ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 34 เจอกันโดยบังเอิญ

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 34 เจอกันโดยบังเอิญ

ในหมู่ศาลเจ้า ซากศพกลาดเกลื่อน

มีศพขององครักษ์ มีศพผู้ติดตาม และมีศพของผู้เยาว์ที่เข้าใจความอันตรายของพื้นที่ต้องห้ามแต่เพียงในตำรา บนใบหน้าพวกเขาล้วนประทับความหวาดกลัวในยามมีชีวิตเอาไว้ มองท้องฟ้าอย่างไร้ชีวิต

นอกจากนั้นก็เป็นแมงกะพรุนที่ตายไปแล้ว

แมงกะพรุนเมื่อตายไปแล้วก็จะกลายเป็นวัตถุในสภาวะโคลนสีเทา ไม่เหมือนกับมนุษย์ ทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งออกมาเป็นระลอกๆ ต่างจากความงดงามพร่างพรายในตอนที่มีชีวิตอยู่ไปโดยสิ้นเชิง

ในขณะเดียวกันยังส่งไอพลังประหลาดเข้มข้นเป็นอย่างยิ่งออกมาโจมตีรอบๆ กัดกินทุกสิ่ง

และเคราะห์ภัยที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป

ฝูงแมงกะพรุนรุกไล่ตามการล่าถอยอย่างตื่นกลัวลนลานของเหล่าเด็กหนุ่มสาวกลุ่มนี้ไปอย่างรวดเร็ว รอบนอกผืนป่าพื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้ การฆ่าสังหารและความตายยังคงดำเนินต่อไป

ยามที่สวี่ชิงมาถึงหมู่ศาลเจ้า ก็เป็นเวลาหนึ่งชั่วยามหลังจากนั้นไปแล้ว

เดินเข้ามาในหมู่ศาลเจ้า สวี่ชิงมองศพที่เกลื่อนกลาดบนพื้น อารมณ์บนใบหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก

ศพ เขาเห็นมามากมายเหลือเกินแล้ว

ผ่านร่างขององครักษ์และผู้ติดตามที่อยู่ไปทั่วทุกที่ สวี่ชิงเก็บแมงกะพรุนที่ตายไปแล้วบางตัว เตรียมกลับไปศึกษาค้นคว้าสักหน่อย

สำหรับสิ่งของในตัวของศพเหล่านี้ก็ถูกกัดกินโดยไอพลังประหลาดเข้มข้นที่เกิดขึ้นหลังจากแมงกะพรุนตายไปแล้วทั้งหมด ใช้การไม่ได้แล้ว

จวบจนกระทั่งสวี่ชิงเดินมายังข้างๆ ศพๆ หนึ่ง ฝีเท้าของเขาก็พลันหยุดลง

นี่เป็นศพของชายชราคนหนึ่ง ที่หน้าอกมีรูใหญ่ เลือดที่ไหลออกมาแห้งไปแล้ว ในดวงตาหม่นแสงที่เบิกโพลงคู่นั้นคล้ายความเสียดายในยามมีชีวิตจะยังคงหลงเหลืออยู่

มองศพศพนี้ สวี่ชิงถอนหายใจเบาๆ

เขาไม่ใช่เทพ ดังนั้นต่อให้อีกฝ่ายซื้อประกันของเขา แต่ก็ไม่มีทางรับประกันความปลอดภัยของอีกฝ่ายได้โดยสมบูรณ์ โดยเฉพาะในยามที่หมอกยังไม่ปรากฏขึ้นยิ่งเป็นเช่นนั้น

หลังจากที่นิ่งงันไป สวี่ชิงก็ย่อตัวลง ปิดตาที่เบิกโพลงของตาแก่หัวแข็ง แล้วฝังเขา

ไม่มีป้ายหลุมศพ เพราะหัวหน้าเหลยเคยบอกเอาไว้ คนเก็บกวาดในยามที่มีชีวิตล้วนไม่มีญาติกันทั้งนั้น ไม่ต้องเซ่นไหว้

ธุลีสู่ธุลี ดินสู่ดิน

นี่ก็คือชีวิตของคนเก็บกวาด ยามมีชีวิตอยู่ก็ดิ้นรนในโลก เมื่อตาย…แค่เงียบสงบก็พอแล้ว

ความเงียบเหงาเศร้าโศกเช่นนี้ ความจริงแล้วก็เป็นจุดจบของคนเก็บกวาดส่วนมากทั้งนั้น

ยืนอยู่หน้าหลุมศพของตาแก่หัวแข็ง สวี่ชิงมองไปยังที่มั่นรอบนอกพื้นที่ต้องห้ามที่อยู่ที่ไกลๆ นึกย้อนถึงชีวิตในช่วงสองสามเดือนนี้

เขามาถึงฐานที่มั่นคนเก็บกวาดแห่งนี้ได้เป็นเดือนที่สี่แล้ว

หัวหน้ากลุ่มเงาโลหิตตายแล้ว อีกาเพลิงตายแล้ว เจ้าอ้วนเจ้าม้าตายแล้ว ผีเถื่อนตายแล้ว ตาแก่หัวแข็งตายแล้ว หัวหน้าเหลยรามือ ดาบกระดูกรนหาที่ตาย และยังมีคนเก็บกวาดที่มากกว่านี้ตายจากไปอย่างเงียบๆ

โลกาวินาศอันโหดร้าย ชีวิตคนไร้ค่าไร้ราคา

“มีเพียงตัวเองต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นถึงจะมีชีวิตรอดต่อไปได้” สวี่ชิงพึมพำ สีหน้าค่อยๆ เย็นชาขึ้น หันหลังเดินจากไป

ตอนนี้แสงอาทิตย์ยามสนธยา ลมพัดมาทำให้เสื้อของเด็กหนุ่มที่จากไปไกลสะบัดปลิว

เสียงนี้เหมือนแฝงไว้ด้วยความเย็นชานิดๆ ค่อยๆ เบาลง แล้วตามเงาร่างนี้หายไปในป่าพร้อมกัน

แสงยามโพล้เพล้สาดส่อง ประกายแสงสว่างค่อยๆ อ่อนลง แต่ก็ยังคงพยายามส่องผ่านใบไม้หนาทึบ อยากจะส่องแสงอันน้อยนิดไปบนร่างของเด็กหนุ่มที่วิ่งทะยานในป่าคนหนึ่ง

แต่เด็กหนุ่มเร็วเหลือเกิน แสงเหมือนจะไล่ตามอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่บ้าง

ไม่นาน จู่ๆ ฝีเท้าของสวี่ชิงก็หยุดชะงัก หลังจากที่หยุดเขาก็ก้มมองพื้น ในดวงตาฉายแววฉงน

ไม่นาน สวี่ชิงก็ย่อตัวลง ดมอย่างละเอียด สุดท้ายสายตาก็จับจ้องไปที่ใบไม้ใบหนึ่ง บนนั้นมีผงแป้งที่ยากจะสังเกตเห็นได้กลุ่มหนึ่ง

หากไม่ใช่ว่าสวี่ชิงมีความรู้เรื่องสมุนไพรพิษอย่างถ่องแท้ และรู้กลิ่นของพื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้เป็นอย่างดีแล้วล่ะก็ น่ากลัวว่าคงยากจะสังเกตถึงความผิดปกติ

ตอนนี้ก็วิเคราะห์เป็นเวลานาน เขาถึงได้หยิบใบไม้ที่เปื้อนผงแป้งขึ้นมา หลังจากที่รวบรวมสมาธิอยู่ครู่หนึ่งก็พูดพึมพำ

“ไม่รู้ส่วนประกอบโดยละเอียด แต่ข้างในจะต้องมีเลือดของตะขาบวงรอบแน่นอน!”

ในดวงตาสวี่ชิงมีประกายแสงฉายวาบขึ้นมา วิชาของปรมาจารย์ไป่มีพูดถึงเรื่องตะขาบวงรอบ

เลือดชนิดนี้มีสรรพคุณยาในระดับหนึ่ง แต่เหนือกว่านั้นคือเป็นตัวเร่งปฏิกริยา ดังนั้นเมื่อรวมกับยาอื่นๆ ก็จะสามารถปรุงเป็นตัวยาที่เอาไว้ดึงดูดสัตว์พิเศษ มักจะเป็นที่ต้องการในยามล่าสัตว์

“การมาเยือนของแมงกะพรุนพวกนั้นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ” สวี่ชิงหรี่ตา วางใบไม้ที่อันตรายร้ายกาจใบนี้ลง หยิบผงพิษห่อหนึ่งออกมาแล้วโปรยไปบนร่าง

หลังจากที่ใช้มันลบล้างกลิ่นเลือดตะขาบวงรอบที่เปื้อนเมื่อครู่ ร่างเขาก็ไหววูบ เปลี่ยนทิศทางในการเคลื่อนไปข้างหน้า

สวี่ชิงไม่คิดจะมุ่งหน้าไปยังทางที่เด็กหนุ่มสาวที่ตาแก่หัวแข็งพามาเหล่านั้นถอยหนี เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวพันด้วย

ต่อให้ในคนพวกนี้มีสหายของเฉินเฟยหยวน เขาก็ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องไปช่วย อีกทั้งข้างกายคนพวกนี้ยังมีผู้แข็งแกร่งที่สามารถสู้กับแมงกะพรุนตัวใหญ่ได้ สำหรับสวี่ชิงก็เป็นอันตรายเช่นกัน

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ในบรรดาเด็กหนุ่มสาวพวกนี้ มีความเป็นไปได้ว่ามีคนจงใจล่อแมงกะพรุนมา จุดประสงค์คืออะไรไม่อาจทราบได้

ดังนั้นหลังจากจับตำแหน่งของพวกเขาได้ สวี่ชิงก็เปลี่ยนทิศทาง อ้อมออกไป เมื่อฟ้ามืดแล้วจึงกลับมายังห้องยาในหุบเขาอีกครั้ง

หลังจากวางสมุนไพรที่เก็บเกี่ยวกลับมาเรียบร้อย เขาก็มาศึกษาวิจัยลูกกลอนขาวต่อ

เพียงแต่ แม้ว่าสวี่ชิงจะไม่ได้ไปยังบริเวณที่เด็กหนุ่มสาวเหล่านั้นล่าถอย แต่ในยามดึก สวี่ชิงที่ปรุงสมุนไพรอยู่ในห้องยาก็ยังได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวและเสียงคำรามสังหารมาจากที่ไกลๆ อีกทั้งยังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นี่ทำให้เขาขมวดคิ้วขึ้นมา

จวบจนเมื่อเสียงฝีเท้าดังมา สวี่ชิงก็แอบถอนหายใจ

เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องยา อาศัยแสงจันทร์มองไปยังปากทางเข้าหุบเขา ตรงนั้นมีเสียงตื่นเต้นยินดีดังลอยมา

“ตรงนี้มีทาง!!”

“ทุกคนรีบเข้ามาเร็วเข้า”

ร่างที่ปรากฏขึ้นตามเสียงที่ดังขึ้นมาเป็นผู้เยาว์ที่เสื้อผ้าขาดวิ่นน่าอเนจอนาถหลายคน

ใบหน้าของเขามีแววตื่นตระหนก ข้างหลังยังมีอีกสิบกว่าคน ส่วนมากเป็นสหายร่วมทางที่อายุพอๆ กับพวกเขา แล้วก็ยังมีองครักษ์ที่ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผลอีกเจ็ดแปดคน

ทั้งหมดรวมแล้วยี่สิบกว่าคน หลังจากที่วิ่งเข้ามาในหุบเขาแล้ว ยามที่องครักษ์เหล่านั้นเฝ้าที่ปากทางเข้าอย่างถวายชีวิต เด็กหนุ่มสาวที่รอดคราวเคราะห์มาได้ก็ต่างถอนใจโล่งอก ในขณะเดียวกันก็สังเกตสภาพภายในหุบเขา

พวกเขามองเห็นห้องยาของสวี่ชิงได้อย่างรวดเร็ว แล้วมองเห็นสวี่ชิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยเช่นกัน

“มีคน!”

ในเสี้ยวพริบตาที่มองเห็นสวี่ชิง เด็กหนุ่มสาวเหล่านี้ก็เหมือนนกหวาดเกาทัณฑ์ ถอยหลังไปทันทีท่ามกลางเสียงตื่นตระหนก องครักษ์ที่อยู่ข้างหลังมีสามคนบินมาถึงอย่างรวดเร็ว พลางมองไปทางสวี่ชิงอย่างระแวงระวังและดุดัน

สังเกตได้ถึงสายตาของพวกเขา แววตาของสวี่ชิงก็เปลี่ยนมาเย็นเยียบ หลังจากที่เขากวาดสายตามององครักษ์สามคนนี้อย่างเย็นชาแล้วก็มองไปทางเด็กหนุ่มสาวกลุ่มนั้น ในนั้นมีอยู่สองคนที่เป็นจุดสนใจมากสักหน่อย

หนึ่งในนั้นคนหนึ่งอายุมากกว่าเขาเล็กน้อย อายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดเห็นจะได้ แม้สภาพจะน่าสังเวชอเนจอนาถ แต่ไม่เหมือนกับคนอื่น ความแตกตื่นลนลานบนใบหน้าของเขาน้อยมาก กลับมีความระแวดระวังมากกว่า

อีกคนหนึ่งเป็นเด็กสาว หน้าตาแม้จะสวยหวาน เสื้อผ้าแม้จะสกปรกอีกทั้งใบหน้ายังแฝงด้วยความตื่นกลัว แต่สวี่ชิงที่คุ้นชินกับอารมณ์ต่างๆ ของมนุษย์เป็นอย่างดี เพียงแวบเดียวก็มองออกว่าความตื่นกลัวของคนคนนี้เป็นของปลอมเสียส่วนใหญ่

โดยเฉพาะ…มือขวาของเด็กสาวคนนี้สวมถุงมืออยู่ มองแล้วเหมือนเพื่อความสะอาด แต่สำหรับสวี่ชิงที่ใช้พิษแล้ว ประโยชน์ของถุงมือมีมากมาย

ยกตัวอย่างเช่น โรยผงยา

‘องครักษ์แปดคน พลังบำเพ็ญอยู่ในระดับรวมปราณระหว่างขั้นหกถึงเจ็ด คนอื่นๆ พลังบำเพ็ญอยู่ที่ขั้นห้าลงไป แบ่งเป็นสามกลุ่มเล็กๆ

‘มีแค่สองคนนั้น พลังบำเพ็ญของผู้ชายเหมือนจะอยู่ที่ขั้นเจ็ด ผู้หญิง…น่าจะเป็นคนที่ล่อแมงกะพรุน ส่วนผู้แข็งแกร่งที่สู้กับแมงกะพรุนเหล่านั้นไม่อยู่ในนี้ คงจะล่อแมงกะพรุนตัวใหญ่ไป’

นี่คือความเคยชินของสวี่ชิง ส่วนเด็กหนุ่มสาวเหล่านั้นไม่มีทางคิดได้ถึงเลยว่าสวี่ชิงแค่กวาดตาก็มองเห็นรายละเอียดได้มากมายขนาดนี้

แต่องครักษ์เหล่านี้เห็นได้ชัดว่าแตกต่างออกไปจากเด็กหนุ่มสาวเหล่านั้น พวกเขาสัมผัสได้ถึงความเย็นชาในสายตาของสวี่ชิง และเมื่อมองห้องยาผ่านๆ ในใจก็ระแวงระวังขึ้นมาอย่างรุนแรง

สามารถหาหุบเขาเช่นนี้ในเขตพื้นที่ต้องห้ามได้ อีกทั้งยังสร้างห้องไว้ในหุบเขา ทุกอย่างล้วนบ่งบอกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่แค่คุ้นชินกับพื้นที่ต้องห้ามเท่านั้น แต่ยังอาศัยอยู่ที่นี่อีกด้วย

คนแบบนี้อันตรายเป็นอย่างมาก

“สหายเต๋า ผู้ใหญ่ในบ้านเจ้าอยู่หรือไม่ พวกเราไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแต่ข้างนอกมีอสูรกลายพันธุ์ไล่โจมตี ดังนั้นจึงขอยืมที่นี่หลบซ่อนตัว

“ทันทีที่ฟ้าสาง พวกเราจะไปทันที เรื่องที่รบกวนขอโปรดอภัย”

องครักษ์เหล่านี้น้ำเสียงเกรงอกเกรงใจไปโดยสัญชาตญาณ

น้ำเสียงของพวกเขาก็ทำให้เด็กหนุ่มสาวที่ตื่นตระหนกขวัญหายข้างหลังเหล่านั้นรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล จึงต่างพากันมองมาทางสวี่ชิง

เด็กหนุ่มที่อายุมากที่สุดในนั้นมองสวี่ชิงนานหน่อย สีหน้าฉายแววเคร่งขรึม ส่วนเด็กสาวที่สวมถุงมือกลับหรี่ตา

นางกวาดตามองห้องยา และได้กลิ่นสมุนไพรจางๆ จากรอบด้าน ก็ยอมรับเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าคนนี้

สวี่ชิงขมวดคิ้ว มองพวกเขา แล้วก็มองไปทางทางเข้า หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ไม่พูดอะไร ยอมรับการมีตัวตนของพวกเขา หันหลังเดินไปทางห้องยา

การยอมรับเงียบๆ ของเขาทำให้องครักษ์เหล่านั้นถอนหายใจโล่งอก ส่วนเด็กหนุ่มสาวข้างหลังพวกเขาส่วนมากล้วนใจตุ้มๆ ต่อมๆ

มีเพียงเด็กสาวที่สวมถุงมือคนนั้น หลังจากที่ในดวงตามีประกายแปลกประหลาดฉายวาบขึ้นมา ก็ใช้น้ำเสียงระมัดระวังอีกทั้งยังน้อยอกน้อยใจ เอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า

“เจ้า..เจ้าไม่มีมารยาทเอาเสียเลย พวกเราก็แค่อยากซ่อนตัวที่นี่สักหน่อยก็เท่านั้น ข้างนอกล้วนเป็นอสูรกลายพันธุ์ทั้งนั้น ถ้าพวกเราออกไปก็ต้องตายแน่นอน”

เสียงของนางแฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่ชวนให้คนสงสารเอ็นดู ทำให้เด็กหนุ่มบริเวณรอบๆ ที่ชื่นชอบนางต่างฮึกเหิมขึ้นมา พากันตะโกนใส่สวี่ชิงไม่ขาดสาย

“นั่นสิ ทำไมเจ้าเย็นชาได้ถึงขนาดนี้”

“พวกเราไม่ได้มีจิตคิดร้ายอะไรเสียหน่อย ก็แค่อยากจะพักผ่อนที่นี่สักหน่อยก็เท่านั้น”

“พื้นที่ต้องห้ามไม่ใช่บ้านของเขาเสียหน่อย พวกเราทำไมต้องถามเขา!”

คำพูดสบายๆ เพียงแค่ประโยคเดียว ก็ทำให้คนเหล่านี้เกิดจิตปฏิปักษ์กับสวี่ชิง จิตปฏิปักษ์เหล่านี้แม้ไม่มาก แต่ก็ทำให้เด็กสาวคนนี้ได้ใจหน่อยๆ

นางคิดจะยืมมือคนอื่นหยั่งเชิงขอบเขตของเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าคนนี้

แต่พริบตาต่อมา ประกายวาววับก็พลันกะพริบวาบมาจากทางสวี่ชิง เสียงกรีดอากาศพลันดังขึ้น กริชเล่มหนึ่งประชิดมายังเด็กสาวที่ได้ใจในเสี้ยวเวลาสั้นๆ คนนั้นปานสายฟ้าแลบ

นางหน้าเปลี่ยนสีทันที กำลังจะหลบ กริชก็บินผ่านหูของนางตัดผมกลุ่มหนึ่งขาด ก่อนจะส่งเสียงดังบึ้มแล้วปักลึกเข้าไปยังกำแพงข้างหลังนาง ปะทุสะเก็ดไฟออกมา

ในใจของเด็กสาวสั่นสะท้าน ในระหว่างที่หอบหายใจถี่กระชั้นก็ยกมือขวาขึ้นมาไปตามสัญชาตญาณ ในยามที่มองไปทางสวี่ชิง สิ่งที่นางมองเห็นคือแววตาเย็นชาราวหมาป่าของเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าแฝงไว้ด้วยจิตสังหาร

แววตานี้ทำให้ใจของนางสั่นสะท้าน องครักษ์ที่อยู่รอบๆ และเด็กหนุ่มสาวคนอื่นๆ ต่างตกใจตื่นตะลึง คนด้านหน้าระแวดระวังขึ้นจนถึงขีดสูงสุด คนด้านหลังมีคนจำนวนไม่น้อยส่งเสียงตกใจออกมา

“พบกันเพียงบังเอิญ อย่ามาหยั่งเชิงข้า” สวี่ชิงเอ่ยปากช้าเนิบ มองเด็กสาวอย่างลึกล้ำแวบหนึ่ง สะกดจิตสังหารในใจลง หมุนตัวกลับเดินไปทางห้องยา

ใต้เงาจันทร์ เงาของเขาเหมือนผสานไปกับแสงจันทร์ แผ่ความเย็นเยียบของราตรีออกมาไหลเวียนไปในใจของทุกคนที่อยู่ในหุบเขา ทำให้คนเหล่านี้ค่อยๆ เงียบนิ่ง

ในความรู้สึกของพวกเขา หุบเขาในเสียวขณะนี้อันตรายเหมือนกับฝูงแมงกะพรุนข้างนอกนั่น

ในความเงียบสงัดนี้ พริบตาที่สวี่ชิงเดินไปถึงประตูห้องยา ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องคร่ำครวญโหยหวนดังมาจากปากทางเข้า

แมงกะพรุนตัวเล็กตัวหนึ่งมาถึงปากทางเข้า พุ่งทะลุร่างขององครักษ์คนหนึ่ง หลังจากที่กลืนกินอวัยวะภายในของเขาแล้ว ก็พุ่งตัวเข้ามาในหุบเขา

ข้างหลังของมัน แมงกะพรุนฝูงหนึ่งพุ่งกรูกันเข้ามา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท