจารย์ไป่แฝงไว้ด้วยความหมายลึกซึ้ง โดยเฉพาะคำพูดช่วงสุดท้าย เป็นประโยคที่สวี่ชิงได้ยินแล้วรู้สึกมีความหมายหยั่งลึกที่สุดในหลายปีมานี้ เขาจัดการจดจำมันไว้ขึ้นใจ
วันเดียวกัน ขบวนรถของปรมาจารย์ไป่ก็ออกไปแล้ว ก่อนออกเดินทาง ปรมาจารย์ไป่มอบตำรายาสมุนไพรหนาๆ เล่มหนึ่งไว้ให้สวี่ชิงได้ศึกษาด้วยตนเอง
สวี่ชิงมาส่งจนถึงด้านนอกฐานที่มั่น จ้องมองขบวนรถที่แล่นห่างออกไปอย่างเหม่อลอย และมองเห็นเงาของถิงอวี้ในขบวนรถ คอยหันหน้ากลับมามองเขาอยู่เนืองๆ
ท่ามกลางแสงอัสดง ออกห่างไปเรื่อยๆ
เงาของชายหนุ่มถูกลากยาวภายใต้แสงสายัณห์ เขายืนอยู่ตรงนั้นอยู่นาน จึงค่อยๆ หมุนตัวกลับเข้ามาในฐานที่มั่น
ฐานที่มั่น ไม่ได้แตกต่างจากเดิมเพราะการจากไปของคนไม่กี่คน
ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ยังคงสกปรก ยังคงมีคนอยู่มากมายหลายประเภท เสียงกระโชกโฮกฮากของชายชรา เสียงร้องไห้งอแงของเด็กๆ มีเสียงหัวเราะร่าของชายฉกรรจ์ และมีเสียงหอบหายใจของหญิงสาวอีกด้วย
ความผันผวนในชีวิตคน ก็ราวกับเงาที่เบาบางลงในฐานที่มั่นใต้แสงโพล้เพล้
สวี่ชิงเดินอยู่ด้านใน ไม่ได้กลับไปที่พักทันที และเดินมาถึงร้านชำโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว มองเห็นพนักงานใหม่ที่มาแทนเด็กสาว เขาซื้อสุรามากาหนึ่ง
เขาหิ้วกาสุรากลับไปที่พัก คืนนี้สวี่ชิงไม่ได้ทำกับข้าว
เขามองห้องที่ว่างเปล่า นั่งก้มหน้ามองกาสุรา ผ่านไปพักหนึ่งจึงยกขึ้น วางบนริมฝีปากแล้วกระดกดื่มเข้าไปอึกใหญ่
รสชาติร้อนแรงไหลผ่านคอหอยลงกระเพาะ ตอนที่แผ่ซาบซ่านกระจายไปทั่วร่าง จู่ๆ สวี่ชิงก็รู้สึกว่า สุราที่ตอนแรกดูไม่ใช่สิ่งที่อร่อยนัก วันนี้เหมือนมีรสชาติขึ้นมาบ้างแล้ว
ดังนั้น เขาจึงดื่มลงไปอีกอึก
อึกแล้วอึกเล่า
หัวสมองที่มึนเบลอเล็กน้อย ปรากฏภาพหกปีที่ผ่านมาในถ้ำยาจก ภาพเงาของหัวหน้าเหลยเดินเข้าประตูเมือง ภาพขบวนรถปรมาจารย์ไป่ที่จากไป ภาพของเด็กสาวที่เดินจากไปฉากหนึ่ง
ประโยคนั้นที่อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนจากไป
“ท่านเองก็มีพี่ชายใช่หรือไม่”
“ข้าเองก็มีพี่ชายคนหนึ่ง แต่หาไม่เจอแล้ว” สวี่ชิงหยิบกาสุรา พิงกำแพง เงยหน้ามองไปยังดวงจันทร์ด้านนอก งึมงำเสียงแผ่วเบา
ด้านนอกห้องเขา ชายชราชุดคลุมม่วงกับคนติดตามยืนฟังอยู่เงียบๆ อยู่ตรงนั้น จนถึงตอนที่เสียงของเด็กหนุ่มเอ่ยงึมงำออกจากในห้อง
“ฟ้าดินคือที่พักของสรรพชีวิต แสงสว่างความมืดเป็นแขกที่ผ่านไปมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
“ขอแค่ยังไม่ตาย ก็จะได้พบกันอีก”