ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 42 หญิงชุดขาวไร้หน้า

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 42 หญิงชุดขาวไร้หน้า

สวี่ชิงที่ย่างก้าวเข้ามาในพื้นที่ต้องห้ามมาเห็นภาพฉากนี้เข้า ดวงตาของเขาเบิกโพลง วิกฤตความเป็นตายร้ายแรงปะทุขึ้นมาในใจ เลือดเนื้อทั่วทั้งร่างสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ในเสี้ยวขณะนี้

ทั้งหมดนี้ล้วนมาจาก…ชายชรารูปร่างสูงใหญ่สวมเสื้อคลุมยาวสีแดงทั้งตัวที่พุ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วจากปลายขอบฟ้าไกลคนนั้น!

“ระดับสร้างฐาน!”

ชื่อระดับขั้นนี้ผุดขึ้นมาในหัวสวี่ชิงทันที

เป็นเพราะความแข็งแกร่งของพลังกดดันประเภทนี้จึงทำให้แม้จะอยู่ไกลกัน แต่แรงสั่นสะเทือนที่สร้างให้สวี่ชิงก็ยังคงน่าครั่นคร้ามนัก

ตัวตนของอีกฝ่ายไม่ต้องบอกก็รู้

เป็นบรรพจารย์สำนักวัชระนั่นเอง

โดยเฉพาะเงานักรบวัชระมหึมาที่อยู่ข้างหลังของอีกฝ่าย ร่างที่มาพร้อมด้วยโทสะประดุจทหารสวรรค์นั่นทำให้ในเวลานี้ดวงตาของสวี่ชิงแสบปวด

นี่ทำให้เขามีความรู้สึกเหมือนเห็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัดระดับรวมปราณพวกนั้นไกลๆ เมื่อยามที่อยู่ถ้ำยาจกตอนนั้น

ความรู้สึกเหมือนกัน แต่ระดับกลับห่างกันคนละชั้น

กระทั่งว่าเขาแค่มองเพียงแวบเดียวก็รู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายจับเป็นเป้าหมายเอาไว้แล้ว ต่อให้หลับตาทั้งสองข้างลง ในหัวก็มีเงาร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายลอยขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

เงาร่างนี้เหมือนมาพร้อมกับความร้อนลวก ทำให้ศีรษะของเขาเจ็บปวดขึ้นมาเลาๆ

จากมุมมองด้านหนึ่งก็นับว่าเป็นอาการบาดเจ็บทางจิตใจแล้ว

แต่ว่าสวี่ชิงเคยควบคุมเงาอยู่หลายครั้ง จึงรู้สึกคุ้นเคยกับความรู้สึกเช่นนี้

ในขณะเดียวกันฝีดาบที่เขาลอกเลียนแบบจากรูปสักการะเทพเจ้าก็ประสบความสำเร็จขั้นเล็กๆ แล้ว ในด้านจิตใจก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอีกทั้งยังมีพัฒนาการ ดังนั้นแม้ตอนนี้ศีรษะจะรู้สึกเจ็บปวดอยู่เลาๆ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหว กลับยิ่งรวดเร็วขึ้นเสียด้วยซ้ำ

และในขณะเดียวกับที่วิ่งตะบึงไปในพื้นที่ต้องห้าม มือขวาของเขาก็ยกขึ้นหยิบเอาลูกกลอนดำกำหนึ่งออกมาแล้วทยอยโยนไปข้างหลังอย่างต่อเนื่อง

ลูกกลอนดำร่วงตกถึงพื้นก็ระเบิดทันที หลังจากที่น้ำยาหญ้าเจ็ดใบที่ผิวลูกกลอนสลายไป ควันยาลูกกลอนดำที่กระจายตัวก็ตลบฟุ้งไปทั่วทุกทิศอย่างรวดเร็ว ทำให้ไอพลังประหลาดในพื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้ทะลักมาอย่างฉับพลันเหมือนเกิดเป็นคลื่นวน

มองไปไกลๆ ไอพลังประหลาดทั้งหมดที่แผ่กระจายมาจากลูกกลอนดำมากถึงสิบกว่าเม็ดที่สวี่ชิงโยนออกมาหนาแน่นราวคลื่น ทะลักมาจากทั่วทุกทิศ

ชายกลางคนคิ้วเข้มคนนั้นที่แต่เดิมไล่ตามเข้ามาในพื้นที่ต้องห้าม ร่างหยุดชะงักไปอย่างอดไม่ได้ สีหน้าแปรเปลี่ยน ไม่กล้าเข้ามาใกล้เกินไปในทันที

ลูกกลอนดำนี้คือผลงานหลอมลูกกลอนขาวที่ล้มเหลวของสวี่ชิง ตอนนั้นเขารู้สึกว่าทิ้งไปน่าเสียดาย มันก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียว ดังนั้นจึงเก็บไว้ เอามาใช้ตอนนี้ก็เป็นจังหวะเหมาะพอดี

ความหนาแน่นของไอพลังประหลาดพื้นที่กว้างข้างหลังสวี่ชิงน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่งทันที จากการที่ไอพลังประหลาดทะลักเข้ามาจากรอบๆ ส่วนเงาร่างของเขาก็รวบรวมไอพลังประหลาดไม่หยุด พุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วสูงสุด

จากเสียงสะท้อนก้องสนั่นหวั่นไหวไม่นาน รุ้งสายยาวที่พาดผ่านท้องฟ้านอกพื้นที่ต้องห้ามก็เข้ามาใกล้ทันที

หลังจากที่มาถึงชายขอบพื้นที่ต้องห้าม บรรพจารย์สำนักวัชระที่อยู่ตรงนั้นจิตสังหารในดวงตาก็ฉายวาบ เขาไม่แม้แต่จะหยุด เสียงดังบึ้มสนั่นหวั่นไหว ก้าวเข้าไปทันที

ผู้อาวุโสสำนักวัชระสองคนที่อยู่ข้างหลังต่างกัดฟันตามเข้ามา

เงาร่างสามร่างเข้ามาในไอพลังประหลาดที่หนาแน่นเช่นนี้เอง แม้จะพุ่งออกมาได้อย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็ยังคงเป็นไอพลังประหลาดที่ฟุ้งคุกรุ่นเช่นเดิม ในนั้นแฝงกระทั่งหมอกพิษมหาศาลอีกไว้ด้วย

“ท่านบรรพจารย์ เจ้าเด็กนี่แปลกประหลาดนอกรีตนอกรอยนัก!” ผู้บำเพ็ญกลางคนที่เท้าซ้ายเลือดเนื้อเละรุ่งริ่ง รีบเอ่ยเตือนบรรพจารย์

บรรพจารย์สำนักวัชระแค่นเสียงขึ้นจมูกแล้วพลันพ่นลมออกไปข้างหน้า ทันใดนั้นก็เกิดลมพายุขึ้น มันกระหน่ำซัดไปรอบๆ พัดหมอกจากทั่วทุกทิศสลายหายไปหมด

ร่างของเขาไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย คว้าผู้อาวุโสสองคนข้างกายแล้วพุ่งออกไปทางที่สวี่ชิงจากไปทันที ก่อนจะเร่งความเร็วไล่ตามไป

เพียงแต่ตอนนี้เลยเวลาพลบค่ำมาแล้ว ราตรีกำลังมาเยือนอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความหนาวเหน็บรอบๆ ที่ทวีเพิ่มขึ้น ไอพลังประหลาดที่ลอยตลบที่นี่ก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้น

หากบินอย่างเร็วรี่ในที่นี่ต่อไป ตัวบรรพจารย์สำนักวัชระไม่เป็นปัญหา แต่ผู้อาวุโสคิ้วเข้มคนนั้นที่เดิมก็ได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว ผ่านนานไปย่อมไม่เป็นผลดีแน่นอน

ดังนั้นแล้วบรรพจารย์สำนักวัชระจึงเอ่ยขึ้นเสียงเย็น

“เจ้าสองคนตามอยู่ข้างหลัง ข้าจะไปจับเจ้าเด็กนี่ก่อน!” ระหว่างที่พูด บรรพจารย์สำนักวัชระก็โคจรพลังบำเพ็ญ เงานักรบวัชระข้างหลังเขาเงยหน้าคำราม ร่างขยายขึ้นจนสูงสามสิบกว่าจั้งอย่างรวดเร็ว สาวเท้ายาวเหมือนยักษ์ วิ่งตะบึงไปข้างหน้า

ทุกก้าวที่ย่างก้าวออกไปเป็นระยะหลายสิบจั้งเช่นเดียวกับร่างอันสูงใหญ่ของมัน ส่วนบรรพจารย์สำนักวัชระก็ยืนอยู่บนศีรษะของนักรบวัชระตนนี้

มองไกลๆ หากไม่มีพลังวิญญาณในระดับหนึ่งก็จะมองไม่เห็นเงานักรบวัชระ สิ่งที่มองเห็นก็จะมีเพียงแค่ร่างบรรพจารย์สำนักวัชระกำลังยืนและเคลื่อนไหวเหมือนล่องลอยอยู่กลางอากาศไกลออกไปเรื่อยๆ เท่านั้น

“ท่านบรรพจารย์!”

ผู้อาวุโสสองคนข้างหลังตอนนี้สีหน้าตื่นเต้น พวกเขามั่นใจแล้วว่าหากท่านบรรพจารย์ออกโรงเอง เจ้าเด็กนั่นต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน

“เชื่อว่าไม่นานท่านบรรพจารย์ก็จะเอาศพของเจ้าเด็กเวรนั่นกลับมาได้”

ทั้งสองคนมั่นใจ

แต่เวลาค่อยๆ เคลื่อนคล้อย หนึ่งชั่วยามผ่านไปแล้ว สีหน้าของผู้อาวุโสทั้งสองคนเปลี่ยนแปลงไป สบตาก็ต่างมองเห็นความตื่นตกใจของซึ่งกันและกันอย่างรวดเร็ว

สุดสายตาข้างหน้าพวกเขามองไม่เห็นเงาร่างของบรรพจารย์ตั้งนานแล้ว เห็นได้ว่าเขาไล่ตามไปไกลมากแล้ว

เพียงแต่พวกเขาไม่เข้าใจว่า ก็แค่ผู้บำเพ็ญสายฝึกกายาระดับรวมปราณเท่านั้น ต้องเร็วและเก่งกาจเพียงใดถึงทำให้ตอนนี้แม้แต่ท่านบรรพจารย์ก็เหมือนว่ายังจัดการไม่ได้

พวกเขาสงสัย บรรพจารย์สำนักวัชระสงสัยยิ่งกว่า

ณ สถานที่ที่ห่างไกลกับสองผู้อาวุโสลิบลับในขณะนี้ บรรจารย์สำนักวัชระสีหน้าย่ำแย่ มองเงาร่างเด็กหนุ่มที่อยู่ไกลๆ กำลังใช้ความเร็วที่น่าตื่นตะลึงพุ่งทะยานไปอย่างบ้าคลั่ง

ความเร็วของอีกฝ่ายแม้จะมีระยะห่างกับตน แต่ระยะห่างนี้ไม่ได้มากเท่าไร

ทว่าทุกครั้งที่เขาชกหมัดที่เกิดจากการผสานกันของเงาหมัดมหึมาและหมัดนักรบวัชระใต้ร่างพุ่งแหวกอากาศไป ภายนอกร่างของสวี่ชิงจะมีประกายแสงส่องกะพริบแปรเปลี่ยนเป็นการป้องกันต้านทานขึ้นมา

เกราะแสงป้องกันแม้จะสั่นคลอนเกิดรอยร้าวท่ามกลางเสียงสนั่นหวั่นไหว แต่เด็กหนุ่มที่อยู่ในนั้นกลับอาศัยแรงนี้เร่งความเร็วขึ้นไปอีก

ในขณะเดียวกัน เนื่องจากการมาเยือนของราตรี ไอพลังประหลาดที่เดิมก็หนาแน่นอยู่แล้วที่นี่ก็รวมตัวกันไม่หยุดตามทางที่เด็กหนุ่มผ่านไป ทำให้รอบๆ หนาวเหน็บขึ้นไปอีก

สถานการณ์นี้ทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระระแวงระวังขึ้น เดี๋ยวๆ ก็คิดจะอ้อมไป นี่ทำให้เขาช้าลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ คิดจะไล่ตามไปก็ต้องใช้เวลา

“สมควรตาย!” ในขณะที่บรรพจารย์สำนักวัชระสีหน้าเคร่งเครียด สวี่ชิงที่อยู่ห่างออกไปหน้าซีดขาว ในดวงตามีเส้นเลือดปรากฏขึ้นมากมาย เส้นเลือดที่หน้าผากปูดโปนคล้ายจะระเบิดแล้วเต็มที

มือซ้ายของเขากำจนแน่นยิ่ง เส้นเลือดบนมือปูดโปนดูแล้วน่ากลัวนัก

ในมือของเขามีหางแมงป่องชิ้นหนึ่ง

ตอนนั้นหลังจากที่สู้กับอีกาเพลิง หางแมงป่องของเขายังมีหลงเหลืออยู่ แต่ตอนนี้ต่อให้หางแมงป่องแทงเข้าไปในเลือดเนื้อกลางฝ่ามือของเขาทั้งหมด แต่พิษที่เหลือไม่มากในนั้นก็ใช้จนหมดสิ้นไม่อาจมอบพลังให้ได้อีกต่อไปแล้ว

ทำได้แค่เพิ่มความเร็วของเขาขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น

ส่วนในมือขวาของเขาก็เป็นยันต์ที่อักขระเลือนรางยิ่งนักผืนหนึ่ง

ยันต์ผืนนี้มาจากศัตรูของหัวหน้าเหลยคนนั้น

เพียงแต่ตอนนี้อักขระยันต์ใกล้จะเลือนหายไปแล้วเต็มที อีกทั้งสวี่ชิงยังทราบดีว่าการเพิ่มความเร็วจากพิษหางแมงป่องลดลงอย่างรวดเร็ว ใกล้จะไร้ผลแล้วเต็มที

ดีที่ด้วยความเร็วในตอนนี้ เขามองเห็นเมืองร้างที่คุ้นเคยอยู่ลิบๆ แล้ว

ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

สุดท้าย ในเสี้ยวพริบตาที่การเพิ่มพลังจากหางแมงป่องหมดสิ้น แม้ความเร็วของสวี่ชิงจะช้าลง แต่เขากัดฟันกระโดดไปอย่างสุดกำลัง ท่ามกลางความมืดมิด ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ทอแสงงดงามแปลกตาร่างของเขาก็กระโดดเข้ามาในกำแพงเมืองในเสี้ยวพริบตา

ที่นี่…ก็คือเป้าหมายของสวี่ชิง

บรรพจารย์สำนักวัชระที่อยู่ข้างหลัง และผู้อาวุโสสองคนนั้น เขาไม่สามารถต่อกรด้วยได้เลย ดังนั้นแผนการของสวี่ชิงคือต้องอาศัยโอกาสจังหวะ ชัยภูมิ และกำลังคน!

โอกาสจังหวะก็คือไอพลังประหลาดในพื้นที่ต้องห้าม

ชัยภูมิก็คือเมืองที่คุ้นเคยดี

กำลังคนคือสิ่งแปลกประหลาดในเมืองและอสูรกลายพันธุ์ในจวนเจ้าเมือง

อาศัยสิ่งเหล่านี้เขาคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่ตัวเองจะหลุดพ้นจากวิกฤต

ตอนนี้ ในเสี้ยวพริบตาที่เขาร่อนลงพื้น เนื่องจากลดความเร็วลง ข้างหลังเขามีเสียงดังแสบแก้วหูดังมาทันที เงาหมัดมหึมาพุ่งมาจากฟ้า ข้ามผ่านระยะห่างมาปรากฏข้างหลังเขา แหวกอากาศชกเขาอย่างเต็มแรง

ตูม!

การป้องกันจากยันต์แตกสลายทันที

สวี่ชิงกระอักเลือด อวัยวะภายในสั่นสะเทือน กระทั่งมีจุดฉีกขาด อาการบาดเจ็บสาหัสนัก

ความเจ็บปวดทำให้ภาพเบื้องหน้าของเขาพร่าเลือน แต่เขาก็ยังกัดฟันพุ่งไปข้างหน้าอย่างเต็มกำลัง เข้าไปในเมือง เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งบนถนนที่คุ้นเคยดีสายนี้

กระโดดสามสี่ที ร่างของเขาก็หายไปในเมืองแล้ว

ไม่นาน เสียงดังแหวกลมนอกเมืองก็พุ่งเข้ามาใกล้ บรรพจารย์สำนักวัชระชุดสีแดงมาถึงในฉับพลัน

สีหน้าของเขาเย็นชา ขยับหมุนข้อมือขวา

หมัดเมื่อครู่เป็นระยะขีดจำกัดสูงสุดที่เขาสามารถชกออกไปได้ แม้จะมีของวิเศษเวทต้านทาน ซัดศัตรูให้ตายได้โดยสมบูรณ์ไม่ได้ แต่เขามั่นใจว่าผู้บำเพ็ญระดับรวมปราณคนหนึ่งรับเศษแรงจากหมัดนี้ของตนท่ามกลางของวิเศษเวทที่แตกสลาย หากไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน

ดังนั้น ร่างเขาเพียงไหววูบก็ก้าวเข้ามาในเมือง ทว่าในเสี้ยวพริบตาที่บรรพจารย์สำนักวัชระก้าวเข้ามาในเมืองร้างแห่งนี้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันควัน ข้างหูได้ยินเสียงร้องไห้

กลิ่นอายเยือกเย็นกลุ่มหนึ่งพลันลอยตลบมาจากถนนที่สวี่ชิงหายไป

ในความมืด ใต้แสงจันทร์ที่งดงามแปลกประหลาดแห่งนี้ เงาร่างของหญิงสาวเงาหนึ่งเดินมาช้าๆ จากถนนไกลลิบในความหนาวเหน็บ

เงานี้มองจากที่ไกลๆ แล้วเล็กมาก แต่จากการที่ก้าวเดินมากลับใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งว่าหลังจากที่ความสูงเกินบ้านเรือนที่อยู่รอบๆ ก็ยังคงไม่ลดลง จนสุดท้ายก็สูงถึงสิบกว่าจั้ง

นางสวมชุดกระโปรงสีขาว มีผมสีดำที่ยาวมากๆ แต่กลับ…ไร้หน้า

ใบหน้าที่ใหญ่โตนั่นไม่มีอะไรทั้งนั้น

มีเพียงใบหน้าคนที่นูนออกมานับไปถ้วนบนกระโปรงต่างกำลังร้องไห้อยู่

เสียงร้องไห้นี้เมื่อร้องรวมกันก็กลายเป็นเสียงโหยหวน ขณะเดียวกับที่ดังไปทั่วทุกทิศ คนไร้หน้าชุดขาวก็ก้าวเดินมายังที่บรรพจารย์สำนักวัชระอยู่อย่างช้าๆ

เสียงร้องไห้ดังขึ้นตามระยะที่เข้ามาใกล้

ภาพนี้ทำให้บรรพจารย์สำนักวัชระต้องสูดลมหายใจ แข็งแกร่งอย่างเขายังใจสั่นสะท้าน เขารู้ว่านี่คืออะไร ยิ่งรู้ก็ยิ่งยำเกรง

ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อย เปลี่ยนทางหลบไปอย่างรวดเร็วทันที

แต่เขายังไม่ล้มเลิกที่จะไล่ฆ่าสวี่ชิง ดังนั้นจึงยังไม่ไปจากเมือง ทว่าเข้าไปในเมืองอีกทางหนึ่ง

‘เจ้าเด็กนั่นเป็นแค่ระดับรวมปราณเท่านั้น ความเป็นไปได้ที่จะอยู่รอดจากอันตรายที่จะได้เจอที่นี่น้อยมาก แต่ไม่เห็นมันตาย ข้าไม่วางใจ’ จิตสังหารฉายออกมาจากในดวงตาของบรรพจารย์สำนักวัชระ

ประสบการณ์บอกเขาว่าการวิเคราะห์ของตัวเองก่อนหน้านี้ถูกต้อง คนอย่างเจ้าเด็กน้อยนั่น…นอกจากตัวเองจะจัดการมันเสีย หากวันนี้ไม่ฆ่า ปล่อยให้อีกฝ่ายรอดไปได้ เช่นนั้นแล้วตัวเองในอนาคตจะต้องถูกอีกฝ่ายตบตายในฝ่ามือเดียวสักวันหนึ่งข้างหน้าแน่นอน

ดังนั้น หลังจากที่เปลี่ยนทิศเข้าเมือง บรรพจารย์สำนักวัชระก็รีบค้นหาอย่างระมัดระวังทันที

มีชีวิตต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ!

ในขณะเดียวกับที่บรรพจารย์สำนักวัชระค้นหา สวี่ชิงก็กลับมายังถ้ำหินที่ใช้หลบซ่อนตัวในตอนนั้น เขาซ่อนอยู่ข้างใน นั่งขัดสมาธิ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง จวบจนกระอักเลือดคั่งออกมาหมด สีหน้าขาวซีดของเขาถึงได้แดงเรื่อขึ้นมาบ้าง

สวี่ชิงเช็ดรอยเลือดที่มุมปากพลางเงยหน้ามองข้างนอกไปตามรอยแยก สีหน้าฉายแววเคร่งเครียด หลังจากนั้นก็กัดฟันเริ่มกำหนดลมหายใจโคจรเคล็ดวิชาคีรีสมุทร

การหลบหนีตลอดทางนี้รวมกับการใช้กำลังจนหมดสิ้น ทำให้ตอนนี้หลังจากที่สวี่ชิงฟื้นฟูขึ้นแล้ว พลังบำเพ็ญที่แต่เดิมใกล้จะบรรลุขั้น ในที่สุดก็มาถึงจุดเปลี่ยนแล้ว

“ทะลวงถึงขั้นที่เจ็ดของเคล็ดวิชาคีรีสมุทรแล้ว!” สวี่ชิงไม่ลังเลลองทะลวงขั้นทันที

เคล็ดวิชาคีรีสมุทรขั้นที่หกก็ทำให้เขามีเงาร่างขุยแล้ว ระดับรวมปราณขั้นแปดอย่างหัวหน้าฐานเขาลงมืออย่างเต็มกำลังก็สามารถสังหารได้ ขั้นเก้าค่อนข้างจะฝืนอยู่นิดๆ

นี่ทำให้สวี่ชิงคาดหวังในกำลังรบของเคล็ดวิชาคีรีสมุทรเมื่อทะลวงถึงขั้นที่เจ็ดเป็นอย่างมาก

‘เคล็ดวิชาคีรีสมุทรอยู่กับข้าก็ยอดเยี่ยมเช่นนี้ น่าจะเกี่ยวกับผลึกม่วง มันกำลังเพิ่มพลังให้ข้า!’ จุดนี้สวี่ชิงตระหนักได้ตั้งนานแล้ว

ตอนนี้เขาสูดลมหายใจลึก ทนต่อความเจ็บปวดที่หน้าอก หลับตากำหนดลมหายใจ

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท